เกิดใหม่
‘อย่า อย่าเข้ามาน้ะ อย่าเข้ามา’ หญิงคนหนึ่งได้ล้มลงกับลงกับพื้น พยายามที่จะถอยหลังหนีชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา หญิงสาวคนนั้นได้คว้าท่อนไม้ที่ตกอยู่บริเวณซ้ายมือของเธอแล้วกำไว้เเน่นพยายามตะโกน ’ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย ‘หญิงสาวพยายามตะโกน เเต่บริเวณนั้นเป็นซอยเเคบ ไม่มีผู้คนอาศัย
‘เจ้าหนีข้าไม่ได้หรอก ที่นี้มีเเค่ข้ากับเจ้าวันนี้เจ้าต้องตายอยู่ดี ฮ่าฮ่าฮ่าาาาาา’ ชายคนนั้นกลับยืนหัวเราะอยู่ตรงหน้าหญิงสาว เเล้วพยายามเอามือมาบีบคอเเต่หญิงคนนั้นได้เอาไม้ในมือตีเข้าไปบนข้อมือของชายคนนั้นอย่างจัง แต่ไม่เป็นผล ชายคนนั้นไม่รู้สึกเจ็บแม่แต่นิดเดียว แล้วได้ปัดไม้นั้นทิ้งไป บีบคอของหญิงสาวนั้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวพยายามดิ้นเเต่ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด
‘ปล่อยฉันเถอะ\~\~’ หญิงสาวพยามขอร้อง ด้วนน้ำเสียงที่อิดโรยเต็มที
‘ของดีแบบนี้ ปล่อยไปก็เสียดายของ’ น้ำเสียงของชายคนนั้นพูดออกมาอย่างน่ากลัว
ทันใดนั้นนายผู้นั้นได้กัดลงไปบนต้นคอของหญิงสาว “อ้าาาาาา\~\~\~” หญิงสาวกรื้ดออกมาอย่างทรมาร
“คัด” ผู้กำกับตะโกนดังลั่นกองถ่าย
“วันนี้ พอแค่นี้ก่อนอาทิตย์หน้าเจอกัน” ผู้กำกับเดินมาบอกฉัน
ฉันกำลังเดินไปที่รถคันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกลและก็พยายามที่จะมองหาผู้จัดการและผู้ช่วยเดินถึงรถแล้วเเต่กลับไม่พบพวกเขาสองคน ดังนั้นฉันเลยยืนเล่นมือถือระหว่างระสองคนนั้น กลับมีมือคู่หนึ่งพร้อมยืนมาพร้อมกลับไอศครีมรสช็อคโกแลตที่ชอบ
“เป็นไงบ้านจ่ะเรเน่แม่ดารานักแสดงดังระดับประเทศทั้งสวย ทั้งรวย” พี่หลินเอ่ยปากชม พร้อมกับยืนไอศครีมมาให้
“ขอบคุณผู้จัดการของนักแสดงสาวสวยคนนี้สำหรับไอศครีมจ้า” ฉันแซวหลินกลับพร้อมยกไอศครีมเข้าปาก
“แล้วซินละหายไปไหน” ฉันพยายามชะเง้อมองไปรอบๆ
“กำลังซื้อของ น่าจะกำลังมาแล้วรอสักหน่อยเถอะ” พี่หลินพูด
“มาแล้ว มาแล้วเห้อเหนื่อยมากๆ” ฉันมองไปยังซินที่กำลังวิ่งอย่างเหนื่อยล้าในมือถือถุงขนมเต็มไปหมด
“ไหนๆ มีอะไรให้กินบ้าง” ฉันพูดระหว่างที่คว้าไปหยิบถุงในมือของซิน แล้วได้ก้มลงงไปมองขนมในถุงเเต่ทันใดนั้น
“ไม่ได้พี่เรเน่กินไม่ได้แล้ว นี้มันจะค่ำแล้วเดี๋ยวอ้วนแค่ไอศครีมนั้นก็200กว่าเเคลแล้ว อันนี้ห้ามกิน” ซินดึงถุงขนมในมือของฉันกลับ
“ขึ้นรถได้แล้วไป แย่งขนมกันเป็นเด็กไปได้” พี่หลินขพูดขัดขึ้นมาก่อนที่ฉันจะเอามือไปชิงถุงขนมมาจากซิน
ฉันได้ขึ้นไปนั่งบนรถโดยที่มีซินนั่งข้างกับพี่โชเฟอร์ขับรถ แล้วพี่หลินนั่งข้างฉัน โดยภายในรถเงียบสงบต่างคนต่างเล่นมือถือกันฉันมองไปยังรอบๆ ของของถนนกลับได้เห็นรูปภาพของตัวเองเต็มไปหมดไม่ว่าจะทั้งป้ายหน้าตึกและป้ายรถเมย์
‘ครืน ครืน\~\~\~\~’ เสียงฟ้าร้องกล้องทั่วท้องฟ้า พร้อมกับมีเมฆดำลอยมาอย่างหน้ากลัวฉันเงยหน้าไปมองท้องฟ้าที่ดำมืด ได้เห็นฟูงนกที่กำลังบินกันทั่วท้องฟ้า ‘เปรี้ยงงงงง!!!!’ เสียงฟ้าฝ่าลงมาที่ต้นไม้ข้างๆ ถนน
“แย่แล้วเจไดลูกชายฉันกลัวเสียงฟ้าเป็นที่สุด” พี่หลินอุทานขึ้นมาอย่างกังวลใจ
“เเย่แล้วเหมือนกัน ฉันก็ยังไม่เก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้เลยแล้วพรุ่งนี้ต้องกลับบ้านต่างจังหวัดอีกจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนใส่กันละคราวนี้” ซินที่ตกใจเช่นเดี่ยวกับพี่หลินได้มีท่าทีที่กังวลใจเป็นอย่างมาก
“เอางี้เดี่ยวฉันลงซุปเปอร์มาเก็ตด้านหน้านี้ละกัน แล้วให้พี่โชเฟอร์ไปส่งซินกับพี่หลิน” ฉันพูดขั้นมาระหว่างทุกคนกำลังเครียด
“ไม่ได้ นี้มันจะดึกแล้ว ฝนก็กำลังจะตกให้แกกลับคนเดียวได้” พี่หลินพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่เป็นไรพี่หลินซุปเปอร์มาเก็ตใกล้บ้านนิดเดี่ยว เดินไปก็ถึง อีกอย่างเมื่อฉันเดินมาซื้อของจนชินแล้วอีกทั้งฝนก็ยังไม่ตกแค่นี้สบายมาก บ้านพี่กับซินอยู่ตั้งไกลรีบกลีบไปดูลูกและให้ซินรีบกลับไปเก็บผ้าเถอะ” ฉันพูดพร้อมกับหยิบกระเป๋าที่ตั้งอยู่ด้านข้างขึ้นมาสะพาย
“ ‘งั้นมีอะไรให้โทรมาน้ะ” พี่หลินพูด
“พี่โชเฟอร์คะจอดหน้าซุปเปอร์มาเก็ตให้หน่อยค่ะ” ฉันพูกกับพี่โชเฟอร์
“จะมืดแล้วเดินดีๆ ละ อีกอย่างขนมกับไอศครีมนั้นห้ามกินแล้วจำไว้ด้วยน้ะ” พี่หลินพูดพร้อมชี้นิ้วมาทางฉัน
“รู้แล้วน่า บ๊ายๆๆๆ” ฉันพูดพร้อมโบกมือลาพี่หลินและซินจนประตูรถปิดลงและรถได้เคลื่อนตัวออกไกลเรื่อยๆ หลังจากนั้นฉันได้เดินไปยังซุปเปอร์มาเก็ต เพื่อที่จะเลือกซื้อของกิน ไปกินในช่วงกลางคืน ‘พี่หลินบอกไม่ให้กินขนมตอนกลางคืนนี้ เเต่พี่หลินไม่รู้แปลว่ากินได้’ ฉันพุดในใจแล้วมือก็หยิบขนมจากชั้นวางมาใส่ในตระกร้าและก็ยังเดินวนเพื่อที่จะเลือกซื้อขนมอีกจนได้เดินไปหยิบไอศครีมมาแท่งนึ่งแล้วได้เดินไปจ่ายเงิน
‘ครืนๆๆ\~\~\~\~\~’ เสียงท้องฟ้าร้องอย่างหน้ากลัว ฉันได้เดินออกมาด้านหน้าของซุปเปอร์มาเก็ต แล้วตกใจเป็นอย่างมากเพราะว่าเมื่อเข้าไปในซุเปอร์เก็ตไม่กีนาที่ ตอนออกมากลับมืดครึ้ม ด้วยเมฆดำปกคลุมทั่วพื้นที่ทำให้ตกใจและกลัวเล็กน้อย
“แม่หนู แม่หนู” ยายเเก่ในมือถือไม้ท้าว ใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาวและใส้ผ้าถุงสีดำเดินมาทักฉัน
“ว่าไงคะยาย มีอะไรรึป่าวคะ” ฉันตกใจแล้วก็หันไปพูดกับยายคนนั้น
“ยายขอขนมหนูสักหนึ่งห่อได้ไหม ยายหิวมากเลย” ยายเอ่ยพร้อมกับชี้มาทางถุงขนมของฉัน
“ได้ค่ะๆ” ฉันล้วงมือไปหยิบขนมมาให้ยายหนึ่งห่อพร้อมกับน้ำอีกหนึ่งขวด แล้วยืนให้ยาย
“ขอบคุณแม่หนู ชีวิตหนูน่าสงสารนัก เห้อ!!!!” ยายเอ่อปากขอบคุณแล้วก็ถอนหายใจพร้อมส่ายหัวเหมือนกับรู้สึกสงสารฉัน
“สงสารยังไงคะยาย หนูไม่ได้ลำบากอะไรเลยน้ะชีวิตตอนนี้ดีขึ้นด้วยซ้ำ” ฉันเอ่ยปากพูดอย่างมั่นใจ
“จะ 25แล้วใช่ไหม ชีวิตหนูนี้น้ะขึ้นอยู่กับบุคคลอื่นจิงๆ” ยายพูดออกมา พร้อมถอนหายใจอีกครั้ง
“ยายรู้ได้ไงคะว่าหนูจะ25แล้ว แล้วชีวิตหนูจะขึ้นอยู่กับคนอื่นกับใครหราค่ะยาย” ขึ้นพูดขึ้นมาอย่างสงสัยแและมึนงง
“เอาหน่าเดี๋ยวสักวันก็รู้เอง เอานี้ไป” ยายยื่นมือไปล้วงในกระเป๋าเสื้อ เเล้วหยิบสร้อยนึงขึ้นมาแล้วส่งมาให้กับฉัน ฉันมองไปยังสร้อยนั้นเป็นรูปเหมือนไม้กางเขนเล็กพร้อมอักษรภาษาอะไรเขียนอยู่ระหว่างไม้กางเขนนั้น ยิ่งทำให้ฉันงงไม่รู้อีกว่ายายคนนั้นต้องการอะไร
