"สวัสดีครับคุณดาวเหนือ สวัสดีครับคุณทะเล" ทันทีที่เห็นดาวเหนือกับทะเลเดินเข้ามาในห้องรับรองแขก ทิวไผ่รีบลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน
"ฉันต้องขอโทษด้วย ที่ปล่อยให้รอนาน" ดาวเหนือเอ่ยขอโทษเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เชิญนั่งตามสบาย"
"ผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณทั้งสอง ที่ถือวิสาสะมาโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า" ทิวไผ่เอ่ยขอโทษผู้ใหญ่ทั้งสองพร้อมกับค้อมหัวให้ผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นเดิม
"ไม่เป็นไร ความจริงวันนี้ลูกชายของฉันก็จะมาพบเธอเพื่อขอบคุณเธอ แต่งานมีปัญหานิดหน่อยเลยไม่ได้มาด้วย" ดาวเหนือพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบคงเดิม แต่ก็ทำให้คนฟังอย่างทิวไผ่มีอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
"ฉันต้องขอบใจเธอมากเลยนะ เธอช่วยชีวิตฉันไว้ตั้งสองครั้ง หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นฉันพยายามติดต่อครอบครับของเธอเพื่อรับผิดชอบเรื่องค่ารักษาและก็อยากขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น"
"ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย มันเกิดจากเขาคนนั้น ผมต่างหากที่ต้องขอโทษพวกคุณ และผมก็อยากขอโทษคุณหนูเจ้าขาด้วยเหมือนกัน เรื่องที่คุณหนูถูกยิงก็มาจากคนคนนั้นด้วยเหมือนกัน ขอโทษจริง ๆ ครับ" พูดพร้อมกับยกมือขึ้นพนมไหว้ขอโทษดาวเหนือกับทะเลอย่างคนสำนึกผิด
"มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลย พวกเราไม่ได้คิดโทษเธอ แต่ยังไงก็ขอบใจนะที่เคยช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ส่วนเรื่องนั้น ฉันเสียใจด้วยนะ ฉันไม่คิดว่าเธอกับเขาจะมีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีต่อกัน" ทะเลพูดพร้อมกับตบที่บ่าของทิวไผ่เบา ๆ เพื่อแสดงความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เพราะหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ดีล คาร์เทอร์ ต้องอยู่อย่างทุกทรมานเพราะร่างกายทางซีกซ้ายขยับใช้งานไม่ได้ จนต้องมีพยาบาลพิเศษคอยดูแล แต่อยู่มาได้ไม่นานก็ปลิดชีพตัวเองลงเพื่อหลีกหนีความทุกทรมาน
"ขอบคุณครับ เอ่อ.. จะเป็นไรมั้ย ถ้าผมจะขออนุญาตถามเรื่องอาการบาดเจ็บของคุณหนูเจ้าขากับน้อง ๆ ของเธอ" แม้ว่าจะพอรู้อาการของบุคคลทั้งสามผ่านทางหมอต้นไม้มาบ้างแล้ว แต่ก็อยากรู้ให้แน่ชัดว่าคุณหนูของตนไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่ไอ้พี่ชายตัวดีกล่าวเอาไว้หรือเปล่า และที่ตนอยากรู้มากกว่าอาการของคุณหนูเจ้าขา ก็คือปฏิกริยาของบุลคลที่นั่งอยู่ตรงหน้าตนทั้งสองคนนี้แหละ ถ้าอยากได้ลูกเสือผู้น่ารัก ก็ต้องเจรจากับพ่อเสือถึงจะถูก
"เจ้าขาไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนอีกสองคนก็พ้นขีดอันตรายแล้วล่ะ อีกสองสามวันก็น่าจะกลับบ้านได้" ทะเลตอบสั้น ๆ ไม่ได้ขยายความมากมาย เพราะคิดว่าที่ทิวไผ่ถามก็คงเพราะว่าคืนนั้นอยู่ในเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลด้วย ก็คงอยากรู้เป็นธรรมดา
"ครับ ผมรบกวนเวลาคุณดาวเหนือกับคุณทะเลนานมากแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ"
"นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ยังไงก็อยู่ทานข้าวเที่ยงด้วยกันก่อนสิ หรือว่ามีธุระที่อื่นต่อ" ทะเลเอ่ยปากชวนเด็กหนุ่มตรงหน้าทันทีที่เห็นว่าทิวไผ่กำลังจะขอตัวกลับ
"เอ่อ.. ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะครับ" ทิวไผ่มีท่าทีอึกอักเล็กน้อยเพื่อประเมินสถานการณ์ตรงหน้า แต่พอเห็นว่าดาวเหนือกับทะเลไม่ได้มีท่าทีแข็งกร้าวกับตน ทิวไผ่จึงตอบตกลงคำชวนของทะเลทันที
ตอนนี้ไม่ได้พบคุณหนูอย่างที่ใจต้องการก็ไม่เป็นไร ยังไงก็คงได้พบอยู่ดี
"เชิญที่ห้องอาหารเลยดีกว่า ป่านนี้ลูกชายของฉันน่าจะรออยู่ที่นั่น" ดาวเหนือว่าพลางเดินนำทิวไผ่ออกไปจากห้องรับรองทันที
"คุณดาวเหนือคะ คุณทะเลคะ เกิดเรื่องแล้วล่ะค่ะ" ยังไม่ทันที่ทั้งสามคนจะได้เดินไปไหนไกล เลขาของทะเลก็รีบวิ่งมาดักหน้าเอาไว้ซะก่อน
"เกิดอะไรขึ้น" ดาวเหนือถามเลขาของทะเลเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยอำนาจของผู้นำตระกูลมันชั่งน่าเกรงขามยิ่งนัก
"คุณ ๆ ทั้งสามกำลังถูกพนักงานบางคน.."
"ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน" เลขาพูดในสิ่งที่เกิดขึ้นยังไม่ทันจบประโยค ด้วยความร้อนใจกลัวจะเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าขา ทะเลจึงพูดขัดขึ้นมาซะก่อน
"หอประชุมค่ะ"
"ทิวไผ่ เธอ.." ทะเลหันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังเพื่อจะขอโทษที่ไปทานข้าวด้วยไม่ได้
"ไม่เป็นไรครับ เอาไว้โอกาสหน้าก็ได้ครับ"
"รีบไปเถอะ" ดาวเหนือไม่รอช้ารีบวิ่งไปทางหอประชุมทันที
"ขออนุญาตไปด้วยได้มั้ยครับ" ทิวไผ่รีบเอ่ยปากขออนุญาตทะเล เพราะตนรู้ดีว่านี่คือเรื่องภายในบริษัท แต่ก็อดเป็นห่วงคุณหนูตัวน้อยของตนไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่ตนอยู่ในรัศรีที่มีคุณหนูเจ้าขาอยู่ คุณหนูเจ้าขามักจะมีเรื่องให้ตัวเองได้เจ็บตัวตลอด
"อืม ได้" ทิวไผ่หยุดคิดครู่หนึ่งเพราะไม่อยากให้คนนอกมารับรู้เรื่องภายในบริษัท แต่อย่างน้อยทิวไผ่ก็เคยเป็นคนของที่นี่ และยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตตนไว้ถึงสองครั้ง เรื่องแค่นี้ก็คงไม่มีอะไรเสียหาย เพราะเด็กคนนี้คงไม่กล้าเอาเรื่องภายในไปเล่าสู่ภายนอกอยู่แล้ว หรือถึงจะมีคนเอาไปเล่า มันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก ต่อให้ทิวไผ่ไม่เล่า พนักงานบางคนที่ไม่หวังดีต่อบริษัทก็ต้องเอาไปพูดต่ออยู่ดี
"พวกคุณมีหลักฐานอะไรมาปรักปรำ ว่าพวกเราทุจริต ถ้าจะมากล่าวหาลอย ๆ แบบนี้ พวกเราจะฟ้องให้ถึงที่สุด" พนักงานฝ่ายบัญชีคนหนึ่งจะโกนออกมาด้วยความโมโห
"พวกคุณใจเย็น ๆ ก่อนได้มั้ยครับ ผมก็ไม่ได้บอกว่าพวกคุณทุจริต และหลักฐานการทุจริตทางเรามีแน่นอน แต่มันเป็นหน้าที่ของทางตำรวจ เพราะฉะนั้น..." เจ้าขาพยายามพูดอย่างใจเย็น แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้จนจบ เพราะบางคนก็เอาแต่โวยวายไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น ส่วนเจ้านายกับเจ้าสมุทรเลือกที่จะยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าหญิงตัวน้อยของตน ไม่ได้พูดจาหรือกระทำอะไรให้มันบานปลายไปมากกว่านี้
เพราะตอนนี้พนักงานเกือบทั้งโรงงานต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เหตุเพราะมีคนปล่อยข่าวว่ามีการทุจริตภายในโรงงาน และผู้บริหารจะหักเงินเดือนของพนักงานเพื่อนำมาชดเชยส่วนต่างที่ถูกทุจริตไป ซึ่งเรื่องนี้คนที่ปล่อยข่าวก็คงไม่พ้นคนที่ทำการทุจริต แม้ว่ามันจะไม่มีมูลความเป็นจริง แต่เรื่องเงินเงิน ๆ ทอง ๆ แค่รู้ว่าจะถูกหักเงินเดือน พวกเขาก็เลือกที่จะลุกฮือกันขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรม โดยไม่ไตร่ตรองเลยสักนิดว่ามันมีความเป็นจริงอยู่ในนั้นกี่เปอร์เซ็นต์
"คุณจะมาหักเงินเดือนของพวกเราได้ยังไง พวกเราไม่ยอม!!"
เจ้าขาพูดยังไม่ทันจบ ก็มีอีกหลาย ๆ เสียงตะโกนแทรกเข้ามาไม่หยุด จนเจ้าขาต้องหยุดพูด และพยายามระงับอารมณ์ของตนให้เย็นลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เจ้าสมุทรยืนมองเจ้าหญิงของตนสลับกับพนักงานด้วยแววตาที่นิ่งเรียบเกินจะคาดเดา
ส่วนเจ้านายก็เอาแต่เงียบไม่ต่างกัน แต่ต่างกับเจ้าสมุทรตรงที่แขนข้างหนึ่งโอบไหล่เล็ก ๆ ของเจ้าขาเอาไว้ เพื่อให้เจ้าหญิงของตนรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
แม้ว่าในใจลึก ๆ ของทั้งสองคนกำลังปะทุไปด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะ แต่ก็เลือกที่จะนิ่งเพื่อดูว่าเจ้าหญิงตัวน้อยของตนจะจัดการเรื่องนี้ยังไง ถ้ามันบานปลายไปมากกว่านี้ ทั้งเจ้านายและเจ้าสมุทรก็พร้อมจะปิดเกมนี้แทนเจ้าขาทันที
เจ้าขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยายามเปล่งเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังพอที่จะทำให้พนักงานหลาย ๆ คนที่ตกเป็นเครื่องมือของคนที่ทุจริตและก่อความวุ่นวายขึ้นในวันนี้เงียบลงได้ภายในไม่กี่วินาที
"ผม เจ้าขา วัชรสกุลกิจ ขอเอาตำแหน่งและวงตระกูลเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้คือเรื่องจริง" หลังจากที่ได้ยินเสียงของเจ้าขาผู้ที่มีอำนาจและหน้าที่ไม่ต่างจากเจ้าของบริษัทที่สืบทอดมาจากทะเลและยังเป็นหนึ่งในทายาทของตระกูลวัชรสกุลกิจ ความวุ่ยวายและเสียงที่ดังเซ็งแซ่อยู่เมื่อครู่ก็เงียบสงบลงในทันที แม้ว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกไปจะไม่ได้เข้มเท่าผู้นำคนอื่น ๆ แต่มันก็ดังพอที่จะหยุดความวุ่นวายได้ภายในพริบตา
"ผมไม่รู้ว่าพวกคุณเอาข่าวลือพวกนั้นมาจากไหน แต่มันไม่มีมูลความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนเรื่องที่มีพนักงานบางคนทุจริตนั่นคือเรื่องจริง แต่ทางบริษัทไม่เคยมีนโยบายที่จะหักเงินเดือนของพวกคุณเพื่อมาชดเชยกับเรื่องนี้เลย การทุจริตในครั้งนี้ คนที่ทำความผิดจะต้องได้รับผิดทางกฎหมาย และพวกเขาจะต้องชดใช้ด้วยตัวของเขาเอง"
ทันทีที่เจ้าขากล่าวจบ พนักงานส่วนใหญ่ต่างปรบมือให้กับเจ้าขาอย่างชื่นชมและดีใจที่พวกตนไม่ได้ถูกหักเงินอย่างที่มีข่าวลือ
ระหว่างที่ทุกคนกำลังดีใจและเจ้าขาเองก็กำลังอธิบายเกี่ยวกับนโยบายและแผนงานที่จะขยายกิจการกับเหล่าพนักงาน
อีกฟากหนึ่งของหอประชุม ดาวเหนือและทะเล ยืนมองเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลด้วยความภาคภูมิใจ ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เจ้าขาจะทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง ความเก่ง ความฉลาด ความน่ารัก และความดื้อก็เช่นกัน
ทะเลยืนมองคุณหนูตัวน้อยของตนด้วยความภาคภูมิใจไม่ต่างจากดาวเหนือและทะเล ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ทั้งน่ารัก แล้วแบบนี้จะมีช่องว่างให้ตนได้แทรกเข้าไปในชีวิตของคุณหนูตัวน้อยได้ยังไง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่คู่ควร แต่นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้น จะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มได้ยังไง
ปัง!!
กรี๊ดดดด!!
ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ เสียงปืนและเสียงกรีดร้องของพนักงานที่อยู่บริเวณนั้นก็ดังขึ้นซะก่อน ทิวไผ่ไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปยืนประกบอยู่ด้านหลังของคุณหนูเจ้าขาร่วมกับเจ้านายกับเจ้าสมุทรที่ยืนประจันหน้าอยู่ด้านหน้า โดยดันตัวให้เจ้าขาอยู่ด้านหลัง โดยมีทิวไผ่ยืนระวังหลังให้อีกที
"คุณหนูไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ" ทิวไผ่เอ่ยถามคุณหนูตัวน้อยด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก
"หนูไม่เป็นไร เขาแค่ยิงขู่" แม้ว่าแววตาจะสั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงปกติไม่ได้ดูตื่นกลัวแม้แต่น้อย
"เอาไงดีจ้าว ปิดเกมเองเลยมั้ย" เจ้านายหันไปถามคนที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้าง ๆ
"อืม" เจ้าสมุทรขานรับเพียงเท่านั้น ทุกอย่างก็เหมือนจะชุลมุนอีกครั้ง แต่แค่ชั่วอึดใจ หอประชุมทั้งหอก็ถูกปิดตาย ประตูทุกบานถูกปิดล็อกด้วยฝีมือชายฉกรรจ์หลายสิบคน และที่น่าตกใจไปกว่านั้นทุกคนอาวุธครบมือ อย่างกับในหนังมาเฟียไม่มีผิดเพี้ยน
จากความวุ่นวายกลายเป็นสงบลงทันทีที่ดาวเหนือและทะเลยืนอยู่เบื้องหน้าแทนตำแหน่งที่เจ้าขาเคยยืนเมื่อครู่
"ฉันจะให้โอกาสคนที่มันกล้าทุจริตกับบริษัทของฉันเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ายังอยากมีชีวิตรอดออกไปสู้คดีก็ยอมมอบตัวซะ ก่อนที่ความอดทนของฉันจะหมดลง" เสียงผู้นำตระกูลอย่างดาวเหนือกึกก้องกังวานไปทั่วหอประชุม ทุกคนต่างรู้ประวัติความเป็นมาของตระกูลวัชรสกุลกิจเป็นอย่างดี แต่ก็แค่เคยได้ยิน ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นและอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนี้
"ถ้าไม่กล้ารับผิดก็ไม่เป็นไร แต่อย่าได้คิดทำอะไรโง่ ๆ กับคนของฉันและพนักงานของฉัน เพราะทุกการเคลื่อนไหวของคุณ คนของเราที่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของคุณ จะลงมือกับคุณทันทีที่คุณคิดจะทำแบบเมื่อสักครู่
และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่การขู่ของผู้นำตระกูลอย่างดาวเหนือ เพราะกล้องวงจรปิดแบบสามร้อยหกสิบองศา จับภาพการเคลื่อนไหวของทุกคนที่อยู่ในหอประชุม และแน่นอนว่าทันทีที่มีอะไรผิดปกติ เหล่าชายฉกรรจ์ที่มีอาวุธครบมือจะลงมือทันที
ฉึก!!
"อ๊ากกก!!"
แม้จะมีเสียงเตือนจากผู้นำของตระกูลอย่างดาวเหนือพูดปรามไปเมื่อครู่ แต่ก็ยังมีบางคนกล้าที่จะท้าทายกับมัจจุราชที่ยืนรอรับวิญญาณอย่างไม่คิดเกรงกลัว
ทันทีที่ผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นพยายามจะขยับปลายกระบอกปืนหันมาทางผู้นำของตระกูล มีดปลายแหลมถูกปาออกไปจากมือของเจ้าสมุทรอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ปลายมีดปักอยู่ที่หลังมือของคนร้าย ทำให้ปืนล่วงลงพื้นทันที
เหล่าชายฉกรรจ์รีบเดินเข้าไปหาเป้าหมายและลากตัวมันแยกออกมายืนด้านหน้าผู้เป็นนายทันที
"หึ ไม่คิดว่าคุณทรงยศจะพกปืนมาในสถานที่แบบนี้ด้วย พกมาทำไมเหรอ หรือว่ามีเหตุอะไรที่จะต้องพกมาเพื่อป้องกันตัว" ดาวเหนือย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อถามไถ่หัวหน้าฝ่ายบัญชีด้วยท่าทางเป็นกันเอง
"...." คนที่ถูกนายจ้างจับได้ว่ากำลังจะแอบลอบทำร้ายผู้นำตระกูล และยังถูกจับได้เรื่องที่ตนและพวกพ้องร่วมมือกันทุจริตก็เอาแต่ขบกรามแน่นจนเสียงดังกรอด
"มีอะไจะแก้ตัวหน่อยมั้ย เผื่อคนอื่น ๆ จะได้ยอมมอบตัวแต่โดยดี" ดาวเหนือตั้งใจพูดประโยคแรกด้วยน้ำเสียงที่เข้มเพื่อให้คนอื่น ๆ ที่ร่วมมือกันทุจริตได้ยินและยอมมอบตัวแต่โดยดี ก่อนจะเอ่ยประโยคหลังที่พูดเพื่อให้คนตรงหน้าได้ยินแต่เพียงผู้เดียว "มอบตัวตอนนี้ยังพอมีโอกาสรอด แต่คนที่รอด...จะรอดได้อีกสักกี่วัน ฉันก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน"
พูดจบก็แสยะยิ้มร้ายให้กับอดีตหัวหน้าฝ่ายบัญชี มันไม่ใช่รอยยิ้มที่แสดงถึงความยินดี แต่มันเป็นรอยยิ้มของมัจจุราช แค่สิ้นคำประกาศิตของผู้นำตระกูลวัชรสกุลกิจ เหล่าพวกพ้องของทรงยศที่ร่วมมือกันทุจริต ต่างก็เริ่มทยอยเดินกันออกมาต่อหน้าผู้นำตระกูลอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
เหล่าพนักงานที่นั่งรวมกันอยู่ในหอประชุมแห่งนี้ต่างส่งเสียงฮือฮากันเซ็งแซ่ เพราะแต่ละคนที่เดินออกไปยืนอยู่บริเวณด้านหน้านับสิบคนล้วนแต่เป็นคนที่มีหน้าที่การงานระดับหัวหน้างานทั้งนั้น
เจ้าขาที่รับรู้ได้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับคนพวกนี้ก็รีบแทรกตัวเข้ามายืนประจันหน้ากับผู้นำตระกูลอย่างดาวเหนือทันที
"หนูขา ออกมายืนตรงนี้ทำไมคะ" น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลยืนประจันหน้ากับตน เป็นน้ำเสียงที่ผู้นำตระกูลไม่เคยใช้มันกับใครนอกจากเจ้าขาคนเดียว แต่ก็ไม่ใช่คนเดียวเสมอไป เพราะเวลาที่ตนออดอ้อนน่านฟ้า ตนก็จะใช้น้ำเสียงโทนนี้ด้วยเช่นกัน
"ดี๊ขา" นอกจากจะซบหน้าลงที่แผ่นอกของผู้นำตระกูลเพื่อออดอ้อน แต่สายตาและน้ำเสียงที่ใช้เรียกดาวเหนือก็อยู่ในโทนที่เจ้าสมุทรและเจ้านายต้องส่ายหน้าไปมาด้วยความมันเขี้ยวเช่นกัน
"จะอ้อนดี๊เพื่อขอให้ปล่อยพวกเขาให้เป็นหน้าที่ของทางตำรวจใช่มั้ยคะ" ก็รู้ทันนั่นแหละ แต่ก็นะ จะขัดใจยังไงไหว
ฟอดด
"ขอบคุณค่ะดี๊คนเก่งของหนู" เมื่อได้ยินสิ่งที่ตนต้องการจมูกเล็ก ๆ ก็ฝังลงที่แก้มสากของผู้นำตระกูลอย่างไม่ลังเล มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าขาจะแสดงความรักกับคนในครอบครัวแบบนี้ แต่มันคือภาพที่คุ้นตา เพราะพนักงานที่นี่ต่างรู้ดีว่าคุณหนูเจ้าขาเป็นคนที่มีจิตใจดี และเป็นหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลวัชรสกุลกิจ และยังเป็นเจ้านายที่ดีไม่ถือตัว ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง พนักงานทุกคนต่างรักใคร่และเอ็นดูคุณหนูเจ้าขาด้วยเช่นกัน
"เอาล่ะ ยังไงฉันก็ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกคนตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วันนี้ก็พากันแยกย้ายกลับบ้านได้ ฉันอนุญาต ส่วนคนที่คิดจะทำความผิด ก็ขอให้คิดดี ๆ ยังมีครอบครัวที่ยังรอทุกคนอยู่ ขอให้ทุกคนทำงานอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข แยกย้ายได้" ทะเลพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะปล่อยให้พนักงานที่เหลือแยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนคนที่ทำความผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนรออยู่ด้านนอกเข้ามารับช่วงต่อจากคนของตนทันที
หลังจากเสร็จเรื่องวุ่นวายในหอประชุม ทุกคนต่างพากันเดินกลับมายังห้องอาหารทันที เพราะนี่มันก็เลยเวลาพักเที่ยงมาจนเกือบจะครบหนึ่งชั่วโมงอยู่แล้ว และแน่นอนว่าทิวไผ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ความวุ่นวายในหอประชุมก็ถูกเชิญมาร่วมรับประทานอาหารด้วยเช่นกัน
อาหารมื้อแรกที่จะได้ทานร่วมกับผู้นำตระกูลอย่างดาวเหนือและทะเล
อาหารมื้อแรกที่จะได้ทานร่วมกับพี่ชายหน้านิ่งของคุณหนูตัวน้อยอย่างเจ้านายและเจ้าสมุทร
และเป็นอาหารมื้อแรกที่ตนได้ทานร่วมกับ คุณหนูเจ้าขา
แม้ว่าบรรยากาศมันจะชวนให้ขนหัวลุก แต่มันก็คุ้มไม่ใช่เหรอ ที่หมาอย่างตนจะได้ร่วมรับประทานอาหารกับนางฟ้าที่ตนเคยแหงนมองมานานนับสิบปี
"นางฟ้าตัวน้อยของหมาทิวไผ่"
ภายในห้องอาหาร
ดาวเหนือที่เป็นผู้นำตระกูลนั่งบริเวณหัวโต๊ะ ฝั่งขวามือของดาวเหนือคือคุณหนูเจ้าขา ต่อมาคือคุณเจ้านายและปิดท้ายด้วยคุณเจ้าสมุทร อีกด้านฝั่งขวามือคือคุณทะเลและตนนั่งต่อจากคุณทะเลและแน่นอนว่าตำแหน่งที่ตนนั่งคือฝั่งตรงข้ามกับคุณเจ้านายและคุณเจ้าสมุทร
บรรยากาศภายในห้องอาหารในเวลานี้มันไม่ได้เงียบจนรู้สึกอึดอัดอย่างที่ทิวไผ่คิดเอาไว้ เพราะทันทีที่ทุกคนนั่งลงประจำที่นั่งของตน คุณหนูเจ้าขาและดาวเหนือยังคงออดอ้อนกันด้วยโทนเสียงสองเสียงสามจนตนเผลอยิ้มไปกับความน่ารักของคุณหนูเจ้าขาจนแทบจะหุบยิ้มไม่ได้ แต่ก็ต้องพยายามดึงหน้าให้ตึงมากที่สุด เพราะไอความกดดันที่มาจากพี่ชายทั้งสองของคุณหนูเจ้าขาเริ่มคืบคลานเข้ามาห้อมล้อมตนเอาไว้จนแทบจะหายใจไม่ออก
ทั้ง ๆ ที่บุคคลทั้งสองไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แต่ตนก็รับรู้ได้ว่าภายใต้ความเงียบนั้นมันแฝงไปด้วยไอของความไม่พอใจและไม่พอใจแบบมาก ๆ เสียด้วย
"เฮีย ๆ เป็นอะไรคะ อาหารไม่ถูกปากหรือว่ากำลังคิดถึงพี่พี่กับพี่เฟย์แล้วก็น้องเจ้าทัพคะ" เจ้าขาที่เห็นอาการของพี่ชายทั้งสองของตนก็เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนอย่างเคย
"....."
"....."
"หึ หนูขาอย่าไปสนใจเลยค่ะ เฮีย ๆ ของหนูคงอยากกลับไปนอนกอดลูกกอดเมียใจแทบขาดแล้วล่ะค่ะ" ดาวเหนือว่าพลางเบ้ปากใส่ลูกชายทั้งสองของตนอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเจ้าลูกหมาตัวโตทั้งสองของตนเป็นอะไร แต่จะให้พูดตรง ๆ มันก็จะเป็นการเสียมารยาทกับแขกที่มาร่วมรับประทานอาหารด้วย
แม้ว่าทิวไผ่จะเป็นแค่เด็กหนุ่มคราวลูก แต่ตนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าก็ควรจะให้เกียรติแขกที่ตนเป็นคนเชื้อเชิญให้มาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน
"คิดถึงก็กลับไปหาสิคะ ไม่เห็นจะต้องทำหน้าดุแบบนั้นเลย เลิกทำหน้าดุได้แล้วค่ะ ดุมาก ๆ แก่เร็วนะคะ" ยิ่งเห็นพี่ชายของตนคิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม เจ้าขาก็ยิ่งหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
ทิวไผ่ที่รู้ว่าคุณหนูเจ้าขาแกล้งพูดจาเย้าแหย่พี่ชายทั้งสองของตนให้หัวคิ้วกระตุกไม่พักก็ลอบอมยิ้มให้กับความแสนแสบของคุณหนูเจ้าขา จนบางครั้งต้องยกมือขึ้นมาปิดที่ปากของตนเพื่อหลบซ่อนรอยยิ้มอาไว้ เพราะเกรงว่าถ้าคุณเจ้านายกับคุณเจ้าสมุทรเห็นรอยยิ้มของตน อาจจะคิดว่าตนยิ้มเยาะเย้ยก็เป็นได้ อะไรที่เลี่ยงการประทะได้ก็เลี่ยง ๆ ไปก่อน
"เฮียอยากทานไข่เจียวจังเลยค่ะ หนูขาตักให้เฮียหน่อยได้มั้ยคะ" หึ ก็ให้มันรู้กันไปเลย ว่าเจ้าขาเป็นคนของใคร
"เฮียสมุทรทานไข่เจียวมั้ยคะ เดี๋ยวหนูตักให้" เจ้าขาเอ่ยถามเจ้าสมุทรหลังจากที่ตักไข่เจียวให้เจ้านายตามคำขอเรียบร้อยแล้ว
"เฮียอยากทานผัดผักมากกว่าค่ะ หนูขาตักให้เฮียได้มั้ยคะ" เจ้าสมุทรพูดพร้อมกับส่งยิ้มเอ็นดูให้เจ้าหญิงตัวน้อยของตน
"ไม่มีปัญหาค่ะ" มือน้อย ๆ ค่อย ๆ ตักผัดผักและกำลังจะวางใส่ในจานของเจ้าสมุทร แต่เจ้าสมุทรกลับอ้าปากกว้างเพื่อให้เจ้าขาป้อนผัดผักให้กับตน และแน่นอนว่าเจ้าขาก็ป้อนผัดผักให้กับพี่ชายของตนด้วยความเคยชิน
ดีหน่อยที่เจ้าสองแสบนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่อย่างนั้นเจ้าขาคงต้องเดินป้อนจนครบทั้งสี่คน หรือไม่ก็จนกว่าสี่คนนั้นจะถูกดี๊ดาวเหนือเอ็ด เพราะเอาแต่ออดอ้อนเจ้าขาจนเจ้าขาแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ แต่ก็ใช่ว่าเจ้าขาจะไม่ได้ทานอะไรเลย เพราะดี๊ดาวเหนือจะเป็นคนป้อนเจ้าหญิงของตนด้วยตัวเอง หรือบางครั้งที่ดี๊ดาวเหนือไม่อยู่ ก็จะเป็นแด๊ดดี๊ทะเลทำหน้าที่แทนดี๊ดาวเหนือ
ดาวเหนือกับทะเลที่เห็นอาการหวงน้องของเจ้านายกับเจ้าสมุทรต่างก็พากันส่ายหน้าไปมา
ไม่ใช่ว่าตนจะไม่หวงเจ้าหญิงเพียงคนเดียวของตระกูล แต่ไอ้ที่เจ้าลูกชายตัวดีทั้งสองคนทำอยู่มันก็แสดงออกมามากจนเกินไปแล้ว แต่ตนก็เลือกที่จะเงียบเพื่อประเมินบุคคลที่ร่วมรับประทานอาหารในมื้อนี้ด้วยเช่นกัน
แม้ว่าทิวไผ่จะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนใจเจ้าขาอย่างออกนอกหน้านอกตา แต่ด้วยแววตาและรอยยิ้มที่ทิวไผ่ลอบแอบมองเจ้าขา ตนก็พอจะเดาได้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ถูกส่งออกมาจากความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายใน แม้มันจะเป็นแค่ช่วงเวลาแค่เสี้ยววินาทีที่ตนสังเกตุได้ แต่มันก็มากเกินพอที่ตนพอจะอ่านสายตาแบบนั้นออกจนหมดเปลือก เพราะแววตาและรอยยิ้มแบบนั้น ครั้งหนึ่งตนก็เคยใช้มองน่านฟ้าเช่นกัน
"หยุดเล่นเป็นเด็ก ๆ ได้แล้วน่า น้องต้องรีบทานข้าว จะได้ทานยาหลังอาหาร" สุดท้ายดาวเหนือก็ต้องปรามเจ้าลูกชายตัวโตทั้งสองของตนที่เอาแต่อยากกินนั่นอยากกินนี่ไม่หยุด
"ขอโทษค่ะ เฮียลืมไปเลยว่าหนูยังเจ็บแผลอยู่ แต่เท่าที่ดู ๆ จากความดื้อของหนู เฮียว่าหนูคงไม่ต้องทานยาแล้วล่ะ กลับบ้านไปเข้ายิมยิงปืนแข่งกับเฮียดีกว่า" เจ้าสมุทรว่าพลางเบ้ปากใส่เจ้าหญิงของตนเพื่อเย้าแหย่ให้คนน้องได้หัวคิ้วกระตุกเล็กน้อย
"จ้าวอย่าว่าน้องสิ หนูขาของเฮียเจ็บหนักแบบนี้จะไปจับปืนได้ยังไง เย็นนี้เข้ายิมขึ้นสังเวียนกับเฮียดีกว่าค่ะ เฮียอยากโดนหมัดเล็ก ๆ ของหนูนวดตามร่างกายจะแย่..."
"เฮีย ๆ!! หนูเจ็บอยู่นะคะ แล้วก็เจ็บมากด้วย" ก็รู้แหละว่าเจ้านายกับเจ้าสมุทรต้องการพูดจาเย้าแหย่ให้ตนหัวเสีย แต่จะมาท้าอะไรแบบนี้ คนอย่างเจ้าขายอมได้ซะที่ไหนกันล่ะ "ดี๊ขา เย็นนี้หนูขอเข้ายิมกับเฮีย ๆ ได้มั้ยคะ"
"ห้ะ!!" ทิวไผ่ที่นั่งฟังบทสนทนาของสามพี่น้องอยู่เงียบ ๆ ก็หลุดเสียงอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว
คุณหนูของตนเจ็บ... เจ็บจริง ๆ ใช่มั้ยวะ เจ็บยังไงถึงรับคำท้าจากคุณเจ้านายกับคุณเจ้าสมุทร ดื้อแบบไม่มีที่สิ้นสุดมันเป็นแบบนี้นี่เอง
"เจ้านาย!! เจ้าสมุทร!! ถ้าแกสองคนว่างมาก ก็กลับขึ้นไปเคลียร์งานค้างให้น้องโน่น ฉันจะพาน้องกลับบ้านไปพักผ่อน" เสียงเข้ม ๆ ของผู้นำตระกูลตวาดใส่ลูกชายทั้งสองของตนอย่างเหลืออด รู้ว่าน้องเจ็บ ก็ยังไม่วายชวนน้องไปเล่นซนไม่หยุด
"แต่ดี๊ขา หนูหายแล้ว หนูไม่เจ็บแผลเลยสักนิด ดี๊ขาให้หนูขาไปเข้ายิมกับเฮีย ๆ เถอะนะ" นอกจากจะส่งเสียงออดอ้อนผู้นำตระกูลอย่างดาวเหนือด้วยน้ำเสียงโทนที่สองโทนที่สามแล้ว มือเล็ก ๆ ยังบีบนวดที่หัวไหล่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ศีรษะเล็ก ๆ ถูไถคลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้มของดี๊ดาวเหนือไปมาเหมือนลูกแมวไม่มีผิด
"หึ / หึ" เจ้านายกับเจ้าสมุทรร้องหึออกมาพร้อมกัน เชื่อเถอะว่าวันนี้เด็กดื้อตรงหน้าพร้อมกับผู้นำตระกูลผู้เคร่งขึมจะต้องอยู่ที่ยิมด้วยกันอย่างแน่นอน
ดาวเหนือที่ทนต่อความออดอ้อนของเจ้าขาไม่เคยได้ จึงทำได้แค่ลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการอนุญาต
ฟอดดดด
"ขอบคุณค่ะ" ปลายจมูกโด่งฝังลงที่แก้มสากของดี๊ดาวเหนือหอมเข้าไปฟอดใหญ่ พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้กับดี๊ดาวเหนือจนตาหยี
"แต่มีข้อแม้นะคะ พรุ่งนี้หนูจะต้องหยุดอยู่ที่บ้าน และต้องหยุดงานจนกว่าแผลจะหาย" แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่คนฟังอย่างเจ้าขาก็ชักสีหน้าแทบจะทันทีที่ดาวเหนือพูดจบ มันไม่ใช่การดุ มันไม่ใช่การบังคับ แต่เป็นคำพูดที่ตนจะต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อแม้
ริมฝีปากบางที่ยกยิ้มจนแก้มปริค่อย ๆ คว่ำลง ดวงตาคู่สวยที่พราวระยับเมื่อสักครู่ค่อย ๆ หลุบลง มือน้อย ๆ ที่บีบนวดให้ดี๊ดาวเหนือเมื่อสักครู่ถูกเจ้าของของมันดึงกลับมาผสานกันอยู่ที่หน้าท้องของตน เสียงเจื้อยแจ้วที่พูดจาฉอเลาะก็เงียบสนิท
งอน งอนอย่างเห็นได้ชัด เพราะนี่คือครั้งแรกที่ตนถูกดี๊ดาวเหนือพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นนี้
ริมฝีปากน้อย ๆ เม้มเข้าหากันจนแทบจะเป็นเส้นตรง ดวงตาวูบไหวไปด้วยของเหลวสีใส หากเจ้าของดวงตากระพริบตาแค่เพียงนิดเดียว ของเหลวสีใสที่คลอหน่วยอยู่ที่รอบดวงตาต้องไหลลงมาอย่างแน่นอน
ทุกสิ่งอย่างภายในห้องอาหารตกอยู่ในโหมดเดดแอร์ ไมมีเสียงพูดจาใด ๆ ทั้งสิ้น แม้แต่เสียงหายใจก็แทบจะไม่ได้ยิน มีแต่เสียงของเครื่องปรับอากาศเท่านั้น
ทิวไผ่มองใบหน้าของคุณหนูตัวน้อยของตนด้วยใจที่วูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก ทั้งสงสารที่ถูกผู้นำตระกูลอย่างดาวเหนือดุ ทั้งเป็นห่วงกลัวว่าคุณหนูตัวน้อยจะคิดมาก เพราะดูจากสีหน้าของคุณหนูเจ้าขาในเวลานี้ มันดูน่าสงสารจนใจของตนเจ็บไปหมด ขอกอดได้มั้ย ขอเป็นคนปลอบคุณหนูให้หยุดร้องไห้ได้มั้ย
ดาวเหนือลอบชำเรืองมองปฏิกริยาของทิวไผ่เล็กน้อย และก็เป็นอย่างที่ตนคิดเอาไว้ แววตาคู่นั้นมันดูเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะพยายามซุกซ่อนความรู้สึกเอาไว้จนลึกสุดก้นบึ้งของความรู้สึก แต่มันก็ฉายให้ตนเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงสีหน้าจะนิ่งเรียบ แต่สันกรามที่ปูดนูนขึ้นมาเพราะเจ้าของของมันขบกัดเอาไว้เพื่อข่มอารมณ์ที่มันคุกรุ่นอยู่ภายในมันเด่นชัดซะขนาดนั้น ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าตอนนี้ความรู้สึกของทิวไผ่ที่มีต่อเจ้าหญิงตัวน้อยของตนมันมีมากมายขนาดไหน
ก็ได้แต่หวังว่าจะผ่านด่านเจ้าหมาตัวโต ๆ สองตัวนี้กับหมาเด็กที่นอนเจ็บอีกสองตัวได้ล่ะนะ คิดได้แค่นั้นริมฝีปากหยักก็ยกยิ้มที่มุมปากอย่างชอบใจ
มันเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาเจ้านายกับเจ้าสมุทรถึงกับขมวดคิ้วเป็นปม มันเป็นรอยยิ้มที่ยากเกินจะคาดเดา
ผิดกับทะเลที่เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของพี่ชายของตนอยู่บ่อย ๆ ก็พอจะเดาไว้ว่าพี่ชายของตนคิดจะทำอะไร และที่พูดจาแบบนั้นกับเจ้าขาเพื่ออะไร มันเดาได้ไม่ยากเลยสักนิด
ส่วนคุณหนูเจ้าขาที่เอาแต่นั่งก้มหน้านิ่งจึงไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มแสนจะเจ้าเล่ห์ของดี๊ดาวเหนือ จึงทำให้ไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันไม่ได้รู้สึกอึดอัดเหมือนเมื่อครู่ แต่มันกำลังอบอวลไปด้วยความสงสัย
ทิวไผ่เองก็ขมวดคิ้วมุ่นไม่ต่างจากพี่ชายทั้งสองคนของคุณหนูเจ้าขา เพราะไม่เคยเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนั้นจากผู้นำตระกูลอย่างดาวเหนือ เพราะส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นรอยยิ้มแบบนักธุรกิจ ก็เป็นรอยยิ้มที่แสยะยิ้มร้ายที่กำลังจะตะครุบเหยื่อเพื่อส่งไปสังเวยให้กับท่านพญามัจจุราชในนรกภูมิ
แล้วทำไมต้องดุคุณหนูของตน
ดุแล้วยิ้มเหมือนกำลังพอใจอะไรสักอย่าง
ถ้าจะบอกว่ายิ้มเพราะมีความสุขที่ทำให้คุณหนูเจ้าขาเสียใจ ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน เพราะใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าผู้นำตระกูลวัชรสกุลกิจรักคุณหนูเจ้าขาอย่างกับแก้วตาดวงใจ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันคืออะไร
รอยยิ้มแบบนั้นมันคืออะไร
ผู้นำตระกูลวัชรสกุลกิจ
คิดจะทำอะไรกันแน่
ไม่ว่าดาวเหนือคิดจะทำอะไร ตนขอให้สัตย์ไว้ ณ ตรงนี้เลย ตนจะปกป้องและดูแลคุณหนูเจ้าขาด้วยชีวิตของตน
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 9
Comments
ฟิวแห่งแสงจันทรายามค่ำคืน☆
อัพอีกกำลังเพลินเลย~
2023-06-08
0