“อ้าว ราม มาซื้ออะไรหรือ”
“ซื้อของ เฟิร์นไม่ได้อยู่หอนี้ไม่ใช่หรือ”
ผมบังเอิญเจอเฟิร์นหน้าร้านเบเกอรี่ ปกติแล้วเฟิร์นไม่ชอบมาหอนี้เท่าไหร่เห็นบอกว่าเหม็นบุหรี่ ถึงบุคลิกภายนอกเฟิร์นจะดูเป็นสาวห้าวผมสั้น แต่จริงๆ ผมว่าเฟิร์นก็เป็นผู้หญิงหวานๆ คนหนึ่ง ถึงได้คิดอยู่ว่าน่าจะจับฉลากได้เดลต้าเป็นแฟน
“มาจิกหัวต้าทำงานอะสิ ไม่งั้นงานของอาจารย์มณีไม่เสร็จแน่ ของรามเสร็จแล้วเหรอ”
“อืม”
“จะฝากส่งไหม”
“ฉันว่างานเดลต้าคงไม่เสร็จเร็วๆ นี้หรอก” ผมบอกเฟิร์นตามตรง หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะขำแห้งๆ “เอาเป็นว่า ถ้าเฟิร์นกับเดลต้าทำเสร็จแล้วเดี๋ยวฉันไปส่งให้แทนแล้วกัน”
ปึง ตุบ
“พีท!”
ทันทีที่ผมเข้าห้องตัวเองก็ต้องตกใจ กล่องเค้กที่เพิ่งซื้อตกลงพื้น ผมรีบวิ่งไปดูพีท ตอนนี้พีทร้องด้วยเสียงที่เจ็บปวดทรมาน ร่างกลมๆ บิดเบี้ยวและดูเหมือนจะมีบางส่วนคล้ายกำลังหลอมละลาย ผมพยายามถามพีทว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนพีทจะไม่มีสติพอจะได้ยินสิ่งที่ผมพูด
“อ๊ากกกก! โอ๊ย อ๊ากกกก อ๊า โอ๊ย”
“ยมทูต ยมทูต” ผมเดินไปเดินมาตะโกนเรียกรอบห้อง แต่เหมือนจะไม่มีการตอบกลับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ผมเดินไปจุดธูปหนึ่งดอกก่อนจะตะโกนอีกครั้ง “ยมทูต ยมฑุตมานี่หน่อย ท่านยม!”
เงียบ
“ไอยมทูตเส็งเคร็ง ถ้าไม่มาฉันจะไม่เผาเงินให้อีก!”
แว้บ ... “เจ้าเรียกข้าทำไม” ในที่สุดก็มา แถมมาพร้อมลูกมะพร้าวพร้อมดื่มในมืออีกด้วยนะ
“พีท พีทเป็นอะไรก็ไม่รู้”
เจ้าของร่างอ้วนมองพีทอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาเพ่งสมาธิ ผมได้แต่มองพีทที่ยังคงร้องโอดโอยอย่างทรมานอย่างร้อนใจ พีทจะเป็นอะไรไหม ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน
ยมทูต ส่งพลังบางอย่างไปยังวิญญาณของพีท แสงสีทองโอบอุ้มร่างสีฟ้าของพีทไว้ครู่หนึ่งก่อนที่เสียงของพีทจะเงียบลง เหมือนจะหลับไป
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพีทถึง....”
“มีคนตั้งใจทำร้ายพีท”
“แต่พีทเป็นวิญญาณ”
“ข้าสัมผัสได้ว่าน่าจะเป็นพวกหมอผี แต่ทำทำไม หรือใครสั่ง ข้าไม่รู้”
“ช่างมัน ตอนนี้พีทโอเคก็พอแล้ว”
“ยังหรอก พลังของข้า แค่ช่วยไม่ให้วิญญาณสลายชั่วคราว อาคมที่โดนจะกัดกินวิญญาณไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งวิญญาณจะสลายไป”
“แล้ว....”
“ใจเย็นๆ ไอ้หนู มันไม่มีทางแก้ แต่...ถ้าเจ้าทำให้พีทไปเกิดใหม่ได้ก่อนที่วิญญาณพีทจะสลายไปก็ไม่มีอะไรน่าห่วง”
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
เสียงนาฬิกาแขวนผนังในห้องดังสักระยะ น่าจะราวๆ ครึ่งชั่วโมง ผมกับยมทูตคุยกันเรื่องพีท แต่ไม่ว่าจะคิดไปทางไหนก็ไม่มีหนทางช่วยได้เลย ถ้าผมช่วยปลดปล่อยวิญญาณพีทไม่สำเร็จ เขาจะหายไปตลอดกาล
ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้ ผมหันไปมองพีทที่สงบนิ่งอยู่บนโซฟาก่อนจะนั่งลงข้างๆ และอุ้มพีทกอดไว้ ผมรู้สึกใจหวิวแปลกๆ ผมจะต้องช่วยพีทให้ได้ ผมจะต้องทำยังไงถึงจะดีที่สุด
“ฮ่าๆ ไอ้หนู ใช้งานเสร็จแล้วจะเมินกันเหรอ ข้าว่าจะซื้อตั๋วไปเที่ยวฮาวายต่อ อย่าลืมส่งเงินมาด้วยล่ะ” ร่างอ้วนพูดจบก็แว้บหายไป
เอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด
เสียงที่ปัดน้ำฝนดังวนเป็นจังหวะซ้ำๆ ช่วยทำลายความเงียบภายในรถ แต่ไม่สามารถทำให้ผมหยุดคิดเรื่องของพีทได้ เมฆสีดำยังคงปกคลุมท้องฟ้า ผมหันไปมองพีทที่อยู่บนเบาะด้านข้างคนขับสักพัก จากนั้นรถด้านหลังก็บีบแตรเสียงดังลั่น เตือนให้ผมหันกลับมามองสัญญาณไฟจราจรที่เป็นสีเขียวแล้ว
“ราม!”
