เหลียนฮวาหลังจากผ่านค่ำคืนอันแสนหวานกับเย่ไหลเซียง นางตื่นลืมตาก็พบว่าตนเองได้ออกมานอนอยู่บนเตียงในกระท่อมไม้แล้ว เสื้อผ้าของนางถูกสวมไว้อย่างเรียบร้อย ใบหน้าของดอกบัวงามเจือไปด้วยรอยยิ้มแสนสุข เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เขากลืนกินน้ำหวานบริสุทธิ์ของนางจนแทบสำลักความสุขนั้น ก็เกิดเขินอายขึ้นมาใบหน้าแดงก่ำ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมใบหน้าของตนเอง นางหันไปด้านหลังเพราะคิดว่าเขาจะนอนหลับอยู่แต่กลับไม่พบเย่ไหลเซียงนางรีบลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ลุกจากเตียงเดินไปกำลังจะเปิดประตูออกไป เพียงแต่เย่ไหลเซียงเขาเปิดประตูเดินเข้ามาพอดี ทันทีที่เห็นใบหน้าดอกบัวน้อยผิวหน้าผิวพรรณดูผุดผาดเต่งตึงขึ้นมาภายในคืนเดียว เขายิ้มอย่างอ่อนโยนให้นาง
"เหตุใดจึงรีบตื่นกันเล่า ไปนอนต่ออีกหน่อยเถิด"
เขาบอกให้นางไปนอนพัก แต่นางเอาแต่จ้องมองเขานัยน์ตาแดงก่ำจนเขาตกใจ
"ท่านหายไปไหนมา ข้านึกว่าข้าถูกทิ้งเสียแล้ว"
เสียงออดอ้อนกางแขนเข้าสวมกอดเย่ไหลเซียงจนเดินเซเล็กน้อย เขายิ้มแล้วกอดนางตอบพลางก้มหน้าโน้มหน้าผากชนกันกับเหลียนฮวา
"ใครจะกล้าทิ้งดอกบัวงามเช่นเจ้ากันเล่า ถ้าเช่นนั้น...หากเจ้าไม่นอน ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวตลาดโลกมนุษย์ดีหรือไม่ ไหน ๆ เจ้าก็หนีข้ามาถึงที่นี่แล้ว"
เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นจนร่างเล็กนั้นยิ้มออกมาดวงตาเป็นประกาย
"จริงหรือเจ้าคะ เราจะไปเที่ยวตลาดโลกมนุษย์จริงหรือ"
เขาพยักหน้ายิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อมองดอกบัวน้อยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
"ถ้าเช่นนั้น ไปกันเถอะเจ้าค่ะ"
เหลียนฮวาวิ่งออกจากประตูนำหน้าไปก่อนอย่างร่าเริง พลันนั้นแววตาของเย่ไหลเซียงที่มองเหลียนฮวาจากด้านหลังก็พลันเปลี่ยนไปทันที
เย่ไหลเซียงนางออกไปแต่เช้าเพื่อไปตรวจสอบศพโจรทั้งสามที่ถูกพลังบางอย่างสังหารจนตาย นางไปพบว่าร่างถูกพิษปีศาจเงากัดกร่อนจนสลายเหลือเพียงร่อยรอยสีดำอยู่บนพื้น นางใช้ปลายนิ้วสัมผัสรอยดำนั้นก่อนจะพบว่าแสบร้อนที่ผิว
"พิษของปีศาจเงานี่นา ข้านึกว่าพิษของบิดานางจะฝังอยู่แค่กลีบบัวของนางเสียอีก เหตุใดผิวกายของเหลียนฮวาไม่มีพิษของปีศาจเงาเลยแม้แต่น้อย แล้วนางใช้พลังได้อย่างไรกัน"
ขณะที่เย่ไหลเซียงกำลังตรวจดูร่องรอยอยู่นั้นก็มีใครคนหนึ่งแอบมองเทพบุปผาอยู่ นางลุกขึ้นมองสำรวจไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบใคร เพราะเกรงว่าเหลียนฮวาจะตื่นจึงรีบกลับไปที่กระท่อมในทันที
เหลียนฮวาเพิ่งเคยออกมาจากตำหนักชูฮวาเป็นครั้งแรกนางมองทุกอย่าง อย่างตื่นตาตื่นใจ มองดูผู้คนมากมายพลางยิ้มแย้มอย่างมีความสุข เย่ไหลเซียงเดินตามหลังเหลียนฮวาไปพลางยิ้มกับท่าทางอารมณ์ดีของนาง เดินไปเดินมาก็พลันค่ำลงเวลาหนึ่งวันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วในโลกมนุษย์
"ท่านเย่ดูนี่สิคะ อันนี้คืออะไรหรือเจ้าคะ"
เหลียนฮวาไปเจอร้านขายถังหูลู่สีสันสวยงาม นางมองตามเด็กที่กำลังกินแลดูช่างน่าอร่อย ถึงขนาดจ้องตามตาเป็นประกาย
"อันนี้เรียกว่าถังหูลู่ สีแดงแบบนี้คือพุทราเชื่อมเจ้าอยากลองชิมดูหรือไม่"
เหลียนฮวายิ้มออกมาพลางพยักหน้าหงึก ๆ แววตาฉายแววตื่นเต้นดีใจ เย่ไหลเซียงยื่นเงินให้กับคนขายแล้วรับถังหูลู่มา
ตอนนี้ของเต็มไม้เต็มมือเหลียนฮวาไปหมด ทั้งถังหูลู่ หน้ากากไม้ ของเล่นต่าง ๆ ที่เทพบุปผาซื้อให้ทุกอย่างตามใจนาง
"ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้าถือเองได้"
เหลียนฮวาถือของเองแทบจะทุกอย่างเพราะไม่อยากให้เย่ไหลเซียงลำบาก
"แค่ท่านพาข้ามาเที่ยวเช่นนี้ ข้าก็ดีใจแล้วของแค่นี้ไม่หนักเลย"
"ถ้าเจ้าชอบงั้นข้าจะพามาบ่อย ๆ ดีหรือไม่"
ยังไม่ทันตอบคำถามของเย่ไหลเซียง ร่างอรชรนั้นก็พุ่งไปที่อื่นในทันทีวันนี้ทั้งวันแทบจะไม่สนใจฟังท่านเทพบุปผาของนางเลย
สองบุปผางดงามเดินเคียงคู่กันไปถึงสะพาน เหลียนฮวาเดินช้าลงเพราะขาเริ่มล้าทั้งคู่มาหยุดยืนที่สะพานเห็นพระจันทร์เต็มดวงสวยงาม
"งดงามที่สุดเลย"
เหลียนฮวาแววตาเปล่งประกายในเงาของดวงตากลมโตนั้นมีเงาของพระจันทร์สะท้อนอย่างชัดเจน นางยกถังหูลู่ที่เดินถือทั้งวันขึ้นมากินพลางใช้ปลายลิ้นแตะชิมรสหวานของน้ำตาลที่เคลือบอยู่
"หวานมากเลยเจ้าค่ะ ท่านเย่ลองชิมดูมั้ยเจ้าคะ"
นางยื่นถังหูลู่ให้กับเย่ไหลเซียง เขาหันมามองดูอย่างเอ็นดูยิ้มพลางส่ายหน้า
"เจ้ากินเถอะ"
ใบหน้าเหลียนฮวาหน้าดูเศร้าสลดลง
"ท่านเย่รังเกียจที่ข้าใช้ลิ้นแตะแล้วใช่มั้ยเจ้าคะ"
นางก้มหน้าลงงุด ท่าทางน้อยใจของสตรีแสดงออกมาชัดเจน เขามองท่าทางนั้นของนางดวงตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความเสน่หา
เหลียนฮวาเงยหน้าถอนหายใจบนสะพานนั้นเฮือกใหญ่ก่อนกัดพุทราเชื่อมนั้นเข้าปากและกำลังจะเดินลงจากสะพาน พลันร่างเล็กก็ถูกตรึงดึงกระชากด้วยวงแขนของเย่ไหลเซียงโอบรอบเอวบางนั้นเข้ามาใกล้ แล้วจู่โจมจุมพิตที่ริมฝีปากนั้น ก่อนจะดุนแทรกลิ้นเข้าไปแล้วตวัดกวาดชอนไชไปมาในโพรงปากของนาง
ดอกบัวน้อยตกตะลึงไม่คิดว่า ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ท่านเย่จะทำเรื่องน่าอาย แต่นางเองถึงจะคิดเช่นนั้นแต่รสจูบของท่านเย่ก็ช่างหอมกรุ่นละมุนและทำให้ใจของนางวาบหวามเสียเหลือเกิน พลันนั้นเม็ดพุทราที่นางเพิ่งกินเข้าไปก็ถูกปลายลิ้นของท่านเย่ของนางตวัดล้วงเข้าที่ปากของเขาก่อนจะคลายริมฝีปากแล้วเคี้ยวพุทราเชื่อมของนางอย่างไม่อายแถมยังยิ้มกริ่มส่งสายตาเจ้าเล่ห์นั่นมาหานางอีก
"หวานมาก...แต่ปากของเจ้านะ หาใช่พุทราเชื่อมไม่"
เมื่อเริ่มมีเสียงวิจารย์จากผู้คนรอบข้างถึงสตรีรูปงามมายืนทำอะไรประเจิดประเจ้อไม่อายฟ้าดินเหลียนฮวาก็รู้สึกอึดอัดทันที
"โอ๊ย ตายจริง แม่นางน้อยทั้งคู่ด้วยนะนั่นทำอะไรประเจิดประเจ้อไม่อายฟ้าดินไม่กลัวฟ้าผ่าหรืออย่างไรกัน"
เสียงหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งพูดออกมา เหลียนฮวาตกใจกลัวขยับตัวซุกเข้าหาอกของเย่ไหลเซียง
"เจ้าไม่ต้องกลัวและไม่ต้องอาย เจ้าและข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด"
มืออบอุ่นลูบที่ศรีษะพลางดึงร่างเล็ก ๆ นั้นเข้ามาใกล้กว่าเดิม เขาหันไปจ้องมองหญิงวัยกลางคนนั้นก่อนจะพาเหลียนฮวาเดินออกไปจากตรงนั้น พลันนั้นก็มีบุรุษผู้หนึ่งโยนบางอย่างมาที่ทั้งคู่ เย่ไหลเซียงยกมือจับเอาไว้ได้
"พวกวิปริต ออกไปจากเมืองของเราเดี๋ยวนี้"
แววตาของนางฉายแววขุ่นเคืองอย่างชัดเจนหันไปมองต้นทางคนที่ทำเช่นนั้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ ๆ จ้องมองสบตาจนบุรุษผู้นั้นกลับรู้สึกหวั่นเกรงหลบสายตาเย่ไหลเซียง นางโปรยเกสรลงบนศีรษะของชายผู้นั้นก็ปรากฏภาพบางอย่างขึ้นมาเหนือศีรษะให้ผู้คนได้เห็น
ภาพที่ชายคนนี้กำลังข่มขืนหญิงสาวใบ้คนหนึ่งในวัดร้างต่อหน้าพระพุทธรูปอย่างไร้ความละอาย พอเสร็จสมกลับมาที่บ้านก็ทุบตีลูกเมียจนลูกชายขาหักและไม่พาไปหาหมอ หงุดหงิดขโมยเงิยไปเข้าหอนางโลมก่อนมาเจอพวกนางที่นี่ สิ่งที่ปรากฏนั้นทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง
"เรียกผู้อื่นว่าวิปริต แล้วจิตใจโสมมต่ำช้าเช่นเจ้าควรจะเรียกว่าอย่างไร พวกเจ้าเองทุกคนก็เช่นกัน ความรักสำหรับพวกเจ้ามีได้แค่หญิงและชายเท่านั้นหรือ มองแค่เรื่องเพศสภาพว่าวิปริตต่ำช้าแต่จิตใจภายในของคนที่เพศสภาพปกติกลับโสมมยิ่งกว่า พวกเจ้าแบ่งความดีของผู้คนจากแค่เพศสภาพเช่นนั้นหรือ"
เหลียนฮวามือข้างนึงกอดเอวของเย่ไหลเซียงแน่น ก่อนเขาจะพานางเดินจากไปท่ามกลางมนุษย์เหล่านั้น
"ท่านเย่ แบบนี้จะไม่เป็นไรจริงหรือเจ้าคะ เหตุใดมนุษย์ถึงใจแคบกันนักเล่าแถมน่ากลัวเหลือเกิน"
"เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก เทพและปีศาจยังมีทั้งดีทั้งชั่ว มนุษย์ก็ใช่ว่าจะร้ายกาจและชั่วช้าทุกคน เจ้าเพียงโชคร้ายพบเจอคนไม่ดีแต่ใช่ว่าทั่วทั้งสามโลกนี้จะเป็นเช่นนี้ไปเสียหมด ไปกันเถอะเจ้าตะลอนเดินทั้งวันคงเหนื่อยแย่แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปพักผ่อนนะ"
บนยอดต้นไม้ใหญ่บนยอดเขาที่สามารถมองเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสุกสกาวบนท้องฟ้า เหลียนฮวานั่งอิบแอบพิงไหล่ของเย่ไหลเซียงแล้วจ้องมองไปบนดวงดาวบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นั้น
"เจ้าจงจำไว้ว่าทุกอย่างล้วนมีสองด้าน หากได้พบหรือรู้จักผู้ใดอย่ามองเพียงด้านเดียวเพราะนั่นคือสิ่งที่เขาแสดงให้เจ้าเห็น แต่อีกด้านที่เขาไม่แสดงออกมานั่นคือสิ่งที่เจ้าควรพึงระวัง เจ้าจะไว้ใจใครไม่ได้เด็ดขาด แม้แต่ข้า หรือ...ตัวของเจ้าเอง"
เขาจงใจพูดช้าและเว้นวรรคในเรื่องของการห้ามไว้ใจใครแม้แต่ตนเองแล้วก้มมองดูนางที่จับมือของเขาไปกุมไว้บนตักจนแน่น
"ข้าขอแค่ได้อยู่กับท่านข้าก็มีความสุขแล้ว ต่อให้ต้องตายข้าก็ไม่เสียดาย"
"เด็กโง่ แล้วเหตุใดเจ้าต้องตายด้วยเล่าเจ้าอายุเพิ่งจะเพียงห้าร้อยปี คิดจะตายแล้วฤๅ อยู่เป็นเพื่อนข้านาน ๆ ไปจนเจ้าแก่ชราออกลูกออกหลานจนเต็มสระเสียก่อนค่อยคิดเรื่องนั้น"
เขายิ้มออกมา พลางแหงนหน้ามองดูดวงดาวบนท้องฟ้า
"ข้า...จะมีลูกได้หรือ ในเมื่อ...ข้ากับท่าน"
นางกระดากอายเกินกว่าจะพูดเรื่องนั้นขึ้นมา จู่ ๆ ก็เงียบไป เขาหันมาก้มมองอย่างเอ็นดูพลางยิ้มแล้วลูบที่ศีรษะของนางแล้วยื่นหน้ามากระวิบที่ข้างหูนางอย่างแผ่วเบา
"แล้ว...เจ้ารู้ได้เช่นใดว่าข้าทำให้เจ้ามีลูกไม่ได้"
ลมหายใจและเสียงกระซิบที่ข้างหูทำให้เหลียนฮวาขนลุกชูชันขึ้นมา เขาใช้หลังมือค่อย ๆ สัมผัสผิวกายนั้นลูบไล้อย่างแผ่วเบา ทั่วสรรพางค์กายขนอ่อนต่างลุกชูชัน
"ข้าอยากให้ท่านจุมพิตข้าอีกจะได้หรือไม่"
นางเงยหน้าเชิดขึ้นจ้องมองเขาแววตาสื่อถึงความต้องการบางอย่างก่อนจะหลับตาพริ้มแล้วยืดคอขึ้นส่งริมฝีปากอวบอิ่มนั้นให้เขาสัมผัส เขาได้แต่ยิ้มออกมา ก่อนจะค่อย ๆ โน้มตัวลงจุมพิตที่เนินขอบปากอิ่มนั้นเบา ๆ ก่อนจะใช้ริมฝีปากเม้มดูดเบา ๆ จนทั่วเนินขอบปากอิ่มนั้น
พลันท้องฟ้าก็มีดาวตกสุกสว่างร่วงจากท้องฟ้าพาดผ่านไป ช่วงเวลาแสนหวานของเหลียนฮวาน้อยกับท่านเย่ทำให้นางช่างมีความสุขเหลือเกิน แต่ยิ่งนางมีความปรารถนาในการครอบครองมากขึ้นเท่าใด เงาร้ายดำมืดนั้นก็ยิ่งกัดกินจิตใต้สำนึกของนางราวกับได้กินอาหารอันโอชะ ชั่ววูบหนึ่งที่ริมฝีปากของเย่ไหลเซียงกำลังส่งความหวานอันดูดดื่มให้กับเหลียนฮวาดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นของดอกบัวน้อยก็พลันเป็นเป็นสีดำขลับทั้งดวงตา
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 27
Comments