“เอาใส่ไว้ตอนวันเกิดของทุกปีหลังจากนี้ แล้วก็วันเดือนมืดและเดือนดับ ห้ามถอดออกเป็นอันขาดถ้าเป็นคืนปกติถอดได้ปกติ ห้ามหายจำไว้” ยายเอ่ยปากบอกแต่ทำให้ฉันกลับงงหนักยิ่งกว่าเดิม
‘เปรี้ยงงงงง!!!!!’ เสียงฟ้าผ่าดังเป็นอย่างมากฉันหันหลังกลับไปมองท้องฟ้าที่เห็นประกายแสงที่ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า แล้วหลังจากที่ฉันหันหลังกลับมาเเต่ไม่เห็นยายผู้นั้นยื่นอยู่แล้ว เห็นเพียงเเค่ขนมกับน้ำที่วางไว้บนพื้น ฉันจึงได้หยิบขนมและน้ำนั้นกลับมาใส่ในถุงเหมือนเดิม แต่มืออีกข้างที่ยังกำสร้อยนั้นไว้อย่างดี
‘สร้ายนี้มันอะไรกัน แต่ก็สวยดีเก็บไว้ก่อนละกัน’ ฉันมองไปยังสร้อยในมือ
ฉันที่กำลังเดินกลับบ้านแม้มีเเสงสว่างเเค่น้อยนิดและบรรยากาศที่น่าสยดสยองท่ามกลางต้นไม้รอบๆ ด้าน อีกทั้งถนนนั้นไม่มีผู้คนเดินเลยเนื่องจากฝนจะตกท้องฟ้าที่มืดคลื้มไปทั่วบริเวณพร้อมต้นไม้ที่สั่นไหวอยู่ทั่วขณะ ฉันที่จับมือถือเพื่อเปิดไฟฉาย และก็เดินไปยังบ้านของตัวเองที่เข้าไปด้านในของซอยนั้นประมาณ 100 เมตรสองข้างทางยังมีทั้งต้นไม้ใหญ่และกอหญ้าที่รกมากฉันได้เดินแบบกล้าๆ กลัวๆ หลักจากที่ได้เดินมาสักระยะมีต้นไม้ใหญ่มากๆ แต่ไม่รู้ว่าต้นไม้อะไร ‘บรรยากาศตอนนี้อย่างกับในหนังผี’ ฉันนึกในใจพร้อมกับกำมือถือแน่น
เปรี้ยง!!! เสียงฟ้าฝ่าลงมาตรงต้นไม้ใหญ่ด้านหน้าแสงสว่างส่องไปทั่วบริเวณแต่สายตาฉันนั้นเหลือบไปมองบนต้นไม้เห็นเงาดำๆ ที่มีดวงฟ้าสีฟ้าน่ากลัวมาก "อ๊าาาาาาา ผะ ผะ ผะผี ผีหลอก”
ฉันกรี๊ดร้องดังสนั่นไปทั่วทั้งถนน หลังจากนั้นภาพก็กลับเป็นสีดำ
500 ปีที่แล้ว
ณ เมือง ที่เป็นเผาพันธุ์ปีศาจหลากหลายตระกูล มีตระกูลใหญ่ 3ตระกูล ตระกลูฟาเผาพันธุ์จิ้งจอกหัวหน้าชื่อ ฟาเนส ลักษณะเด่นของตระกลูนี้ผู้ที่บำเพ็ญวิชาปีศาจเยอะจะมีหางจิ้งจอกหลายหาง และมีดวงตาสีเทานิสัยเป็นมิตรกับตระกลูอื่นๆ ตระกูลต่อมาตระกูลด็อสเผาพันธุ์หมาป่า ที่มีหัวหน้าชื่อทาด็อส มีลักษณะเด่นก็ตคือดวงตาสีแดงก่ำแสนน่ากลัว และมีฟันที่แหลมคม นิสัยชอบความรุนแรงโหดเหี้ยม ไม่รับฟังใครๆ ส่วนตระกูลสุดท้ายนั้น ชื่อว่าตระกูลดาเป็น เผาพันธุ์ค้างคาวหรือแวมไพร์มีหัวหน้าชื่อ นาดาซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวในเผ่าพันธ์ุปีศาจที่เป็นหัวหน้าตระกูล ลักษณะ เด่นก็คือดวงตาสีฟ้าอันเย็นชา นิสัยเป็นมิตรกัลป์ทุกตระกูล ทุกตระกูลนั้นส่วนมากจะสวมชุดสีดำ และอีกทั้งปีศาจนั้นจะไม่มีวันแก่และไม่มีวันตายถ้าจะตายได้จะต้องทำการสละชีพ หรือโดนคนที่มีพลังขั้นสูงดูดกลืนพลังเท่านั้น
“ทุกๆ ท่านโปรดฟังข้า” ชายคนหนึ่งเดินออกมาหยุดอยู่หน้าของแต่ละตระกูล
“มีเหตุอะไร ถึงเรื่องพวกข้าออกมา” ลูกน้องของตระกูลฟาได้เอ่ยถาม
“นี้คือดวงวิญญาณที่มีพลังมหาศาล ผู้ใดได้กลืนกินเข้าไปจะไม่มีใครต่อกรได้” ชายผู้นั้นได้หยิบดวงวิญญานที่เป็นลักษณะกลมๆ เล็กๆ ขึ้นมาโชว์ให้ทุกๆ ตระกูลดู ทำให้ทุกคนนั้นถึงกับอึ้งและตกใจกับดวงวิญญาณนั้นเนื่องจากเรื่องนี้เป็นตำนานที่เล่าต่อๆ กันมาแต่ไม่เคยมีใครได้พบเห็น
“รู้ได้ยังไงว่ามันเป็นดวงวิญญาณนั้นจริงๆ” ทาด็อสได้เอ่ยถาม
“เพราะข้านี้ไงที่บอกข่าวต่อๆ กันมา ข้าเก็บดวงวิญญาณนี้มานับ1000ปี” ชายคนนั้นตอบ
“ใครทำให้ข้าได้กลายเป็นมนุษย์ได้ข้าจะมอบให้แก่คนนั้น” ชายคนนั้นพูด
เนื่องจากชายผู้นี้ได้แอบลงไปเมืองมนุษย์จึงได้พบรักกับมุนษย์หญิงสาวคนนึ่ง เข้าเลยตัวสินใจที่จะกลายเป็นมนุษย์แทน การจะกลายเป็นมนุษย์นั้นจึงต้องหา ปีศาจผู้ที่มีพลังแกล่งกล้าจริงๆ ที่จะเป็นเปลื่ยนนจิตใจและรูปร่างได้
“ข้าจะลองเอง” ชายคนหนึ่งในตระกลูฟาเอ่ยพูด
หลังจากชายคนนั้นไม่สามารถทำได้ ทุกๆ คนต่างกันมาลองแต่กลับไม่มีใครทำได้
“ไปจัดการมันสะ แล้วเอาดวงวิญญาณนั้นไม่ข้า” ทาด็อส สั่งลูกน้องคนสนิท ให้ไปฆ่าชายผู้นั้นแล้วแย่งชิงดวงวิญญาณนั้นมา
“ได้ครับนายท่าน” ลูกน้องคนนั้นตอบรับ
หลังจากนั้นลูกน้องของทาด็อสได้กำจัดชายผู้นั้นออกไป แล้วได้แย่งชิงดวงวิญญาณนั้น มาจนทำให้หลายๆ ตระกูล กลับไม่พอใจ จึงได้เกินการแย่งชิงกันในที่สุด สุดท้ายดวงวิญญาณนั้นได้ตกลงไปในโลกมนุษย์ ทำให้ทุกคนนั้นตกใจเป็นอย่างมาก
“เราจะทำยังไงดี มันตกลงไปแล้ว “ชายคนหนึ่งได้เอ่ยถาม
“พวกเจ้ากล้าแย่งของข้า ได้อย่างไร” ทาด็อสเอ่ยอย่างน่ากลัว จึงทำให้ทุกคน กลัวกันเป็นอย่างมาก เนื่องจากทาด็อส นั้นมีนิสัยที่โหดเหี้ยม
“นั้นๆ ถามเจ้านั้นดูว่ารู้วิธีหรือเปล่า” ลูกน้องของทาด็อส ได้ชี้นิ้วไปทางใช่ผู้หนึ่งที่ยืนอยู่
“เจ้านั้นเป็นใคร” ทาด็อสเอ่ยปาก
“ข้าเห็นมันมากับชายผู้นั้น” ลูกน้องตอบ
ทาด็อสได้เดินไปยังผู้ชายคนนั้น จนทำให้ชายคนนั้นกลัว แล้วกลับหันหลังจะวิ่งหนีไป แต่ลูกน้อง ทาด็อสได้จับตัวชายคนนั้นมาทัน
“บอกข้ามามีวิธีอย่างไรถึงจะได้ดวงวิญญาณนั้นกลับมา” ทาด็อสทำเสียงขู่ชายคนนั้น
“ขะข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้จริงๆ นะ” ชายผู้นั้นตอบเสียงสั่นๆ
“จะบอกดีๆ หรือจะตายตาม เจ้านั้นไป ถ้าเจ้าบอกข้า ถ้าสัญญาจะไม่ฆ่าเจ้า” ทาด็อสตะโกนเสียงลั่น
“ข้าแค่รู้มาว่า ดวงวิญญาณที่ตกไปหรือหายไปในโลกมนุษย์ จะกลับได้เกิดเป็นมนุษย์ในอีก500ปีข้างหน้า” ชายคนนั้นพูดเสียงเบาๆ
“แล้วพวกเราจะรู้ได้ยังไง ว่าใครคือดวงวิญญาณนั้น” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถาม
“เอ่อคือว่า ถ้าดวงวิญญาณนั้นได้เกิดแล้ว อายุครบ25ปีบริบูรณ์ จะมีแสงสีแดงออกมาจากในตัวของคนผู้นั้น เอง แต่ก็จะไม่ได้เห็นทุกวัน ทุกท่านจะได้ เห็นดวงวิญญาณนั้นในวันเดือนดับและวันเกิดแต่ละปีเท่านั้น” พอเอ่ยปาก เสร็จผู้ชายคนนั้นรีบวิ่งหนีออกไป แต่สุดท้ายกลับโดนฆ่าตายด้วยฝีมือของทาด็อส
“ไหน เจ้าบอกว่าจะไม่ฆ่า” ฟาเนสที่ยืนอยู่นานกลับไม่พอใจ
“ข้าไม่สนใจทั้งนั้นแหละ ไปพวกเจ้ากลับ” ทาด็อส ได้สั่งลูกน้องของเค้าให้กลับ จนทำให้หลายๆ ตระกูลแยกย้ายกันกลับไป
“มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ครับท่านแม่” เด็กชายคนหนึ่งที่ เดินอยู่ข้างแม่ของตัวเองได้เอ่ยถาม
“มันน่าจะเป็นเรื่องจริง ทำไมล่ะลูกต้องการดวงวิญญาณนั้นหรอ” หญิงผู้นั้นที่ชื่อดานาตอบ
“ใช่ครับท่านแม่ผมอยาก มีพลัง แกร่งกล้า” เด็กชายคนนั้นตอบ
“ถ้าอย่างนั้นลูกต้องบำเพ็ญเพียร ให้ครบทั้งสามขั้น” นาดา ได้ตอบลูกพลางลูบหัวไปด้วย
“ได้ครับท่านแม่ ผมจะตั้งใจบำเพ็ญ” เด็กชายคนนั้นตอบ
.
.
.
.
524ปีต่อมา
ในบรรยากาศอันเงียบสงบในถ้ำเห่งหนึ่ง มีแสงอ่อนๆ ทำให้เห็นชายผู้หนึ่งที่มีรูปร่างอันดีงาม และใบหน้าที่หล่อเหลาพร้อมกับดวงตาสีฟ้าที่มีเสห่น์นั่งบำเพ็ญอยู่ผู้เดียวซึ่งชายผู้นี้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลดา
“ดาคเน็สเจ้าพร้อมรึยัง วันนี้จะเป็นวันที่ประตูทั้งโลกมนุษย์ และโลกปีศาจเปิดออกพร้อมกัน” หญิงสาวผู้หนึ่งเดินมา แล้วได้เอ่ยถามชายผู้นั้น
“พร้อมครับท่านแม่” ดาคเน็สตอบกลับอย่างนิ่งเฉย
หลังจากนั้นหญิงสาวได้เดินมาส่งลูกชายของตนที่หน้าประตูโลกมนุษย์
“เจ้าจงจำไว้ว่าอย่าให้ผู้ใดรู้ว่าเจ้าเป็นปีศาจเพราะมนุษย์พวกนั้นจะกลัวเจ้า” ทาดาได้บอกลูกชายของตน
ดาคเน็สได้แค่พยักหน้าตอบเท่านั้น
“ไปเถิดเดียวประตูจะเปิดเอา” นาดาได้เอามือมาตบบ่าเบาๆ
“อ่อ… อีกอย่างในวันคืนเดือนดับร่างกายเจ้าจะกลับมาเป็นเป็นเหมือนเดิม ไม่สามารถใช้การแปรงกายได้และห้ามที่สุดคือน้ำลายของมนุษย์ จะทำให้เจ้านั้นคืนร่างเดิมเช่นกัน” นาดาตักเตือนลูกชายอย่างเป็นห่วง
“ครับท่านแม่” ดาคเน็สตอบ
หลังจากเอ่ยลากันเสร็จเตรียมที่จะเดินไปยังประตูที่เป็นทางเชื่อมระหว่างสองโลกเข้าด้วยกัน
“เดี๋ยวๆๆๆๆ รอข้าด้วย ข้าไปด้วย” ไนท์วิ่งตะโกนมา
ไนท์เป็นลูกชายของฟาเนสที่เป็นหัวหน้าตะกูลฟา ซึ้งเป็นทั้ง2ตระกูลนี้สนิทกันเป็นอย่างมาก ไนท์ผู้นี้เป็นคนร่าเริ่งตลอดเวลาชอบในการเที่ยวเล่นเป็นอย่างมากและการที่จะได้ลงไปยังเมืองมุนษย์นั้นทำให้เค้าตื่นเต้นมาก
“ข้าไปด้วยน้ะๆๆ ข้าแค่อยากจะไปดูว่าเมืองมนุษย์นั้นเป็นยังไงก็แค่นั้นเอง ข้าๆ ไม่แย่งดวงวิญญาณนั้นหรอกน้ะ ข้าขอไปด้วยน้ะๆ” ไนท์ได้เดินมาจับนิ้วก้อยแกว่งไปมา
“ให้ไนท์ไปด้วยเถอะ ลูกจะได้มีเพื่อนไง” นาดาได้เอ่ยปากพูด
“น้ะๆๆๆ ข้าอยากไปด้วยจริงๆ” ไนท์ทำหน้าตาเรียกคะแนนสงสาร
“ได้” ดาคเน็สตอบสั้นๆ
“ไปแบล็คเจ้าต้องไปกับข้าด้วย” ไนท์เอ่ยปากบอกแบ็คที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“พวกเจ้าต้องแปรงกายด้วย” นาดาพูด
ทั้ง3คนได้แปรงกายให้เหมือนกับมนุษย์ที่สุด ทั้งการแปรงดวงตาให้เป็นสีดำ ทรงผม และเสื้อผ้าให้เหมือนกับมนุษย์ แล้วได้เดินทางไปยังโลกมนุษย์
.
.
.
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments