ใครฆ่าผีเยลลี่

ใครฆ่าผีเยลลี่

ตอนต้น

“ราม”

“อาหารไม่อร่อยหรือคะ”

ข้าวหน้าปาท่องโก๋ทอดอาจจะดูเป็นเมนูแปลกๆ แต่เลิศรสสำหรับผม ตอนนี้มีร่องรอยพร่องไปเพียงแค่หน่อยเดียว แน่นอนว่าปกติผมต้องกินหมดไม่เหลือ ‘เฟิร์น’ เพื่อนสาวคนเดียวในกลุ่มมองผมสลับกับข้าวในจานไปมาอย่างสงสัย หล่อนวางช้อนบนจานตรงหน้า จานที่เคยมีข้าวผัดกะเพราหมูกรอบไข่ดาวประทับอยู่ได้ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่โรงอาหารคณะนิเทศศาสตร์ของมหาลัยชื่อดังย่านชานเมือง เพื่อใช้เวลากับมื้อเที่ยงก่อนจะเข้าเรียนวิชาถ่ายรูปช่วงบ่าย

“เฮ้อ...น่าเบื่อ” ผมทำท่าเคี้ยวอากาศไปหนึ่งที “ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

“ที่รัก ไม่ต้องไปยุ่งกับเจ้ารูปปั้นนี่หรอก มาสนคนหล่อๆ แบบมาริโอ้ดีกว่า” ปกติผู้หญิงสวยๆ ต้องคู่กับผู้ชายหล่อๆ ไม่ก็เก่งๆ แต่สงสัยของเฟิร์นคงเป็นข้อยกเว้น ‘เดลต้า’ เพื่อนชายที่รู้จักกับผมมาตั้งแต่มัธยม ควบตำแหน่งแฟนของเฟิร์น เขากำลังเอามือเสยผมด้วยความมั่นอกมั่นใจในความหล่อ เฉพาะเที่ยงนี้ผมเห็นเดลต้าเสยผมประมาณแปดรอบแล้วมั้ง จริงๆ แล้วผมไม่ได้เบื่ออาหารอะไรหรอก ก็แค่...

“นี่ๆ ราม ข้ารู้ว่าเจ้าได้ยินข้า เจ้าช่วยข้าเถอะนะ นะๆๆๆๆๆ” ก้อนวิญญาณสีฟ้าอ่อน ทรงกลมขนาดเท่าลูกบอลเด้งดึ๋งๆ อยู่กับที่ข้างๆ ขา ไม่รู้ว่าเป็นวิญญาณหรือจิงโจ้โดดเก่งเหลือเกิน แถม...ตื๊อเก่งด้วย ถ้าผมปิดเสียงน่ารักๆ ของไอก้อนกลมๆ นี่ได้ ผมจะทำทันที ‘พีท’ วิญญาณเร่ร่อนที่ตามผมไปทุกที่มาสี่ห้าวันแล้ว ทุกที่แม้แต่ส้วม เป็นตัววุ่นวายแถมยังชอบมาโวยวายใส่กันอีก

“ราม รามเป็นอะไรเหรอคะ ให้เฟิร์นป้อนไหม”

“ไม่เอานะที่ร้ากกก โอ๊ย เจ็บไปทั้งหัวใจ ทำไมยังทน ฮือๆ”

เพี้ยะ! ฝ่ามือเมียสุดที่รักของเพื่อนฟาดกลางกระหม่อมเพื่อนรักวัยมัธยมดังสนั่น

“ที่ร้ากกก เค้าเจ็บนะ แต่ที่ใจเจ็บที่สุด”

“ราม!” เสียงเจ้าก้อนกลมคำรามสุดเสียง “อย่าเมินข้านะ”

เจ้าก้อนสีฟ้างอแงโดดดึ๋งๆ ไปทั่วโรงอาหารเพื่อให้ผมสนใจ ที่คิดว่าเหมือนจิงโจ้ คงไม่เกินจริง พอถูกเมินทีไรก็เด้งดึ๋งๆ ไร้ทิศทางแบบนี้ตลอด ถ้าคนอื่นมองเห็นเจ้าก้อนนี่ ต้องจับมันไปแสดงโชว์งานวัดเก็บเงินซื้อกล้วยแขกแน่ๆ

เฮ้อ น่าเบื่อ

“ราม อย่าเมินข้านะ”

ปึง

เสียงปิดประตูดังเป็นสัญญาณระฆังว่าให้นักมวยเริ่มชกได้ ผมเตรียมเอามืออุดหู

“รามๆๆๆๆๆ ราม!”

ไอตัวก้อนๆ ที่เด้งไปกำแพงด้านขวาทีด้านซ้ายที ชนโคมไฟบ้าง ชนแก้วน้ำบ้าง จริงๆ มันก็ดูน่ารักดีนะ ถ้าไม่นับเรื่องที่ชอบโวยวายกับติดดื้อไปหน่อย แต่เจอแบบนี้ซ้ำๆ ทุกวันบางทีก็ไม่ไหว น่าเบื่อ โชคดีที่เขาเป็นผีโวยวายแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน (ยกเว้นผม) เรื่องที่ว่าถ้าวิญญาณมีห่วงจะไปเกิดไม่ได้ผมก็พอจะเคยได้ยิน แต่วิญญาณที่เป็นก้อนกลมๆ เหมือนเยลลี่ก็เพิ่งเห็นนี่แหละ ยังไงก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องของผม

เมื่อสี่ห้าวันก่อน ผมไปถ่ายรูปที่โกดังเก็บของพวกชมรมเกษตรด้านหลังมหาลัยแล้วเจอเจ้าก้อนกลมๆ นี่ดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ข้างถุงปุ๋ยเหมือนหมาชิสุโดนทิ้ง เห็นแปลกๆ นิ่มๆ ก็เลยเอานิ้วไปจิ้มๆ ดู ไม่คิดเลยว่าอามรมณ์ชั่ววูบ ไม่สิ ชั่วเสี้ยววินาทีในตอนนั้น จะนำพาเจ้าจิงโจ้มาสู่ห้องนอนในวันนี้

เรื่องที่มีวิญญาณตามมาอยู่ด้วย ผมไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ ถึงผมจะไม่ค่อยถูกกับสิ่งที่มองไม่เห็นสักเท่าไหร่ก็เถอะ แต่เรื่องที่คอยตามตื๊อทั้งที่คอนโด ในห้องเรียน ที่โรงอาหาร ในรถยนต์หรือแม้แต่ในส้วม ดูท่าจะน่าเบื่อเกินไปหน่อย ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยไล่หรอกนะ แต่พอผลักไสเมื่อไหร่ เจ้าก้อนนิ่มก็จะโดดดึ๋งๆ อยู่กับที่ประท้วงแล้วก็บอกว่าผมใจร้ายๆ ทั้งวันทั้งคืน ก็แอบน่าสงสารเหมือนกัน ทั้งที่พีทเป็นวิญญาณอิสระแท้ๆ แต่แทนที่จะมาใบ้หวยเหมือนผีต้นกล้วย ดันมาขอให้ช่วยซะได้ นี่ถ้ามาเป็นแบบให้ผมช่วยถ่ายรูปให้ก็ว่าไปอย่าง

ผมนั่งเช็ดเลนส์กล้องบนโซฟาในห้องรับแขกไปพลางคิดเรื่องวุ่นๆ ในหัวไปด้วย อย่างเช่น การตายของพีทอาจจะดูน่าสงสัยหรือมีเงื่อนงำมาก ไม่งั้นพีทคงสืบเองและไปเกิดแล้ว ยังไงก็แล้วแต่ มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับผมอยู่ดี ผมเอาเวลาไปนั่งเช็ดเลนส์กล้อง แล้วเตรียมออกไปถ่ายรูปสวยๆ ฝึกฝีมือดีกว่า การตายของพีทผมรู้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้ผมสร้างชื่อเหมือนพ่อได้ อีกอย่าง ต่อให้ผมไม่ช่วยสืบเรื่องนี้เดี๋ยวพีทก็คงไปหาคนอื่นให้ช่วยได้อยู่ดี

“ราม! ถ้ารามไม่ช่วยข้า ข้าจะ... ข้าจะเล่นงานเจ้า”

หึ เล่นงาน? อยากจะเด้งไปชนอะไรก็ตามใจ น่าเบื่อ...

วันต่อมา

แสงอาทิตย์อ่อนๆ ยามเช้าส่องลอดบานกระจกเข้ามากระทบผิวหน้า ผมที่ไม่เคยตั้งนาฬิกาปลุกสักวันก็ยังตื่นเช้าทันไปเรียนเช่นเดิม แม้ตอนนี้ผมรู้ว่าทันทีที่ผมลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ ห้อง จะต้องเห็นพีทเด้งดึ๋งๆ ดึ๊บๆ อยู่ตรงไหนสักที่ ผมก็คงไม่ตกใจแล้ว การตายของพีท พีทบอกว่าตัวเองจำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าตายตอนไหนด้วยซ้ำ เลยมาขอให้ผมช่วย แต่ผมไม่ช่วยแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นวันนี้ต้องไล่พีทออกไปให้ได้ ถ้าไม่สงสารอีกอะนะ

ผมกวาดตามองไปรอบเตียงและแน่นอนว่า ผมเห็น.....

“อ๊ากกกกก คุณเป็นใคร”

ผมขยี้ตาตัวเองสองสามทีจนมั่นใจว่าสายตาผมยังไม่ได้ฝั่นเฟือน ผู้ชายเตี้ยๆ อ้วนๆ เหมือนโก๊ะตี๋ ในชุดเสื้อลายดอกนี่มันเป็นใครกัน ตกใจนะเนี่ย จู่ๆ ตื่นมาก็มีไออ้วนที่ไหนไม่รู้มายืนจ้องหน้าอยู่ปลายเตียง นี่ผมต้องแจ้งความหรือแจ้งยามก่อนดี

“ท่านยมๆ นี่แหละคนที่ข้าเล่าให้ฟัง ชื่อราม” เจ้าก้อนสีฟ้าเด้งดึ๋งๆ มาจากข้างซอกโต๊ะแคบๆ หลังผ้าม่าน พีทโดดขึ้นมาบนเตียงแนะนำผมให้กับแขกไม่ได้รับเชิญ ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่ใช้สายตาพิฆาตส่งไปหาเจ้าก้อนเยลลี่เป็นเชิงถามและดุในที

“แหะๆ อรุณสวัสดิ์ราม เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าแค่พาคนรู้จักมานิดหน่อย” ผมส่งสายตาดุซ้ำ “นี่คือ ท่านยม ยมทูตในอานาเขตแถวนี้”

อืม...ยมทูต

ห้ะ

“ผะ...ผี ว๊ากกก!”

ผมกระถดตัวไปข้างหลังให้แผ่นหลังชิดหัวเตียงภายในพริบตา เจ้าก้อนวิญญาณกับผีแปลกหน้ากำลังคุยกันสนุกสนานร่าเริงอยู่ปลายเตียง พีทที่เพิ่งโดดขึ้นมาบนเตียงเมื่อสักครู่นี้ เจ้าตัวกำลังทำหน้าที่ ต้อนรับแขกเป็นอย่างดี ยมทูตที่บุกเข้ามาให้ห้องผม หน้าตาดูเหมือนคนแก่กว่าผมได้ประมาณ 5 ปี แต่ส่วนสูงดูจะเป็นเด็กมัธยมต้นเท่านั้น เขาเป็นผี ผมเป็นคน จริงๆ แล้วเขาอาจจะอายุมากกว่าผมเป็นพันปีก็ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเอาหัวข้อเรื่องสถานะ อายุหรือส่วนสูง ดูเหมือนเจ้าก้อนสีฟ้าจอมสร้างปัญหาจะแพ้ราบคาบทุกทาง

ผมหน้าเสีย เหงื่อเม็ดเล็กเม็ดใหญ่ผุดตามกรอบหน้า แม้อุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศจะไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น ทันทีที่เห็นว่าผีทั้งสองหยุดบทสนทนาแล้วหันมามองทางนี้ หัวใจก็เต้นด้วยความเร็วเกินพันครั้งต่อวินาที นานมากแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้

ตั้งแต่ตอน 6 ขวบ ที่แม่ชอบบอกว่า ผมโดนผีตามไปทุกที รอบๆ ตัวผมมีแต่ผี และเมื่อไหร่ที่ผมดื้อ ผมขี้ขลาด ผีพวกนั้นก็จะพาคนรอบๆ ตัวผมจากผมไป ถึงผมจะไม่เคยเห็นผี แต่ผมก็ไม่เคยแสดงความหวาดกลัวออกมาเท่านี้มาก่อน คงไม่มีใครอยากเสียคนรอบตัวไปหรอก

“ฮ่าๆๆๆ ดูเหมือนเพื่อนเจ้าจะกลัวเจ้าไม่เลิกนะ” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยอย่างชอบใจ

“ข้าว่ารามน่าจะกลัวท่านมากกว่านะ”

คนทั่วไปเจอผีอาจจะวิ่งหนีขนหัวตั้งไปแล้ว แต่ที่ผมยังนั่งมองผีถึงสองตนสนทนากันตรงหน้าระยะนี้ได้ บอกจากใจ ขามันก็แข็งจนก้าวไม่ออกแล้ว! ‘ท่านยม’ เพื่อนของพีทคนนี้ ช่างไม่น่าคบค้าสมาคมด้วยเสียจริง ยัง ยังจะมองมาทางนี้อีก เขาหายตัวขึ้นมาโผล่บนเตียงในเสี้ยววินาที ตอนนี้บนสังเวียน ไม่ใช่สิ บนเตียงมีผมเจ้าของห้องนั่งเบิกตาโพลงเหมือนไข่ห่าน กับผีสองตนที่นั่งตรงปลายเตียงในระยะน่าพิศวง ตอนนี้ขนหัวผมมันคงตั้งตระหง่านโดยไม่ต้องพึ่งเจลเลยล่ะ

“เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ ฮ่าๆ เจ้ามนุษย์ราม ข้ามีเรื่องให้เจ้าทำ” ยมทูตในชุดลำลองนั่งลงท่าขัดสมาธิ กอดอกออกคำสั่ง

“เรื่องให้ทำ?” ผมพยายามหายใจช้าๆ ปรับอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติ บังคับมือตัวเองที่กำผ้าห่มแน่นไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้

“ใช่แล้ว เจ้าต้องเผากระดาษเงินให้ข้า” เสียงเข้มเน้นคำว่า เจ้า ให้รู้ว่าราชสีห์อย่างเขามีอำนาจขนาดไหน และแน่นอนว่า ผลลัพธ์ที่ออกมา คือความน่าเกรงขาม และ…เดี๋ยวนะ

กระดาษเงิน?

เจ้าผีตัวนี้ บ้าไปแล้วสินะ มาขอใช้คนอื่นหน้าตาเฉย ผมละสายตาจากผีแปลกหน้าหันไปหาไอเจ้าก้อนสีฟ้า ตัวการ...

“แหะๆ ก็แหม ช่วงนี้ท่านยมพักร้อนอยู่นี่ครับ ช่วงพักร้อนก็ต้องใช้เงินเยอะใช่ไหมล่ะครับ ทีนี้พอเงินไม่พอ...”

“พอเงินไม่พอก็เลยบอกให้มาหาฉันงั้นสิ” ผมหันไปตวาดเจ้าก้อนเยลลี่ในทันที สายตาแสดงความไม่พอใจ มันน่าจับเยลลี่ก้อนนี้ไปบี้ไปบดให้เป็นก้อนเละๆ เหมือนหมูสับจริงๆ หรือจะเอากล้องสะกดวิญญาณมาถ่ายไว้ดีนะ มันน่าตีจริงๆ

“แหะๆๆ”

สีหน้าของเจ้าก้อนดูสำนึกผิดนิดๆ เฮ้อ น่าเบื่อ ผมนั่งเคี้ยวอากาศไปหนึ่งที ความกลัวเริ่มคลายลง แต่ถึงความกลัวจะเริ่มคลายลง ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะต้องไปผูกมิตรกับยมทูตซะหน่อย

“...ดึ๋ง....ดึ๋ง...ดึ๋ง...” พีทโดดดึ๋งๆ อยู่กับที่และมองมาที่ผม รู้สึกได้ถึงสายตาอ้อนวอนปิ้งๆ เลย

“เฮ้อ...น่าเบื่อ” ผมเคี้ยวอากาศกร้วมๆ ก่อนจะยื่นคำขาด “ไม่ มาทางไหนกลับไปเลย”

“อะไรนะ เจ้ามนุษย์นี่อยากตายใช่ไหม” คนฟังตาเขียวปั๊ดทำทีท่าถกแขนเสื้อขึ้นลอยมาหาผม ผมเบิกตาโพลง สมองคิดหาทางหนีทีไล่ แต่ไม่ทันถึงตัวก็มีเจ้าก้อนกลมขวางไว้

“ใจเย็นๆ นะครับท่านยม”

ผมกลับมาสงบจิตใจได้อีกครั้ง ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึง ครึ่งชม.ก็ได้เวลาไปมหาลัยแล้ว ปล่อยเรื่องไร้สาระแล้วไปทำหน้าที่ของตัวเองดีกว่า วันนี้มีคลาสถ่ายรูปด้วย

“เฮ้อ คุยกันเสร็จแล้วก็กลับไปด้วยล่ะ” ผมเดินลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ เตรียมอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนด้วยสีหน้าเบื่อโลก ถ้าออกมาแล้วไม่เจอผีคู่นี้คงจะดีมาก นี่ชีวิตผมมันคงโดดเดี่ยวเกินไปสินะ ฟ้าถึงได้ส่งความวุ่นวายมาให้

“ราม นั่นลูกจะไปไหน”

เสียงใสดังออกมาจากในครัว หญิงสาวในชุดแม่บ้านกับผ้ากันเปื้อนยืนคนข้าวต้มมื้อเช้าเหมือนทุกวัน เขาส่งรอยยิ้มหวานมาให้เด็กชาย บ้านสองชั้นสไตล์ยุโรปหลังหนึ่งมีครอบครัวพ่อแม่ลูกที่สมบูรณ์และอบอุ่นอาศัยอยู่ เด็กชายรูปร่างสมส่วนวัย 6 ขวบ วิ่งลงจากชั้นสองมุ่งหน้าไปทางประตูบ้าน

“ผมจะไปหาคุณพ่อครับ” เด็กชายตอบเสียงเจื้อยแจ้ว

“คุณพ่อไปทำงานที่สิงคโปร์ไงจ๊ะ เพิ่งบินไปเมื่อเช้านี้เอง” หญิงสาววางทัพพีก่อนจะค่อยๆ เดินมาหาลูกชายสุดที่รัก

“ครับ ผมรู้ ผมจะไปให้คุณพ่อสอนถ่ายรูป ผมจะเก่งเหมือนคุณพ่อ”

“จ้าๆ คนเก่ง” หญิงสาวลูบหัวลูกชายไปมา “แต่ก่อนอื่น คนเก่งของแม่ต้องไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปเรียนก่อนนะจ๊ะ”

“คุณแม่บอกว่าห้องน้ำมีผี ผะ…ผมไม่อาบได้ไหมครับ” เด็กชายหลบสายตามองพื้นตอบ

“ชู่ววว…อย่าให้คุณผีรู้นะจ๊ะ ว่าลูกกลัว ไม่งั้นคุณผีอาจจะไม่ให้พวกเราเจอคุณพ่ออีกน้า ลูกรีบไปอาบน้ำ รีบออกมาทานข้าวนะจ๊ะ คุณผีจะได้ไม่สงสัย”

ซ่า

สายน้ำที่ไหลผ่านร่างเหมือนพาเรื่องราวในอดีตให้กลับมาอีกครั้ง ผมตั้งสติปีดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป

กริ๊งๆ

(ฮัลโหลๆ ไอรูปปั้นอยู่ไหนฟร้ะ เอ้กับไอตองกลับมาจากค่ายแล้วนะเว้ย)

“อืม รู้แล้ว”

(เฮ้ย มีปากก็พูดให้เยอะๆ หน่อยสิเว้ย นี่แก@#$#@)

“กำลังแต่งตัว เจอกัน”

(เฮ้ย อย่าเพิ่งวางสายนะเฟ้ย!...ติ๊ด)

“รามเนี่ย ไม่เข้าสังคมเลยนะ”

พีทที่ฟังตั้งแต่ต้นเอ่ยทักก่อนจะโดดดึ๋งๆ ตามผมเหมือนลูกแมว ผมมองพีทที่โดดตามได้แว๊บเดียวก็หันไปหยิบโน่นนี่แต่งตัวเตรียมไปมหาลัยต่อ จริงๆ พีทน่าจะตามยมทูตนั่นไปนะเนี่ย ทำไมยังอยู่ตรงนี้อีก ยมทูตนั่นก็เช่นกัน ตำแหน่งก็ดีทำไมไม่มีตังค์ล่ะเนี่ย ว่าแต่ ผีต้องใช้ตังค์ด้วยหรือ ช่างเถอะจะผีหรือพีทผมก็ไม่ช่วยทั้งนั้น ยิ่งมาตามเกาะติดแบบนี้ยิ่งไม่อยากช่วย

ผมสะพายกระเป๋ากล้องตัวแพง เดินนิ่งๆ เข้าไปในโรงอาหาร วันนี้อากาศเย็นๆ แดดไม่มี ดูทรงแล้ววันนี้น่าจะมีฝน ผมไปที่โต๊ะประจำในโรงอาหารตึกนิเทศ จากนั้นก็วางกระเป๋าไว้ข้างๆ ที่นั่ง เจ้าก้อนสีฟ้าโดดดึ๊บๆ ไปแหมะอยู่บนกระเป๋าอีกที ในตอนที่ผมกำลังจะนั่งลงกับโต๊ะนั่นเองที่อยู่ดีๆ ตาขวาก็กระตุกดิ๊กๆๆ

“ท่านรามคร้าบบบ”

ฝ่ามือเล็กๆ กระโจนมากอดผมจากทางด้านข้างพร้อมเสียงใสๆ ‘ใบตอง’ ชายตัวเล็กรูปร่างผอมแห้งที่ผมบังเอิญไปช่วยสอนการบ้านด้วยความสงสาร ไม่สิ ด้วยความบังเอิญเมื่อปีที่แล้ว กลายมาเป็นเอฟซีและเป็นเพื่อนร่วมแก๊งตั้งแต่นั้นมา

สีหน้าของทุกคนในโรงอาหารแสดงความอยากรู้อยากเห็น สายตาเพ่งเล็งมาที่ผมกับลิงชิมแปนซีที่เกาะหนึบด้านหลังอยู่ในขณะนี้เป็นตาเดียว ขอร้องนะ พวกสาววายทั้งหลาย ผมรู้ว่าพวกคุณคิดอะไร แต่มันไม่ใช่ ไม่ใช่ และไม่ใช่ลูกเดียว อย่าใช้ความคิดทำร้ายผมเช่นนั้นเลย

สำหรับผมตอนนี้ถ้าจะให้เปรียบเทียบผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นแม่ลิง หรือไม่ก็เป็นเจ้าของสุนัขสักตัวที่พลัดพรากกันมานาน สะบัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด ตอนนี้เลยยืนนิ่งๆ รอการหลุดพ้น เจ้าลูกลิงกอดผมสักพักก็กระโจนไปนั่งฝั่งตรงข้ามผม เบียดเดลต้าที่นั่งอยู่ก่อนตกเก้าอี้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับก้นช้ำๆ และเสียงบ่นอุบของเจ้าคนหล่อขี้โวยวายประจำกลุ่ม ทั้งยังทำตาประกายวิบวับส่งมาทางนี้ภายในพริบตา ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พีทที่อยู่ข้างๆ ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ผมตามไม่ทันแต่รู้สึกเหมือนเห็นใบตองกระดิกหางได้เลย

“เหมือนเห็นหมาเจอเจ้าของเลย” เฟิร์นแซว

“ใช่ ที่รัก เหมือนเห็นหางสะบัดไปมาด้วย” ทั้งสามคนพยักหน้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

ที่บอกว่าสามคนเพราะกลุ่มของผมจริงๆ แล้วมีห้าคนครับ ได้แก่ ผม เดลต้า เอ้ เฟิร์น และใบตอง ‘เอ้’ ชายรูปหล่อ บ้านรวย ดีกรีเดือนมหาลัยและอดีตนักบาสมหาวิทยาลัยปีที่แล้ว หันมองทางนี้แต่มือทั้งสองข้างยังคงประกบกับแป้นพิมพ์โน๊ตบุ๊คด้วยความเร็วในการพิมพ์ที่เรียกได้ว่า เหนือมนุษย์ ก็นะ เป็นนักธุรกิจของแท้เลยล่ะ แม้แต่อยู่ในโรงอาหารแบบนี้ ก็ยังปั่นหุ้นเหมือนอยู่ที่บ้านได้

“ท่านราม ผมมีของมาฝากด้วยครับ นี่” ใบตองยื่นด้ายสีแดงเส้นหนึ่งมาให้

“อะไร” ผมถาม

“น่ารักจัง ทำไมไม่เห็นมีของฉันบ้างเลย” เฟิร์นโอด

“ตอนที่ผมไปค่าย เจอหมอดูคนหนึ่งแม่นมากๆ เลยครับ ถามอะไรไปหลายอย่าง”

“ถามถึงคนหล่อๆ แบบกูบ้างรึเปล่า” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอที่เสยผมถามอยู่นี่ใคร

“คุณเป็นใครหรือครับ”

ใบตองทำหน้ามึนแม้จะถูกคนฟังแยกเขี้ยวใส่ไม่จริงจังนัก ผมมองเฟิร์นนั่งขำ กับ เอ้ที่ยังคงสนใจแต่แท่งเขียวแดงในจอ ที่เอ้เคยบอกว่า ความผิดพลาดอย่างเดียวในชีวิตคือการเข้ามาอยู่กลุ่มนี้ สงสัยจะไม่เกินจริง ผมว่าบางทีอาจไม่ใช่แค่เอ้นะที่รู้สึกว่าตัวเองหลงมาอยู่ผิดกลุ่ม

จริงๆ ผมว่ากลุ่มนี้เกิดขึ้นแบบงงๆ ผมรู้จักกับเดลต้าเพราะตอนเรียนมัธยมเคยไปขอให้เดลต้ามาเป็นแบบถ่ายรูปให้ (ช่วงฝึกถ่ายรูปเข้ามหาลัย) แค่ชมว่าหน้าตาดีก็มาเป็นแบบให้ฟรีๆ จากนั้น เฟิร์นกับใบตองก็ตามมาเป็นสมาชิกคนที่สามของกลุ่มส่งคนสุดท้ายที่มางงๆ เพราะโดนจับกลุ่มทำรายงานด้วยกันก็คือเอ้ (ไม่รู้ทำไม งานคู่หรืองานกลุ่ม อาจารย์ก็มักจะจับเอ้กับเดลต้าทำด้วยกัน) จนสุดท้ายก็มาเป็นกลุ่มแก๊งอย่างทุกวันนี้ สาวงาม คนหลงตัวเอง เด็กเล็ก นักธุรกิจ และรูปปั้นอย่างผม แต่ถึงจะดูไม่เข้ากันแต่ถ้าใครในกลุ่มมีเรื่องเดือดร้อน เราก็ไม่เคยทิ้งกัน

“ข้าเคยได้ยินว่าด้ายแดงจะเชื่อมวิญญาณสองดวงไว้ด้วยกัน” เจ้าก้อนกลมกระโดดขึ้นมาทำตัวยืดๆ หดๆ โยกไปโยกมาบนตักผม ท่าทางจะสนใจด้ายในมือมาก

ปกตินอกจากเฟิร์นที่ดูจะมูเตลูที่สุดในกลุ่มก็ไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องแบบนี้หรอก แต่….ผมมีลางสังหรแปลกๆ หรือผมจะเจอตัวแปลกๆ มากไป คงติดอาการคิดมากมาจากเดลต้าแน่ๆ ไม่สิ รายนั้นไม่ใช่คิดมาก แค่คิดเข้าข้างตัวเอง

“มีอะไรแปลกด้วยครับท่านราม”

“อะไรแปลก”

“ก็หมอดูคนนี้เขาใบ้หวยไม่ได้น่ะสิครับ” ใบตองบอกด้วยน้ำเสียงเชิงกระซิบทำให้ทุกคนตั้งใจฟังกันมาก (ยกเว้นเอ้) แต่ผมก็ลืมไปว่านี่มันใบตอง จะไปถือสาหาความอะไรกับมัน เคยเป็นโล้เป็นพายอะไรกับเขาที่ไหน ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนนี้ทุกคนถึงร้องโอ๊ยออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน ขนาดพีทที่โดดขึ้นมาฟังบนโต๊ะเมื่อกี้ยังร้องโอ๊ยเลย

“เฮ้อ น่าเบื่อ” ผมมองใบตองไปเคี้ยวอากาศไปสีหน้าบ่งบอกว่า นึกไว้แล้ว

“อย่าเพิ่งเบื่อสิครับท่านราม มีเรื่องที่สุดยอดด้วยนะ”

“ทำไม จะบอกว่าหมอดูหล่อกว่ากูเหรอ” เดลต้าบอก

“อันนั่นแน่อยู่แล้ว”

“โฮ่ ที่รักอ่า”

“ฮ่าๆ หมอดูเป็นผู้หญิงครับ”

“อ้าว” อันนี้อ้าวพร้อมกันทั้งเดลต้าและเฟิร์นเลย

“คือผมถามเรื่องท่านรามไปเยอะมากเลยครับ แต่สงสัยดวงท่านรามจะพิเศษมากจริงๆ หมอดูบอกแค่ว่า ชะตาลิขิต แล้วก็เอาด้ายแดงให้ผมนี่แหละครับ”

สีหน้าใบตองดูงงจริงจังมาก ผมว่าหมอดูก็คู่กับหมอเดานั่นแหละ ถ้าแม่นจริงรู้ทุกอย่างบนโลก คงนอนสบายบนกองเงินกองทองแล้วล่ะ งั้นไอของแบบนี้ก็คงไม่ต่างจากของหลอกเด็ก ของหลอกเด็กก็ยกให้เด็กแล้วกัน

“เขาเอาให้ตองแหละ” ผมส่งด้ายแดงคืนให้ แต่ใบตองบอกว่าไม่ใช่ของใบตองแน่นอนและให้ผมเก็บไว้แทน

คุณเคยเห็นกีฬาชักเย่อไหม ผมกับใบตองกำลังเป็นแบบนั้นเลย เพียงแต่ไม่ได้ดึงเข้าหาตัวแต่เป็นผลักไปไกลๆ เจ้าก้อนสีฟ้าที่เป็นกรรมการตรงกลางวง ก็เอนตัวตามเส้นด้ายแดง ยืดๆ หดๆ โยกไปทางซ้ายทีทางขวาที นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย งั้นดึงๆ ให้ขาดเลยแล้วกัน เอาล่ะ ดึง~~

“โอ๊ย ของดีแท้ๆ เกี่ยงกันอยู่ได้ เอามานี่มา” เฟิร์นอาสาก่อนจะเอื้อมมือมาฉกของกลางไป

“เฟิร์น เอามานี่นะ นั่นของพี่ราม”

ผมละความสนใจจากสงครามเด็กแย่งของเล่นนี้ เพราะระหว่างที่เฟิร์นกับใบตองกำลังต่อสู้กันอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงรถกู้ภัยจำนวนมากขับผ่านหน้ามหาลัย เสียงดังระรัวราวกับมีคดีสังหารหมู่เกิดขึ้นย่านนี้ ผมนั่งลงข้างๆ เอ้ พร้อมกับตาขวาที่กระตุกหยิกๆ ลางไม่ดีแล้วสิ

“อืม แม่นจริงๆ ด้วย” คราวนี้ไม่ใช่เฟิร์นหรือเดลต้า แต่เป็นเอ้ที่หยุดมือจากแป้นพิมพ์เอ่ยขึ้นมา

“อะไรแม่นหรือ” ผมถาม

“หมอดู...”

“ฮึ๋ย มึงไปอยู่ไหนมาราม เขาแชร์กันให้ทั่วมหาลัย” แน่นอนว่าเดลต้าไม่ปล่อยให้ใครสนใจเอ้มากกว่าตัวเอง” ก็หมอดูที่เพิ่งมาเปิดร้านหน้ามอเราไง โคตรแม่น วันนี้เปิดร้านวันแรก แม่งก็ทำนายว่าจะมีคนตายเป็นสิบเลยเว้ย”

“ใช่ๆ แล้วก็มีคนตายจริงๆ ได้ยินเสียงกู้ภัยแล้วเฟิร์นยังขนลุกเลย”

“ข่าวออกแล้ว” เอ้พูดขึ้นพร้อมกับหันหน้าจอโน๊ตบุ๊คมาให้พวกเราดู

ผมมองหน้าจอด้วยรูม่านตาดำที่หดเหลือนิดเดียว ร่างกายรู้สึกชาวาบ เปลือกตาไม่สามารถกะพริบหรือขยับได้ชั่วขณะ ภาพกู้ภัยขนศพในผ้าขาวลงบันไดตึกทีละร่างๆ กำลังฉายอยู่ในขณะนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น บันไดและสภาพแวดล้อมแบบในข่าวกับคนตายนับสิบนั่นมันคืออะไร

“นี่มันหอพักของท่านรามนี่ครับ”

“คนหัวใจวายทีเดียวเป็นสิบคนเลยเหรอวะ โคตรแปลก แต่ที่รักไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ เค้าจะปกป้องที่รักเอง”

“หรือว่าที่หอรามจะมีปีศาจ”

“โธ่ ที่รัก สนใจเค้าหน่อยสิ”

“ปีศาจ?”

มันดูเป็นไปไม่ได้ ไม่น่าเชื่อถือ งมงาย และเกินความเป็นวิทยาศาสตร์ไปมาก แต่สำหรับผมที่เจอทั้งผีเยลลี่และยมทูตยาจกบอกเลยว่า ปีศาจก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป แต่ว่านะ ไอเจ้าก้อนสีฟ้ามันย่องเบากระโดดดึ๊บๆ หนีไปทางด้านหลังผม แสดงว่า.....

ว่าแล้ว ใช่จริงๆ ด้วย

“ฮ่าๆๆ ข้าเก่งใช่ไหมล่ะ”

ผมยืนส่งสายตาพิฆาตไปหาพีท พีทโดดดึ๋งๆ ไปหลบหลังหมอดูมือใหม่ ที่ใช่นามพยากรณ์ว่า ‘หมอแมะ พญายม’ แหม เป็นยมทูตแต่เลื่อนขั้นตัวเองซะสำเร็จเลยนะ แบบนี้แจ้งโฆษณาเกินจริงได้ไหม ก็คิดอยู่แล้วว่าหมอดูอะไรจะมาเปิดร้านหน้าโรงเรียนตอนนี้ แถมยังไปทายเรื่องคนตาย ไหนจะช่วงจังหวะเหมาะเจาะลงตัวนั่นอีก พอผมจับได้แทนที่จะสำนึกกลับมายืนหัวเราะอย่างภูมิอกภูมิใจ เปิดร้านไม่ถึงสามชั่วโมงคนยังตายกันขนาดนี้ ไอร้านน่ากลัวแบบนี้ ถ้าพีทไม่มีพิรุธ ผมคงไม่มาที่นี่หรอก

“เฮ้อ น่าเบื่อ สรุปว่าคุณเป็นคนฆ่าพวกเขาใช่ไหม”

“แหมๆ พูดจาโหดร้ายนะไอ้หนู ข้าก็แค่ทำงานแลกเงินไปเที่ยวกับพวกผีสาวๆ ในมัลดีฟเท่านั้นเอง”

“ระ....ราม” พีทกระดึ๊บออกมาทำท่าจะอธิบาย แต่ผมจ้องเขม็ง พีทเลยโดดกลับไปด้านหลังยมทูตเหมือนเดิม

“ฉันรู้นะว่าคนพวกนั้นยังไม่ถึงฆาต”

“ฮ่าๆ ถ้าถึงฆาตข้าจะเก็บอายุขัยที่เหลือของใครไปขายล่ะไอ้หนู” เจ้าของร่างอวบอ้วนลอยไปยังโซฟา เอนตัวนั่งอย่างอารมณ์ดี

ผมล่ะเชื่อเลยว่าจะมียมทูตไร้จรรยาบรรณแบบนี้อยู่จริงๆ ผมไม่ยอมให้คนดีๆ ต้องมาตายเพราะเหตุผลแบบนี้หรอก ถึงผมจะไม่ค่อยถูกกับเพื่อนบ้าน (สถานะ:ถูกเพื่อนบ้านกลัวเพราะชอบไปจ้องหน้าเขา) แต่ยังไงซะ ผมก็ยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ ถึงผมจะต้องกลืนน้ำลายตัวเองก็ตาม

“ฉันจะเผากระดาษเงินไปให้”

“ฮ่าๆๆ ตอนนี้ข้าไม่ได้ต้องการเงินจากเจ้าแล้วไอ้หนู” พีทกระโดดขึ้นไปบนตักยมทูตในทันที หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไปหลบทำมุมซุบซิบกันอยู่สองคน ไม่สิ สองตน

“อะแฮ่มๆ เอางั้นก็ได้ ข้าจะคืนวิญญาณเจ้าพวกนี้แลกกับที่เจ้าเผากระดาษเงินให้ข้าและ....”

ยมทูตยาจกพูดจบแค่คำว่า แลก แล้วก็ไม่ยอมพูดต่อ เอาแต่จ้องหน้าผมเหมือนกับมันจะมีเงินมีทองไหลออกมา ยมทูตยาจกนี่อาจจะนึกเล่นพิเรนทร์อยากสื่อสารด้วยจิตรึเปล่า หรือส่งสารทางดวงตาเป็นปลากัด มันใช่เวลาไหม ผมว่าผมต้องทำให้ทุกอย่างมันชัดเจนแล้วรีบออกห่างพวกผีไม่เต็มเต็งพวกนี้ ก่อนที่ชีวิตผมจะแปลกไปกว่านี้ ตอนแรกผมก็กลัวผีนะ ตอนเจอยมทูตก็กลัวจนตัวสั่น แต่ตอนนี้ความหงุดหงิดมันมีมากกว่า หงุดหงิดที่ชีวิตต้องมาเจออะไรแบบนี้

“ฉันรอฟังอยู่”

“เจ้าต้องช่วยพีท”

ผมหันขวับไปมองเจ้าก้อนสีฟ้าๆ ที่โดดดึ๋งๆ ข้างโซฟา ผมว่านี่ต่างหากจุดเริ่มต้นของปัญหาที่แท้จริง ตอนนี้ลางสังหรณ์ของผมกะพริบอะจึ๊กๆ เป็นจังหวะสามช่าเลยครับ ช่างเถอะ ผมมันคนไม่มีทางเลือก ผมจะจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด แล้วสัญญาเลยว่าจะไม่ยุ่งกับผีตนไหนอีกแล้ว

เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วตอนที่ผมอยู่ปีสอง เอกฟิล์ม และพีทอยู่ปีหนึ่ง คณะวารสารศาสตร์ ตอนนั้นเพิ่งเปิดเทอมได้ไม่นาน พีทเล่าว่า ตอนนั้นได้รับข้อความแปลกๆ บ่อยๆ อาทิตย์นี้ส่วนใหญ่ผมเลยลองไปถามข่าวพีทจากพวกปีสอง วารสารดูใครๆ ก็บอกว่าพีทเป็นคุณหนูน้องใหม่ เพราะเป็นคุณชายจากครอบครัวตระกูลดัง พวกสาวๆ ก็เลยชอบมาเล่นด้วย จะมีคนไม่ชอบหน้าก็เป็นเรื่องปกติ ตอนที่มันบอกว่าปกติพร้อมเล่าถึงตอนมีชีวิตด้วยน้ำเสียงโลกสวย ผมอยากจะถามเหมือนกันว่ามันคิดจะโกรธคนที่ฆ่ามันบ้างไหม บางทีคนที่ส่งข้อความแปลกๆ มาหาพีทกับฆาตกรอาจจะเป็นคนเดียวกัน

ผมว่าเรื่องนี้ หาตัวคนทำยากเหมือนกัน ด้วยระยะเวลาที่นานมาแล้ว ครอบครัวพีทที่อยู่ต่างประเทศ หลักฐานและพยานอะไรที่พอจะเป็นเบาะแสได้ก็ไม่มีเลย พอถามถึงเพื่อนสนิท เจ้าก้อนสีฟ้าก็ดันตอบแบบทองไม่รู้ร้อนว่า สนิทกับทุกคน ให้ตายเถอะ ผมคิดผิดแน่ๆ ที่ช่วย

เอาเถอะไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พอมาคิดดูมันก็ยังพอมีทางสืบอยู่บ้าง เพราะพีทตายที่มหาลัย บางทีคนในสาขาอาจจะรู้เห็นอะไรบ้าง แต่ไอที่น่าหงุดหงิดจริงๆ ก็คือ เจ้าก้อนเยลลี่นี่ดีใจเรื่องที่ผมยอมช่วยเลยเด้งซ้ายเด้งขวาทั่วห้อง ชนห่อขนมเค้กของผมตกพื้นหมดเลย ผมเป็นคนที่ติดของหวานมากซะด้วย อุตส่าห์ดุว่าไม่ให้เข้าไปในห้องครัวเด็ดขาด แต่บอกทุกวันเจ้าก้อนก็เข้าไปทำลายล้างทุกวันเหมือนกัน ผมไม่ใช่ผีนะยังต้องกินข้าวกินเค้ก ถ้าผมอิ่มทิพย์เหมือนเจ้าก้อนนี่คงประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้เยอะเลย

“ราม เจ้าจะไปไหน” เจ้าก้อนโดดดึ๋งๆ ตามผมมาที่หน้าประตู

“ซื้อเค้ก”

“ข้าว่า....”

“ไม่ต้องตามมา”

สถานการณ์ที่ต้องมีเจ้าเยลลี่สีฟ้าเด้งไปมาตามไปทุกที่ ต่อให้คนอื่นจะมองไม่เห็นแต่ผมก็ต้องการระยะห่างบ้าง พีทมองผมพร้อมส่งอารมณ์หงอยๆ มาให้ ผมทำเมินเจ้าเยลลี่ปิดประตูล็อกห้อง เตรียมเดินลงไปร้านเบเกอรี่ใต้ตึกซื้อเค้กชิ้นใหม่อีกครั้ง!

เลือกตอน
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 4

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!