เจ้าก้อนสีฟ้ามีท่าทางตื่นตระหนกราวกับโดนคนลักพาตัวมาอย่างนั้นแหละ หึ จับปล่อยวัดซะดีไหม ไม่รู้ว่าทำไม พอเห็นพีทฟื้นขึ้นมาทำท่าจะอาละวาดใส่ผมได้ มุมปากของผมมันก็ยกยิ้มขึ้นมาซะอย่างนั้น +
“ราม นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
เจ้าก้อนถามถึงเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนก่อนจะโดดดึ๋งๆ เซ้าซี้ พอตื่นมา วิญญาณจิงโจ้ก็เข้าสิงเลยนะ ผมเล่าว่าไม่มีอะไรแล้วพอดียมทูตคนนั้นเขามาช่วยไว้ แต่แทนที่พีทจะหยุดโดดดึ๋งๆ กับโดดถี่กว่าเดิมอย่างกับว่าถ้าโดดครบ1ล้านครั้งแล้วจะได้ไปเกิดอย่างนั้นแหละ แต่...เอ๋ ทำไมพีทถึงมีท่าทีราวกับจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ
“จำอะไรได้บ้าง” ผมหยั่งเชิง
“เจ้า…เจ้าออกไปซื้อเค้ก ข้าเห็นแสงสีเหลืองๆ แล้วก็….จำไม่ได้แล้ว” เจ้าก้อนเยลลี่นั่งนึกและตอบด้วยท่าทีสงบนิ่งแบบที่ร้อยวันจะทำได้สักหน
พีทควรได้รู้ความจริง เขาจะได้ระวังตัว แต่ถ้าความจริงนั้นมันจะทำร้ายความสุขของวิญญาณดวงนี้ ผมก็จะยอมเป็นคนบาปตกนรกไปพร้อมกับเรื่องนี้ ตอนแรกผมก็ว่าจะบอกเขา แต่ก็ต้องชั่งใจพอเห็นเจ้าก้อนกลับมาโดดดึ๋งๆ ได้อีกครั้ง ผมยังจำได้ ภาพเมื่อสามวันที่แล้ว ว่าเขาทรมานมากแค่ไหน ถ้าพวกคนร้ายมันคิดว่าจะทำลายวิญญาณพีทเพื่อปกปิดความผิด พวกมันก็คิดผิดแล้ว เพราะตอนนี้ผมเต็มใจที่จะเปิดเผยความผิดของพวกมันด้วยตัวเอง
“สามวันก่อนที่จะหลับไป ฉันกลับมาที่ห้องก็เห็นพีทตัวร้อนมาก ยมทูตมาพอดี เขาบอกว่าพีทเป็นไข้ไม่สบาย เขาเลยช่วยรักษาให้”
“วิญญาณไม่สบายได้ด้วยหรือ เอ๊ะ นี่ข้าหลับไปตั้งสามวันเลยหรือ”
ผมมาถึงโรงจอดรถคณะนิเทศแล้ว แต่ฝนยังตกหนักไม่หยุด ผมรีบโกยเจ้าก้อนที่เด้งดึ๋งๆ ตรงเบาะด้านข้างมาชิดหน้าอก ใช่ โกย ผมใช้คำไม่ผิด โกยเสร็จหยิบของแล้วก็วิ่งฝ่าสายฝนเข้าตึกไป เจ้าก้อนดิ้นไปมาจนหลุดออกจากมือ แต่ดีที่ตอนนี้เข้าร่มแล้ว เจ้าเยลลี่เปลี่ยนจากเยลลี่สีฟ้าเป็นสีชมพูไปซะแล้ว นี่เดี๋ยวนี้วิญญาณเขาเปลี่ยนสีตามเทรนกันแล้วหรือ ผมเอื้อมมือไปสัมผัสเพื่อเช็คอุณหภูมิของเจ้าก้อน แต่...เจ้าก้อนกระโดดหนี
เฮ้อ เด็กดื้อ
“จะ…เจ้าจะทำอะไร” เจ้าตัวที่หันหน้าหนีผมถามเสียงใส
“เปียกฝกหรือเปล่า ไม่สบายตรงไหน”
“ขะ…ข้าไม่เป็นไร วิญญาณถึงถูกฝนก็ไม่เปียกหรอกน่า” เจ้าก้อนกลมยังคงหันหลังให้
“แต่สีเจ้า…”
“ขะ…ข้าเข้าฤดูผลัดสีน่ะ” เสียงใสเลิ่กลั่กตอบ
“ผลัดสี? วิญญาณต้องผลัดสีด้วยหรือ”
ผลัดสีนี่เหมือนลอกคราบแบบงูไหม หรือเป็นการเปลี่ยนสีแบบสัตว์เลื้อยคลาน ผมว่ามันแปลกๆ นะ ทำไมต้องหลบหน้าด้วยล่ะ ถ้าจ้องตาตอนผลัดสีจะท้องแบบปลากัดหรือ เจ้าก้อนเยลลี่ไม่คุยต่อ ตั้งหน้าตั้งตาโดดดึ๋งๆ ไปทางโรงอาหารด้วยความเร็วแสง ผมที่เดินช้าๆ ก็กำลังเดินตามไปที่หลังอย่างงงๆ
ปั๊ก!
“โอ๊ย” ผมเดินอยู่ตรงทางเดิน จู่ๆ ก็มีก้อนหินปริศนาลอยมากระแทกหัว
ผมหยิบมันขึ้นมา คลี่กระดาษแปลกๆ ที่ห่อก้อนหินเอาไว้ออกดู มันมีตัวอักษรสีเลือดเขียนคำว่า “ตาย” หึ สงสัยเป็นพวกตกอับ นี่เขาเลิกปารถมาปาหัวคนกันแล้วสินะ จริงๆ เลย เอาการปาหินมาเป็นงานอดิเรกได้ยังไงเนี่ย ดีนะที่ผมหัวแข็งเลยไม่เป็นอะไร สงสัยผมจะเป็นรูปปั้นเหมือนที่คนอื่นๆ ว่ากันจริงๆ
เฮ้อ น่าเบื่อ
ผมปากระดาษทิ้งไป เคี้ยวอากาศหนึ่งที ก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนเดินต่อ
ไม่รู้ว่าวันนี้เทวดาดูซีรี่ย์เกาหลี่มากไปหรือว่าเทพท่านใดอกหัก ฝนถึงได้ตกแรง เร็ว ทะลุนรกแบบนี้ แต่ผลที่ได้จากการร้องห่มร้องไห้ของท่านเทพก็เป็นที่น่าพอใจ ช่วยตัดความน่ารำคาญในโรงอาหารไปได้เยอะ ผมหย่อนก้นนั่งลงที่โต๊ะประจำรอไปเข้าเรียนพร้อมเดลต้ากับเฟิร์นที่ตอนนี้นั่งจีบกันอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ท่านรามมมมครับ” เด็กน้อยกระโดดมากอดผมจากทางด้านหลัง ส่งยิ้มเห็นฟันทั้งสามสิบสองซี่มาให้ พีทกระโดดดึ๋งๆ ขึ้นไปเล่นบนหัวใบตอง เฮ้อ ตามสบายเลย
“เอ้ล่ะ” ผมถาม
ในระหว่างที่คู่รักกำลังสวีทหวานก็ขอขัดจังหวะสักหน่อยก่อนที่มดจะขึ้น ผมถามหลังจากที่ละสายตาจากใบตองและพีท เดลต้ายังคงเล่นแก้มเฟิร์นไม่สนใจผม ทำตาหวานเชื่อมยิ้มน้องยิ้มใหญ่ ส่วนเฟิร์นหันมามองหน้าผม สีหน้าเหมือนกำลังจะบอกว่าผมเป็นมะเร็งอย่างนั้นแหละ พีทกระโดดขึ้นมาฟังบนโต๊ะ
“เอ้อยู่โรงพยาบาล”
“เกิดอะไรขึ้น”
เมื่อวานผมยังโทรถามเรื่องงานกับเอ้อยู่เลย เอ้ไม่เคยขับรถเองเพราะบ้านรวย มีคนขับรถให้จะไปเฉี่ยวไปชนใคร เป็นไปไม่ได้แน่ๆ ถ้าเป็นเดลต้าก็ว่าไปอย่าง
“เมื่อวานเอ้โดนหลอกให้ไปเอาของใต้ตึก12”
“หล่อๆ อย่างกูไม่เห็นจะแปลกใจเลย พวกเดิมๆ แม่งละมั้ง มันไม่ได้เป็นอะไรมาก ที่บ้านมันเวอร์ให้แอดมิทเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้ แม่งก็ออกมาแล้ว” เดลต้าเสริม
คนเกิดมาหล่อนี่โชคดีนะ แต่บางทีก็ไม่รู้ว่าเบ้าหน้าฟ้าประทานจะไปกระตุกฝ่าเท้าใครเข้า จริงๆ เอ้ก็โดนพวกผู้ชายมาหาเรื่องบ่อย เพราะดันไปเป็นสเป๊กสาวๆ แต่ไม่เคยเห็นว่าจะลงไม้ลงมือจนต้องเข้าโรงพยาบาลขนาดนี้
“จับคนร้ายได้ไหม” เฟิร์นส่ายหัวตอบ
“ราม ดูโน่น” พีทโดดดึ๋งๆ มาขวางหน้าผม ก่อนจะส่งสัญญาณไปทางบันไดเชื่อมตึกทางซ้ายมือ มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังแบกกองหนังสือใหญ่เท่าฝาบ้าน เดินเข้าโรงอาหารมา ผมหันกลับไปหาพีทและถามทางสายตา
“ข้าเห็นเขาตามเจ้าไปทุกที่เลย ตอนเจ้าไปห้องสมุด เขาก็อยู่ที่นั่น ที่โรงจอดรถหรือห้องน้ำก็ด้วย”
ผู้ชายสายแว่นเนิร์ดๆ ที่ดูติ๋มๆ สูงไม่น่าเกิน170 แบกของหนักจนเป็นจุดเด่นขนาดนี้ เขาจะตามผมมาทำไม ไม่คุ้นหน้าเลย เท่าที่สังเกตเขาไม่หันมองเฉียดมาทางนี่้ด้วยซ้ำ แทนที่จะให้ผมระวังเขา ให้เขาระวังตัวเองไม่ให้สะดุดล้มหรือโดนกองหนังสือที่เขาหอบทับตายจะดีกว่า ช่างเหอะ อย่าไปยุ่งดีกว่า คนแบบนี้น่าเบื่อจะตาย ผมส่ายหน้าเบาๆ ให้พีท
“รามคะ ใบตองล่ะ” เฟิร์นถาม
เฮ้อ น่าเบื่อ
ผมเคี้ยวอากาศไปหนึ่งทีก่อนจะมองซ้ายมองขวา นี่เห็นผมเป็นอับดุลหรือ ถามอย่างกับผมรู้ทุกอย่าง มีไลน์ก็ใช้ได้ไหมล่ะ แต่จะว่าไปเมื่อกี้เจ้าเด็กยังกระโดดกอดผมอยู่เลย เผลอแพ้บเดียวหายแว้บเหมือน…ยมทูตบางคน
“ช่างเถอะค่ะ เราไปเรียนกันดีกว่า” เฟิร์นชวนก่อนเจ้าตัวจะเก็บของลุกจากโต๊ะ
“มา ที่รัก เดี๋ยวเค้าถือให้” เสียงเข้มดัดให้หล่อเหลาพร้อมเสยผมหนึ่งที เจ้าก้อนสีฟ้าที่เดิมทีอยู่บนโต๊ะก็กระโดดขึ้นไปแหมะบนหัวคนพูดอย่างฉับไว โอเค พีทได้เกวียนชั้นดีซะแล้วสิ ผมที่ไม่มีของอะไรก็ลุกขึ้นบ้าง
“เอ๋ รามไม่ได้เอากล้องมาหรือคะ” เฟิร์นสังเกต
นี่เป็นเรื่องแปลกที่สามารถลงกินเนสบุ๊คได้ เพราะการที่ผมไม่พกกล้อง ก็ไม่ต่างจากการไม่พกโทรศัพท์ออกนอกบ้าน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงร้อนใจจนลงแดงตายไปแล้ว พีทที่เกาะบนหัวเดลต้าก็มองมาอย่างสงสัยเหมือนกัน หึ ไม่ต้องมามองเลย ก็ใครล่ะที่เล่นหลับไปตั้งสองสามวัน เป็นตัวต้นเหตุแท้ๆ ผมรีบจ้ำฝีเท้าไปห้องเรียนโดยไม่ได้ตอบอะไร
แซ่ด แซ่ด
บรรยากาศเดิม เพิ่มเติมคือความวุ่นวายที่มากขึ้น ผู้คนมากมายในโรงอาหารส่งเสียงดังจอแจ ไม่รู้คุยอะไรกัน พอได้เวลาพระอาทิตย์ตรงหัวทีไร โรงอาหารก็คือตลาดดีๆ นี่เอง เฟิร์นนั่งกินกะเพราหมูกรอบอย่างละเมียดละไม ส่วนเดลต้าน่าจะอิ่มอากาศ ตอนนี้นั่งดูดชานมชมพูไปไลฟ์สดไอจีไป เห็นดูดมาสองชั่วโมงแล้ว สงสัยเป็นชานมชมพูทิพย์ถึงไม่หมดสักที
ดึ๋ง….ดึ๋ง…..ดึ๋ง….
เจ้าก้อนสีฟ้าไม่ได้หายไปไหนหรอกนะ โดดดึ๋งๆ ตื่นเต้นกับไลฟ์สดอยู่บนหัวเจ้าของไอจีนั่นแหละ เอาจริงๆ คนอื่นอาจจะมองว่าเดลต้าทำตัวหน้าหมั่นไส้ แต่ถ้าพูดกันตามตรง เดลต้าก็ถือว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่…น่าหมั่นไส้จริงๆ นั่นแหละ
“ไปซื้อน้ำนะ” ผมบอก โดยปกติจะไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องรายงานใครหรอก แต่พอเห็นเจ้าก้อนสีฟ้ากำลังสนใจของเล่นใหม่ก็คิดว่าน่าจะบอกสักคำ
“เราจะเอาจานไปเก็บเหมือนกัน” เฟิร์นลุกขึ้น ส่วนเดลต้าก็ฉีกยิ้มให้แฟนสาวหนึ่งสเต็ปแล้วก็หันไปสนใจคอมเม้นในมือถือต่อ
“มึง กูฝากซื้อน้ำด้วยสิ” เจ้าของไอจีพูดลอยๆ ที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าบอกผม ผมส่งสายตาเย็นเยียบไปให้จนอีกฝ่ายขนหัวลุก
“เออ กูพูดเล่น แม่งทำหน้าอย่างกับจะแดกหัวกู” คนที่ฝากซื้อน้ำได้ไม่ถึงสามนาที หันมาบ่นอุบ
ปั๊ก
“เฮ้ย เจ๋งหรือวะ”
วันนี้เป็นวันอะไรเนี่ย ฟ้าดินเห็นชีวิตผมราบเรียบไปหรือเปล่า หรือกลัวเอ้ไม่มีเพื่อนนอนด้วย ถึงได้อยากเห็นผมโดนกระทืบ ผมถือน้ำเดินออกจากร้านเครื่องดื่มมาได้ไม่ถึงสิบก้าวก็ชนกับใครเข้าไปรู้ แต่มั่นใจหนึ่งอย่างว่า ไม่ได้บังเอิญแน่นอน ผู้ชายร่างใหญ่ในชุดเสื้อช็อป ประมาณสามสี่คนยืนล้อมผมเป็นวงกลม พวกมันบีบให้ผมอยู่ตรงกลางวง คนที่ผมชนเข้าเมื่อกี้ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า มันสาวเท้าเข้ามาประชิดตัวผม
ขอขอบคุณบริษัทจัดการชีวิตจำกัดที่มอบตำแหน่ง เหยื่อมาให้ แต่ผมปาตำแหน่งนี้ทิ้งได้ไหม ไอพวกลูกสมุนพวกนี้ก็จ้องอยู่ได้ อย่าให้มีช่องว่างนะ ผมจะสับขาวิ่งให้พวกมันมองกันไม่ทันเลย
“อยู่ดีๆ ไม่ชอบ เจ๋งนักหรือมึงอ่ะ”
หัวหน้าแก๊งร่างสูงกว่าผมใช้มือขวากระชากที่คอเสื้อฮู้ดสีเทาของผมขึ้นไปประจันหน้ากับมัน ผมยืนนิ่งรับบทรูปปั้นสมบูรณ์แบบ มือขวาของผมล้วงไปในกระเป๋ากางเกงยีนของตัวเอง มือกำปากกาแน่น เตรียมโต้กลับ ไอเบิ้มใช้มือซ้ายที่ว่างง้างหมัด
ตุบ ตุบ ตุบ
พวกลูกกระจ๊อกที่ยืนล้อมผมเมื่อนาที่ที่แล้วค่อยๆ ล้มไปนอนกองกับพื้นทีละคน ไอเบิ้มที่ง้างหมัดจะต่อยผมเมื่อกี้ สะบัดคอเสื้อผมออกประกาศกร้าว
“ใครทำเพื่อนกู” เสียงแข็งชี้หน้าไทยมุงที่ยืนมองอยู่รอบๆ
“กูเอง” เสียงฮีโร่ขี่ม้าขาวดังจากด้านหลังไอเบิ้ม ก่อนที่หมัดขวาของพระเอกจะต่อยเชยคางน็อคพี่เบิ้มกลางอากาศ แน่นอนว่าพระเอกคนนั้นไม่ลืมที่จะเสยผมทำเท่ใส่ไทยมุง พร้อมเก๊กหล่อไป1ที พีทกระโดดออกมาจากกองไทยมุงขึ้นมาบนหัวผม ก่อนจะพ่นคำถามมากมาย ทั้งที่รู้ว่าผมพูดกับพีทต่อหน้าเพื่อนไม่ได้ แต่ก็แอบหาจังหวะเพื่อนเผลอเอามือลูบเจ้าก้อนบนหัวเพื่อให้เขาสบายใจ
จากการสอบสวนพวกที่มาหาเรื่องผมเมื่อตอนกลางวัน มีผู้หญิงคนหนึ่งจ้างมาอีกที นอกนั้นก็ว่างเปล่า แต่ตามลักษณะที่ผู้หญิงพวกนั้นบอก ผู้หญิงคนนั้นใส่ชุดนักศึกษา แสดงว่าไม่น่าจะใช่สาขาเรา เพราะเด็กนิเทศใส่ชุดลำลอง บางทีคนที่ส่งพวกนี้มา อาจจะเกี่ยวข้องกับคนที่ฆ่าพีท นอกจากคณะนิเทศ ก็ดูจะมีแค่คณะวารสารณ์เท่านั้นแหละที่ช่วงนี้ผมไปวุ่นวายด้วย
ผมล่ะเบื่อเดลต้าจริงๆ ที่ช่วยผมเมื่อกลางวัน ไม่ได้รับบทพระเอกนะ แต่รับบทพ่อค้าขี้ตืด ทำเป็นเสยผมเอาเท่ พอตกเย็นก็เอามาต่อรองให้ผมทำเวรแทน แถมยังต้องไปประชุมกับอาจารย์คณะแทนอีก ถ้ากลับบ้านไม่ทันช่วงเวลารถติดนะ เจอเอาคืนแน่
ปั๊ก ตุบ
วันนี้สงสัยผมจะฮอตเป็นพิเศษ แต่ฮอตแบบนี้ไม่ต้องก็ได้นะ ฮอตเวอร์ฮอตวัง ฮอตซะเจ็บตัวไปหมด นี่แค่จะขึ้นไปหาอาจารย์คณะ ยังชนกับใครหน้าบันได้ไม่รู้ ทำเอาหนังสือที่เขาถือมาร่วงเต็มพื้นไปหมด
ผู้ชายคนนี้
“ขอโทษครับ”
เด็กเนิร์ดแว่นที่พีทบอกเมื่อตอนเช้า เขามาทำอะไรแถวนี้ บังเอิญหรือ ช่างเหอะ ไม่มีอะไรต้องกังวลมากเกินไป รีบขึ้นไปหาอาจารย์ดีกว่า ปล่อยเจ้าก้อนรอที่รถลำพังเดี๋ยวจะเด้งดึ๋งๆ ไปโดนรถชาวบ้าน
“วันนี้ตึกคณะปิดห้าโมงนะครับ”
ทันทีที่ผมกำลังจะก้าวขาขึ้นบันได หนุ่มแว่นคนนั้นก็เอ่ยขึ้น ผมว่าจะขอบคุณ แต่พอหันกลับไปก็ไม่เจอแล้ว ช่างเหอะต้องรีบแล้ว เหลือเวลาอีกแค่10นาที
ฟุ่บ
เกิดอะไรขึ้น?
พีท….
ตุบ ตับ ตุบ ตับ
“อัก อึก”
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวด สมองจะพยายามลดผลกระทบลง…ซะที่ไหน โดนเตะหน้าเตะหลังเป็นลูกบอลอยู่นี่ ไม่เห็นละมีอะไรลดลงสักนิด ผมอยากให้นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นเจ้าของวลีข้างบนลองมาโดนรุมยำ5ต่อ1ดูบ้าง ไม่รู้เท้าใครเป็นเท้าใคร เจ็บจนจุกไปหมด
แรงของชายวัยฉกรรจ์กระแทกเข้าที่หน้าท้องบ้าง หน้าแข้งบ้าง กระดูกสันหลังบ้าง อือหือ เยี่ยมจริงๆ มันเล่นงานผมมาเป็นชั่วโมงยังสามารถยืนหัวเราะคิกคักกันได้
ไอสถานที่เฉอะแฉะนี่เหมือนกัน ที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้รู้แต่ว่าร่างผมที่กองอยู่กับพื้นมันคันยุบยิบไปหมด น้ำสกปรกที่ส่งกลิ่นราวกับหลังร้านขายหมูนี่มันอะไร ถ้าจะกระทืบเป็นชั่วโมงแบบนี้ ย้ายไปสถานที่ที่ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ
นี่ถ้าไม่ติดว่ามีไอถุงดำเน่าๆ นี่ครอบหัวและเจ็บจนไม่มีแรงลุกแบบนี้ ผมไม่นอนให้พยาธิไชผิวผมแน่นอน
“เฮ้ย มึงว่ามันตายยังวะ” หนึ่งในคนร้ายเห็นว่าเหยื่อนอนนิ่ง ความขี้ขลาดก็เลยเริ่มโผล่หางให้เห็น
ผมรู้สึกว่าบางทีผมอาจยุติเวลาที่แสนทรมานนี้ได้ ผมกลั้นหายใจฉับพลัน ทำตัวราวกับตุ๊กตา ไม่มีเสียง ไม่มีแรงตอบสนองหรือต่อต้านใดๆ พวกมันเริ่มหารือกันว่าจะเอายังไงกับผมดี ซึ่งนั่นแสดงว่าผมมาถูกทาง
“ช่างแม่งดิ ตายก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราหรือเปล่าวะ อีนังนั่นมันก็อยากให้ไอนี่ตายอยู่แล้ว”
นังนั่น?
ผมพอจะนึกออกว่าสถานการณ์เป็นมายังไง หลังจากที่พวกคนร้ายหยุดกระทืบผมและหันไปพล่ามกันเองราวๆ ห้านาที ก็คือนอกจากจะกระทืบผมแบบไม่เกรงใจพลังชีวิตอันน้อยนิดของผมแล้ว บทจะเมินก็คือผมกลายเป็นอากาศไปเลย เข้าเรื่องก็คือ มีผู้หญิงคนหนึ่งจ้างพวกมันมาปิดปากผมด้วยเงินก้อนหนึ่ง แต่เงินมันไม่มากพอจะสั่งปิดบัญชี ก็เลยได้แค่สั่งสอนแทน
“เฮ้ย แต่สวยจั๊วน่าเจี๊ยะแบบนั้น น่าเสียดายว่ะพี่”
ขาว? สวย?
ตอนที่ไปถามเรื่องพีทกับพวกวารสาร ผู้หญิงมีราวๆ 20คน แต่คนที่หน้าตาดีขาวจั๊วน่าเจี๊ยนี่มันใครกัน
นี่พวกคนร้ายมันมีรสนิยมแบบไหนกันเนี่ย
สวยที่ว่านี่มีนิยามเป็นอย่างไร ใช่แบบป้าภารโรงมหาลัยหรือเปล่า ทำไมคนแค่20คน ผมถึงจะไม่เห็นว่าจะมีคนไหนงามหรือไม่งามอย่างไร
อย่างผู้หญิงที่คนร้ายพวกนี้นินทา เอาจริงๆ แค่บอกว่าขาวก็ตัดสาววารสารไปกว่าครึ่งแล้ว ผมผุดภาพสาววารสารปี2ในหัวเลื่อนซ้ายขวาปัดไปมาราวกับรูปภาพในหัวสมองเป็นเครื่องฉายคอลเลกชั่นฮาเร็มสาวชนิดหนึ่ง
“คิดว่าจะใสๆ ไม่น่า…”
“เฮ้ย! พวกมึงทำอะไรอ่ะ”
เวลาดูละครแล้วตัวเอกโดนทำร้าย คนดูมักจะภาวนาให้ตำรวจมาช่วยไวๆ แต่สำหรับผมตอนนี้อยากตะโกนว่า ใครปล่อยคิว โดนกระทืบมาสองชั่วโมง หายจ๊อย พอตอนจะได้เรื่องได้ราวอะไรหน่อยล่ะโผล่มา เฮ้อ น่าเบื่อ
ตุบ ตับ ตับ
เสียงการปะทะกันของเหล่าตัวร้ายกับผู้มาใหม่ดังลั่นอย่างกับหนัง ระบบเสียงเซอร์ราวด์สตูดิโอมาก ผมไม่รู้หรอกว่าคนที่กำลังต่อยตีกับพวกนักเลงนี่เป็นใคร อาจจะเป็นอริที่แค้นฝังหุ่นกันมาแต่ชาติปางก่อนของพวกนักเลงไม่มีระดับ เป็นพลเมืองดีที่ชาติต้องการ หรือเป็นตำรวจที่เกิดอยากเป็นวีรบุรุษที่ทำงานอย่างแข็งขัน แต่ก็ต้องขอบคุณที่ยื่นโอกาสให้ผมหาช่องออกไปจากสถานที่ที่ทั้งเหม็นและสกปรกนี่
“เฮ้ย ไอรูปปั้น”
“รามคะ”
ผมดันตัวเอง มือปริศนาซ้ายขวามาพยุงผมให้ลุกนั่ง ก่อนจะกระชากถุงดำเหม็นๆ ออกจากส่วนบน ภาพแรกที่เห็นคือเดลต้ากับเฟิร์น ทั้งสองมองมาที่ผมอย่างสำรวจและนัยตาแสดงความเป็นห่วงโจ่งแจ้ง แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอก ปัญหามันอยู่ตรงโน้น ฉายสปอร์ตไลท์ไปตรงกลางได้เลย
ตุบ ตับ ตับ
ใครจะเชื่อว่าผู้ชายตัวผอมเพรียว หุ่นเด็กแว๊นจะซัดผู้ชายกล้ามปูตัวใหญ่ๆ ได้ทีเดียว5คน
“เฮ้ยพวกมึง เผ่นดิวะ”
ผมนึกไม่ออกเลยว่าทำไมคนตรงหน้าถึงมาอยู่ที่นี่ เจ้าของผมสีน้ำตาล ในวัย20ปี เสื้อคลุมแจ๊กเก็ตกับเสื้อยืดขาวด้านใน ตัดกับเดฟยีน มือของเขาเปื้อนเลือดของพวกคนร้ายที่เพิ่งจะซัดแบบ1 รุม 5 จนพวกมันหนีกระเจิง สาวตาของเขาหันมาทางนี้ ก่อนที่ขายาวๆ จะก้าวตามมา แบบที่ว่า หกเจ็ดก้าวก็ถึงแล้ว
“พี่ ไปมีเรื่องกับมันได้ไง”
ที่เคยคิดว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ ก็ไม่เกินจริงเลย เฮ้อ นี่มันวันอะไรเนี่ย ทำไมมันถึงได้แจ๊กพ็อตตลอดวันขนาดนี้
ถ้าผมรู้ว่าถอดถุงดำแล้วต้องมาเจอคนๆ นี้ในสภาพนี้ เอาถุงดำคลุมผมแล้วจับโยนลงถังขยะไปเลยดีกว่า “บิว” น้องชายแท้ๆ แบบที่ว่าพ่อกับแม่เป็นคนเดียวกันแบบสำเนาถูกต้อง เขากำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างหน้าผม มือขวาเอื้อมมาจับใบหน้าผมหันไปมา พลิกซ้ายพลิกขวาควับๆ อย่างกับพลิกปลาทู ตรอกแคบๆ ที่ธรรมดากลิ่นก็เหมือนร้านขายหมูอยู่แล้ว พอเจอสถานการณ์แบบนี้ยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่ แล้วหมูถูกเชือกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผมเอง
“เอ่อ…คือ…” ผมเอ่ยตะกุกตะกัก พยายามคิดหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาอธิบาย สายตาของน้องชายสุดสวาทขาดใจว่ากดดันแล้ว พอหันไปมองหาตัวช่วย ทั้งเฟิร์นและเดลต้าใช้สายตาคาดคั้นหาคำตอบไม่แพ้กัน นี่มันอาการของเด็กโดดเรียนที่โดนครูฝากปกครองเรียกมาอบรมชัดๆ “เอ่อ…คือ”
เฮ้อ นี่ผมควรจะทำอย่างไรดีล่ะ จะให้ตอบว่า คนที่มากระทืบพี่ชายตัวเองเกี่ยวข้องกับคดีคนตายที่ไหนไม่รู้ พอดีพี่บุญหล่นทับ พระเจ้าให้พลังตาทิพย์มองเห็นผีเยลลี่ก้อนสีฟ้าที่มีงานอดิเรกเป็นการโดดดึ๋งๆ เด้งไปเด้งมารอบห้อง แล้วเขาก็ต้องมารับบทนักสืบ จับกุมคนชั่วพดุงคุณธรรมอย่างนั้นหรือ ไม่ว่าจะมองในมุมเดลต้า บิว หรือเฟิร์น ก็ดูจะหาความน่าเชื่อถือไม่ได้เลย
ผมคิดจนหัวจะระเบิดแล้วเนี่ย หรือจะแก้ตัวแบบเด็กอนุบาลสามบอกว่าพวกคนร้ายเป็นพวกแก๊งทวงหนี้ แบบว่า ยืมมาจ่ายค่าปาท่องโก๋ทอดแล้วยังไม่คืนดีไหม
“ท่านรามไปยุ่งกับคดีแปลกๆ เข้าน่ะสิครับ” เสียงใสของเด็กน้อยประจำกลุ่มดังมาจากด้านหลังขัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวผม ใบตองเดินเข้ามาหาผมที่ตอนนี้นั่งอยู่ที่โต๊ะไม้เก่าๆ ใกล้ที่เกิดเหตุ “ที่เอ้โดนทำร้ายก็เพราะพวกมันเข้าใจว่าเอ้คือท่านราม ผมไปเยี่ยมเอ้ที่โรงพยายาบาลเมื่อเช้านี้”
“ใบตองเป็นคนตามพวกกูมาช่วยมึง ไม่งั้นหล่อๆ อย่างกูไม่มาที่แบบนี้หรอก” เดลต้าเสริม
“อืม” พอรู้ความจริงเรื่องเอ้ มันก็รู็สึกจุกจนพูดไม่ออกเลย
“พวกมันเป็นใคร” น้องชายสุดสวาทขาดใจของผมเอ่ยถาม แต่รอบนี้ไม่ได้ถามผมนะ โน่น หันไปถามใบตองโน่น
“คนที่ทำร้ายเอ้ มันขู่ให้รามเลิกยุ่งกับคดีการตายของใครสักคนนี่แหละ เอ้บอกว่าจำชื่อไม่ได้”
สีหน้าใบตองเล่าเหมือนมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา เล่าไปแบ๊วไป ผมอยากจะถามใบตองเหมือนกันว่าญาติเป็นโคนันหรือเปล่า แหม… ตอนนี้ผมไม่อยากลากใครเข้ามาพัวพันธ์กับเรื่องนี้ เพราะฆาตกรมันน่าจะรู้ตัวแล้ว และผมก็ไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรอีกบ้าง คงไม่นั่งว่างส่องหุ้นเหมือนเอ้ หรือเสยไลฟ์ไอจีแบบเดลต้าแน่ๆ
“ไปเอารถมาให้หน่อย ฉันจะขับกลับเอง” ผมหันไปบอกบิว พร้อมล้วงกุญแจรถในกระเป๋ากางเกงยีนให้ จังหวะก้มมองแล้วเห็นเสื้อฮู้ดเทาตัวเองเน่าจนไม่เหลือสภาพก็แอบรู้สึกสลดใจ
“รามคะ” ใบเฟรินปราม
“ถ้าฉันพร้อม ฉันจะเล่าทุกอย่างเอง ขอบใจ และขอโทษด้วย”
ผมพูดตัดบทแค่นั้น ทั้งเพื่อนทั้งน้องหันมองหน้ากันอย่างปรึกษา ผมรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงผมถึงได้ถามเรื่องเหล่านี้ แต่เชื่อเถอะว่าถ้ามีใครรู้เรื่องเข้า ทุกอย่างจะแย่กว่านี้
“ราม เจ้าขับรถไหวแน่หรือ”
“อืม”
ผมเอื้อมมือไปบี้บี้บีบบีบเจ้าก้อนสีฟ้าที่จุ้มปุ๊กอยู่เบาะข้างคนขับเบาๆ บาดแผลในร่างกายระบมเขียวบ้าง ม่วงบ้าง สร้างความเจ็บปวดทุกครั้งที่หมุนพวงมาลัย เหยียบเบรก หรือขยับตัว จนต้องนิ่วหน้า
พีทจับสังเกตได้จึงถามแล้วถามอีกด้วยน้ำเสียงแผ่วระคนอ่อนโยนว่าไหวไหม
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงกับสภาพการจราจรประเทศไทยที่ผู้คนใช้เวลาบนถนนมากกว่าในร้านอาหารเสียอีก เยี่ยมจริงๆ เจ้าก้อนที่เห็นผมสีหน้าไม่ดีก็เริ่มเด้งดึ๋งๆ อยู่ไม่สุขตามอาการร้อนใจ
“ฆาตกรเป็นผู้หญิง” ผมบอกพีทหลังจากตัดสินใจอยู่นาน มือจับพวงมาลัย ขาเหยียบคันเร่งหลังรถคันหน้าเริ่มขยับ “ที่เอ้เข้าโรงพยาบาลเพราะคนร้ายมันตั้งใจมาทำร้ายฉัน พวกมันขู่เรื่องคดีของพีท เมื่อเช้ามีคนส่งจดหมายเลือดมาให้ฉัน ไหนจะเหตุการณ์ตอนเที่ยงกับเย็นนี้อีก ถึงคนร้ายจะคนละกลุ่มแต่คนจ้าง เป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่ฆ่าพีทแน่นอน”
“ราม เจ้าจะอันตราย” พีทเสียงแผ่ว สีหน้ารู้สึกผิดแบบปิดไม่มิดเลย
“น่าจะเป็นเด็กวารสารรุ่นเดียวกับพีท ไม่ต้องห่วงฉัน ฆาตกรต้องไปสารภาพบาปในคุก ถ้าจับคนร้ายได้ ทุกคนจะปลอดภัย ทั้งฉันและนาย”
สีหน้าท่าทางของพีททำให้ผมเศร้าไปด้วย ผมก็อยากจะให้พีทร่าเริง ไม่ต้องบอกอะไร รอจนทุกอย่างคลี่คลายแล้วให้เขาไปเกิดทีเดียว แต่พอเห็นสายตาที่พีทมองมาเมื่อกี้ มันเหมือนกับสายตาของบิวที่มองผมเมื่อตอนเย็นนี้ ถ้าผมเลือกจะไม่พูดอะไรเลย อาจจะเป็นการขโมยทั้งความสุขและความจริงของเขาไป จริงๆ ถ้าผมจัดการทุกอย่างเองได้ ต่อให้ผมจะต้องเป็นเหยื่อล่อ ผมก็ยินดีจะทำเพื่อลากคอฆาตกรเข้าตาราง
ทันใดนั้นเอง…
กึก! เอี๊ยด!
“ราม เกิดอะไรขึ้น”
“เหมือนล้อรถจะเหยียบอะไรสักอย่าง รถเสียหลัก! พีทระวังนะ”
ปรี๊น! ปรี้นๆ!
“ราม!”
โครม!
.
.
.
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments