เช้าต่อมา พระอาทิตย์สาดส่อง กลีบดอกหญ้าบนเขาเริ่มคลี่ออกเพื่อต้อนรับแสงจากพระอาทิตย์ เหลียนฮวาหรี่ตามองแสงพระอาทิตย์ที่แยงตาเข้ามาผ่านกลีบดอกหญ้านั้น นางหันไปเห็นเย่ไหลเซียงนอนอยู่ข้าง ๆ นาง นางจ้องมองเขาอย่างหลงไหล นางค่อย ๆ ใช้ปลายนิ้วมือลูบไล้ไปตามใบหน้า คิ้ว เปลือกตา สันจมูกและริมฝีปาก
"เจ้าตื่นแล้วหรือ"
เขายิ้มออกมาเบา ๆ ดอกบัวน้อยตกใจรีบชักมือหนี ไม่คิดว่าเขาจะตื่นอยู่แล้ว นางรีบลุกนั่งอย่างรวดเร็วเขาก็ค่อยลืมตาตื่นแแล้วลุกนั่ง พลางส่ายหน้าเพราะจู่ ๆ ก็เกิดมีอาการมึนศีรษะ
"นี่ข้าเป็นอะไรไปเนี่ย"
เย่ไหลเซียงคิดในใจ ก่อนจะรู้สึกคลื่นไส้พะอืดพะอมแล้วรีบออกจากดอกหญ้านั้นก่อนออกมาอาเจียนที่ด้านนอก เหลียนฮวาตกใจรีบเดินเข้ามาดู
ของเหลวที่เย่ไหลเซียงอาเจียนออกมามีสีดำราวถ่าน สีหน้าแววตาของเย่ไหลเซียงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
"ท่านเย่ เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ"
เหลียนฮวาสอบถามด้วยความเป็นห่วงกำลังจะเดินเข้ามาพยุงแต่เย่ไหลเซียงยกมือขึ้นมาห้ามไม่ให้เข้าใกล้
"เจ้าอย่าเพิ่งมาแตะตัวของข้า"
เย่ไหลเซียงพูดพลางจ้องมองของเหลวสีดำที่อาเจียนออกมากำลังทำให้หญ้าแถวนั้นสลายไป นางก้มลองมองที่แหวนอัคคีที่จื้อหรงให้มาก่อนจะใช้ปลายนิ้วแอบลูบที่เหนือวงแหวนนั้น สีหน้าของเย่ไหลเซียงดูไม่ค่อยดีก่อนทันใดนั้นนางจะวูบและหมดสติไปในทันที
บนสวรรค์ตำหนักเซียน
ขณะที่เหล่าเทพกำลังชุมนุมกันเพื่อหารือเรื่องโจมตีเผ่าพันธ์ปีศาจที่ตอนนี้ออกอาละวาดหนักมากขึ้นจนชาวบ้านต่างเดือดร้อน จื้อหรงที่กำลังยืนฟังอยู่ด้านหน้าแถวเพราะถือเป็นเทพที่ต้องเป็นแนวหน้าในการสู้รบในครั้งนี้ พลันนั้นเขาก็รู้สึกที่หน้าอกรุ่มร้อนขึ้นมาผิดปกติ จึงค่อย ๆ แอบเดินออกมาจากในแถว เทพสงครามและเทพวารีต่างเหลือบมองดูท่าทางผิดปกติของจื้อหรงที่ทำอะไรหลบ ๆ ซ่อน ๆ
พอแยกตัวออกมาได้ จื้อหรงก็กางฝ่ามือเปลวเพลิงออกมาพบว่าเย่ไหลเซียงกำลังต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงรีบเดินทางไปยังโลกมนุษย์ทันที
เหลียนฮวามองซ้ายมองขวาตกใจเพราะไม่รู้จะทำเช่นไรดี ได้แต่ยกศีรษะเย่ไหลเซียงมาวางบนตัก จนกระทั่งจื้อหรงเดินทางมาถึง เขาเห็นเย่ไหลเซียงหายใจรวยรินปากสีดำคล้ำจึงรีบเข้ามาดู แล้วมองเห็นไอปีศาจที่อยู่บนยอดหญ้า
"เย่ไหลเซียงท่านเป็นเช่นใดบ้าง"
จื้อหรงสอบถามด้วยความเป็นห่วงแล้วหันไปจ้องมองเหลียนฮวา
"นายท่านจู่ ๆ ก็ อาเจียนแล้วก็เป็นเช่นนี้ ท่านช่วยนางได้หรือไม่"
เหลียนฮวาสีหน้าร้อนใจ น้ำตาไหลอาบสองแก้มไม่หยุด
"เจ้าเป็นภูติดอกไม้ของนางเช่นนั้นหรือ"
จื้อหรงหันไปถามเหลียนฮวานางพยักหน้าออกมา เย่ไหลเซียงลืมตาขึ้นมาเอื้อมมือไปจับมือของจื้อหรง
"พาข้า...พาข้า..."
นางพูดด้วยน้ำเสียงเบา เหลียนฮวาจ้องมองมือนั้นที่เย่ไหลเซียงจับมือจื้อหรงแล้วเขากุมมือของนางไว้แน่น
"พาข้าไป..ที่ตำหนักเซียนของท่าน เหลียนฮวา..เจ้า กลับไปที่ตำหนักชูฮวาแล้วไปหาลู่หลาน..บอกนางว่าข้าอยู่ที่ตำหนักเซียน จื้อหรง..รีบพาข้าไปเร็วเข้า ฮึก!"
เย่ไหลเซียงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะอาเจียนของเหลวสีดำนั้นออกมาอีก จื้อหรงไม่รอช้ายื่นแขนอุ้มนางขึ้นมาแล้วรีบพากลับตำหนักเซียนโดยทันที
เหลียนฮวาลุกขึ้นมาแล้วมองตามไปด้วยความร้อนใจ
ตำหนักเทพอัคคี
จื้อหรงพาร่างที่อ่อนแรงของเย่ไหลเซียงไปวางไว้ที่เตียง ก่อนตามเทพสงครามเฟยอวี่และเทพวารีสหายมาที่ตำหนัก
ทั้งสองเทพใช้เวลาไม่นานก็มาถึงตำหนักอัคคี พบจื้อหรงกำลังเดินไปเดินมาสีหน้ากังวล
"นางอยู่ที่ใด" หนิงอวี่เทพวารีสอบถามก่อนจื้อหลงจะพาไปที่เตียง
เทพวารีนั่งตรวจอาการของเย่ไหลเซียงโดยใช้ฝ่ามือเลื่อนไปทั่วทั้งร่าง แต่กลับไม่พบอะไรที่ผิดปกติเลย
"ไม่พบอะไรเลย นางมีอาการเช่นใดบ้างตอนที่เจ้าพบนาง"
หนิงอวี่เงยหน้าถามจื้อหรง เขาทำท่าครุ่นคิดครู่นึงก่อนจะเอ่ยออกมา
"ตอนที่นางเรียกหาข้า พอข้าไปพบนางอยู่กับภูติดอกไม้ตนนึงแล้วจากนั้นนางก็อาเจียนออกมาเป็นของเหลวสีดำมีกลิ่นไอปีศาจอยู่ในนั้น"
จื้อหรงเล่าเหตุการตามที่ตนเองนั้นรู้ทุกอย่าง
"อาเจียนออกมามีกลิ่นไอปีศาจงั้นหรือ"
เทพสงครามเฟยอวี่ถามย้ำทันที
"แต่นางเป็นเทพบุปผาอยู่ตรงกลางระหว่างสามโลกเหตุใดจึงถูกปีศาจโจมตีได้"
พลันนั้นเย่ไหลเซียงก็ลืมตาขึ้นพลางคลื่นไส้จนอาเจียนออกมาอีกเป็นของเหลวสีดำเช่นเดิมและมีกลิ่นไอปีศาจปนออกมา จื้อหรงรีบไปนั่งข้าง ๆ นางทันทีเพื่อให้นางพิงมือโอบพยุงนางไว้
"จะทำเช่นไรถึงจะรู้ว่าเป็นปีศาจตนใดถึงกล้าทำร้ายนาง"
เทพอัคคีหันไปมองเทพวารีและเทพสงคราม
"ข้า...ข้ารู้ นี่เป็นกลิ่นไอปีศาจจากปีศาจเงา.."
น้ำแสงแหบแผ่วเบาที่เย่ไหลเซียงพยายามจะบอกกับเหล่าเทพ
"ปีศาจเงาเช่นนั้นหรือ ปีศาจเงาที่สามาถทำเช่นนี้ได้โดยที่เหล่าเทพไม่สามารถตรวจจับได้มีแต่พวกปีศาจเงาที่เกาะกินกิเลส นางคงไปสัมผัสคนที่เป็นแหล่งอาหารของปีศาจเงาขึ้นมา บุปผาที่เจ้าเลี้ยงดูมีดอกหรือต้นไหนที่ผิดปกติหรือไม่"
เทพสงครามสอบถามเย่ไหลเซียง แววตานางก้มมองต่ำเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ไม่พูดออกมา
"หนิงอวี่ทำเช่นไรจะรักษาได้หรือไม่"
จื้อหรงไม่รอให้เย่ไหลเซียงตอบคำถามชิงถามเทพวารีก่อน นางนั่งนิ่งเม้มปาก นิ้วมือถูกันไปมา
"ที่จริงมันก็มี แต่มันค่อนข้างจะ....อันตราย ท่านจะต้องพานางไปที่บ่อชำระล้างวิญญาณที่นรกภูมิ พิษจากปีศาจเงาที่เกิดจากกิเลสกัดกินใจ คนที่ทำให้เทพบุปผาเป็นเช่นนี้แสดงว่าผู้นั้นกำลังถูกปีศาจเงาดูดกลืนกินความปรารถนา พิษนี้หากผู้นั้นไม่หมดความปรารถนาในตัวของเทพบุปผา จะทำยังไงก็กำจัดออกไปไม่ได้นับวันมีแต่จะกลืนกินพลังตบะของเทพบุปผาไปจนหมดสิ้น แต่ถ้าหากไปที่บ่อชำระล้างวิญญาณแล้วท่านเทพบุปผาจะต้องเป็นคนตัดความสัมพันธ์นั้นด้วยตนเองเมื่อทำสำเร็จความทรงจำทุกสิ่งทุกอย่างกับคนผู้นั้นก็จะลบเลือนหายไป"
ทุกสายตาจับจ้องไปที่หนิงอวี่
"นั่นก็หมายความว่า การจะให้คนอื่นตัดมันยากกว่าที่คน ๆ นั้นจะตัดเองใช่หรือไม่" น้ำเสียงแผ่วเบาจากริมฝีปากที่คล้ำซีด นัยน์ตาสีม่วงบัดนี้ครึ่งนึงของนางกลายเป็นสีดำ
"ข้าจะพาเจ้าไปที่แดนนรกภูมิเอง" จื้อหรงมองเย่ไหลเซียงด้วยความเป็นห่วง
ตำหนักชูฮวา
เหลียนฮวาเดินกลับเข้ามาที่ตำหนักเทพโดยที่เย่ไหลเซียงถอดกำไลบุปผาใส่ให้เพื่อจะได้หาทางกลับตำหนักได้ ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสงสัยในความสัมพันธ์ของเย่ไหลเซียงกับเทพผู้นั้น
"เหตุใดจึงใกล้ชิดกันขนาดนั้นด้วย ท่านเย่เป้นของข้านะ เหตุใดจึงสัมผัสมือนั้นของท่านเย่ของข้าด้วย" คิดตรึกตรองในใจพลางเดินมุ่งหน้าไปที่แอ่งดอกบัว ลู่หลานเห็นเหลียนฮวาเดินเหม่ลอยผ่านหน้าตนเองไปโดยไม่สนใจก็เรียก
"นี่ เหลียนฮวาเหตุใดจึงกลับมาคนเดียว นายท่านเล่า"
เหลียนฮวาตะโกนถามด้วยความสงสัย แต่เพราะในใจของเหลียนฮวาหึงหวงเย่ไหลเซียงกับลู่หลานแต่เดิมอยู่แล้วพอได้ยินเสียงลู่หลานก็โมโหนางเงยหน้าขึ้นดวงตาสองข้างกลายเป็นสีดำขลับทั้งดวง ก่อนจะหัดกลับมาแล้วยื่นมือออกมาทำท่าบีบคอลู่หลานโดยใช้จิตสั่งการลู่หลานรู้สึกได้ว่าตนเองถูกบีบคอทังที่ไม่มีใครแตะต้องนางเลย
ร่างของลู่หลานค่อย ๆ ลอยตัวขึ้นกลางอากาศใบหน้าแดงก่ำเพราะเริ่มขาดอาการหายใจ เหลียนฮวาไร้สติถูกปีศาจเงาควบคุมจิตใจชั่วขณะ
"เจ้า...คิดจะแย่งท่านเย่ไปจากข้างั้นหรือ ท่านเย่เป็นของข้า ข้าไม่มีวันยกให้เจ้า"
ดวงตาดำขลับทั้งดวง พูดกับลู่หลานด้วยความโมโหและเกลียดชัง มือของเหลียนฮวายกอยู่อย่างนั้น เหล่าปุผาที่เห็นต่างวิ่งหนีกันวุ่นวาย
"ล่ะ...เหลียนฮวา..ป่...ปล่อยข้า ข้าหายใจไม่ออก"
ลู่หลานพยายามดิ้นรนสู้เพื่อให้หลุดจากพลังนี้ แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บจนในที่สุด ลู่หลานก็แน่นิ่งไป เหลียนฮวาที่ถูกกิเลสควบคุมอยู่โยนร่างที่แน่นิ่งของลู่หลานไปทางอื่น พลางใช้พลังปีศาจปล่อยเกสรพิษดอกบัวออกมา จนทั่วไปทั้งตำหนักชูฮวา บุปผาและมวลหมู่ดอกไม้ต่าง ๆ ต่างยืนต้นแห่งเหี่ยวเฉาตายในทันที
เหลียนฮวายืนมองรอบ ๆ ที่มีเฉพาะหมอกควันสีดำคละคลุ้งเต้มไปหมดก่อนในที่สุดนางก็ล้มวูบลง ตำหนักชูฮวาถูกปกคลุมไปด้วยไอปีศาจ ดอกไม้ที่เฉาตายไป และร่างบุปผาต่าง ๆ ที่กลายร่างไม่ทันต่างนอนล้มตายกัน
เช้าวันใหม่ ร่างของเหลียนฮวาที่เพิ่งสลบไป นางก็ลืมตาขึ้น แววตาของเหลียนฮวาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม แววตาดุดันนางก้มลงมองดูชุดตนเองที่เต็มไปด้วยเลือดแล้วมองสำรวจไปทั่ว
ก่อนจะหมุนตัวแล้วเปลี่ยนชุดใหม่เป็นสีแดงทั้งชุด
พอเปลี่ยนชุดเสร็จนางก็ค่อย ๆ เดินไปที่ห้องของเย่ไหลเซียง เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปแล้วค่อย ๆ ทอดกายลงบนเตียง
"เทพทั่วไปมีตบะเพียงแค่หนึ่งพันถึงห้าพันปี แต่เทพบุปผาช่างอยู่มายาวนานถึงหมื่นปีพลังของนางเลยทำให้ข้าฟื้นฟูร่างกลับมาได้เร็ว ส่วนเจ้าดอกบัวน้อยเหลียนฮวาจงหลับพักผ่อนไปในจิตใต้สำนึกนั้นซะ เพราะจากนี้ไปข้าจะตั้งใจใช้ร่างของเจ้าอย่างดี อย่าได้เป็นห่วงท่านเย่ของเจ้าข้าจะดูแลเขาให้เจ้าเอง ฮ่า ๆ ๆ ๆ"
เสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจดังก้องกังวาลไปทั่วทั้งตำหนักชูฮวา
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 27
Comments
ฟิวแห่งแสงจันทรายามค่ำคืน☆
อัพอีก...
2023-06-14
1