ทิวไผ่เจ้าขา

ทิวไผ่เจ้าขา

ตอนที่ 1

คาร์เทอร์โฮเทล

นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก คาร์เทอร์โฮเทล โรงแรมหรูระดับห้าดาวกลางใจเมือง เจ้าของโรงแรมคือ ดีล คาร์เทอร์ นักธุรกิจวัยกลางคน เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงระดับต้น ๆ ของเอเชีย แม้ว่าจะมีอายุใกล้จะแตะห้าสิบแต่ด้วยใบหน้าอันหล่อเหลา จึงทำให้ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ดูแก่ตามวัยแม้แต่นิดเดียว

แต่ที่สร้างความสนใจแก่พวกนักข่าว และเหล่าซุบซิบคนดัง กลับไม่ใช่เรื่องที่ดีล คาร์เทอร์ยังไม่มีครอบครัวและยังใช้ชีวิตตามวิถีชายโสด แต่ที่นักข่าวให้ความสนใจคือเรื่องที่ดีล คาร์เทอร์ แอบมีครอบครัวอย่างลับ ๆ หรือบางข่าวก็ว่าดีล คาร์เทอร์แอบไปทำผู้หญิงท้องแล้วไม่ยอมรับผิดชอบ บ้างก็ว่าแอบเล่นชู้กับเมียนักธุรกิจด้วยกัน แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่ได้รับความกระจ่างแจ้ง เพราะดีล คาร์เทอร์ไม่เคยเปิดเผยและไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย ไม่ว่านักข่าวจะพยายามขุดคุ้ยมากเท่าใด แต่ทุกอย่างก็จบลงที่ความว่างเปล่า

แน่นอนว่างานเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ของบริษัทคาร์เทอร์กรุ๊ป ย่อมมีเหล่านักธุรกิจและเหล่าผู้มีอิทธิพลคนดังมาร่วมงานอย่างมากหน้าหลายตา และที่ขาดไม่ได้ก็คงจะไม่พ้นแขกคนสำคัญและยังเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของงานอย่าง ทะเล วัชรสกุลกิจ

ทันทีที่ทะเล วัชรสกุลกิจ และ ปลายฟ้า วัชรสกุลกิจ เดินเคียงคู่เข้ามาภายในงาน ทุกคนที่อยู่ภายในงานต่างให้ความสนใจ ช่างภาพและนักข่าวรีบเข้าไปรุมล้อมเพื่อสัมภาษ์และบันทึกภาพกันรัว ๆ เรียกได้ว่าไม่บ่อยนักที่จะเห็นคนทั้งคู่ออกงานร่วมกัน

เมื่อเห็นเพื่อนสนิทเข้ามาภายในงาน เจ้าของงานรีบออกไปต้อนรับทันที

"ไงเพื่อน ฉันคิดว่าแกจะไม่มาซะแล้ว" ดีลเอ่ยทักทายเพื่อนสนิทอย่างเป็นกันเอง

"งานเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ของเพื่อนทั้งที ฉันจะไม่มาร่วมยินดีได้ยังไง"

"สวัสดีครับคุณปลายฟ้า รู้สึกเป็นเกียรติจังเลยนะครับที่คุณมาร่วมงานในคืนนี้ด้วย" ไม่พูดเปล่า ดีลยังยื่นมือออกไปเพื่อที่จะจับมือกับปลายฟ้าเพื่อเป็นการทักทาย

"สวัสดีครับคุณดีล" ปลายฟ้าเหลือบตามองมาที่ทะเลเล็กน้อยเพื่อเป็นการขออนุญาต ซึ่งทะเลก็พยักหน้าให้กับภรรยาของตนเพื่ออนุญาต

แต่แทนที่ดีลจะรีบปล่อยมือของปลายฟ้าแต่กลับใช้หัวแม่มือสัมผัสที่นิ้วหัวแม่มือของปลายฟ้าเบา ๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงอะไรบ้างอย่าง ปลายฟ้ารีบดึงมือกลับทันที การกระทำของคนทั้งคู่อยู่ในสายตาของทะเลทุกอย่าง

เมื่อเห็นว่ามือของภรรยาเป็นอิสระจากคนตรงหน้า ทะเลไม่รอช้ารีบสอดนิ้วมือของตนกับมือของปลายฟ้าทันที

"ฉันว่าเราเข้าไปข้างในกันดีกว่า งานใกล้จะเริ่มแล้ว" ดีลเอ่ยปากชวนเพื่อนสนิทของตนเข้าไปในงาน แต่สายตากลับจดจ้องมาที่ภรรยาของเพื่อนตาเป็นประกาย โดยที่ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าเพื่อนของตนจะรู้สึกยังไง ทะเลที่เห็นแบบนั้นก็ปล่อยมือของปลายฟ้าให้เป็นอิสระ

ปลายฟ้าที่ถูกสามีดึงมือออกจากมือของตนก็เงยหน้าขึ้นสบตากับสามีด้วยความสงสัย ทะเลไม่ได้พูด แต่เลือกที่จะสอดแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามไว้ที่เอวของปลายฟ้าแทนคำตอบ

เมื่อถูกสามีโอบเอวจนแทบจะฝังร่างทั้งร่างเข้าไปในตัวของสามี ปลายฟ้าจึงส่งยิ้มให้ทะเลเล็กน้อย และทะเลเองก็ส่งยิ้มให้กับปลายฟ้าเช่นกัน

ดีลที่ยืนดูการกระทำของเพื่อนสนิทอย่างทะเลกับปลายฟ้าก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ก็ยังทำอะไรมากไม่ได้ อีกไม่นานเกินรอ อีกแค่ไม่กี่อึดใจ คนที่ยืนเคียงข้างปลายฟ้าจะต้องเป็นตนเท่านั้น

เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เผลอแสยะยิ้มร้ายออกมา จนคนที่มองทุกการกระทำของดีล อย่างทะเลถึงกับหัวคิ้วกระตุกกับรอยยิ้มไม่ชอบมาพากลของเพื่อนของตน แต่ก็เลือกที่จะเก็บความคิดเหล่านั้นเอาไว้ และเดินตามดีลเข้าไปในงานทันที

อีกมุมหนึ่งของงานกลับมีชายผู้หนึ่งยืนมองผู้คนภายในงานด้วยสายตาเรียบนิ่ง แม้ว่าใบหน้าจะหล่อเหลาราวเทพบุตร แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่าภายใต้ความหล่อเหลานั้นเปรียบเสมือนมัจจุราชที่พร้อมจะกระชากวิญญาณของใครบางคนได้ทุกเวลาเช่นกัน

ทันทีที่เห็นเหยื่อที่ตนจ้องจะขย้ำเดินเข้ามาภายในงาน ริมฝีปากสวยได้รูปก็ยกขึ้นแสยะยิ้มร้ายจนดูน่ากลัว

มุมที่เด็กหนุ่มยืนอยู่สามารถมองเห็นบรรยากาศภายในงานได้เป็นอย่างดี และแน่นอนว่าทุกการกระทำของคนที่อยู่ภายในงาน รวมถึงการกระทำของทั้งสามคนเมื่อสักครู่ก็อยู่ในสายตาของตนด้วยเช่นกัน

ทิวไผ่ มองดูทุกการกระทำของคนที่ตนเกลียดด้วยแววตาที่เรียบนิ่ง แต่ในความเรียบนิ่งนั้นมันเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความเกลียดชัง

เจ้าของงานอาจจะคิดว่านี่คือวันเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ของคาร์เทอร์กรุ๊ป แต่เชื่อเถอะว่ามันจะไม่ใช่แค่งานเปิดตัวสินค้าอย่างเดียว แต่มันจะเป็นวันเปิดโปงความชั่วของมันด้วยเช่นกัน

ความแค้นและความอัปยศที่ตนต้องทนแบกรับมานับสิบปี มันจะต้องจบลงในวันนี้ จบสิ้นกันสักที

ทันทีที่เจ้าของงานขึ้นไปกล่าวเปิดงาน ทิวไผ่จึงเดินออกมาจากมุมของตนทันที แต่ยัง ยังไม่ถึงเวลา ตนจะรอให้มันเผยความเลวของมันออกมาให้มากกว่านี้ก่อน พอถึงตอนนั้น ตนจะเป็นคนเดินเข้าไปปิดเกมนี้เอง

"วันนี้ผมรู้สึกเป็นเกียรติมาก ๆ เลยนะครับ ที่คุณปลายฟ้าภรรยาของเพื่อนสนิทของผมได้ให้เกียรติมาร่วมงานในค่ำคืนนี้ด้วย" ดีลที่กล่าวเปิดงานเสร็จก็กล่าวขอบคุณภรรยาของเพื่อนออกสื่ออย่างไม่เกรงกลัวสามีของเธอที่ยืนโอบเอวภรรยาของตนไม่ห่างเลยสักนิด

และแน่นอนว่าหลังจากที่พูดจบเหล่านักข่าวและผู้ที่มาร่วมงานต่างให้ความสนใจในความสัมพันธ์ของคนทั้งสามคนไม่น้อย ก่อนจะพากับซุบซิบจนเสียงเริ่มจะดังอื้ออึงไปหมด

ทะเลที่ได้ยินแบบนั้นก็กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดขึ้นปูดโปนเต็มแขนจนปลายฟ้าต้องสวมกอดสามีของตนเอาไว้เพื่อเรียกสติของทะเลไม่ให้หลงไปกับคำพูดของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิท

อีกฝั่งหนึ่งของงาน ทิวไผ่ที่ได้ยินแบบนั้นก็แสยะยิ้มอย่างสมเพชกับคำพูดชวนให้อ้วกนั่น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ในสายตาของทิวไผ่ ผู้ชายคนนี้มันทั้งน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงยิ่งกว่าของเน่าเสียซะอีก

"ในเมื่อคุณปลายฟ้าอุตส่าห์มาร่วมเป็นเกียรติในค่ำคืนนี้ ผมซึ่งเป็นเจ้าของงาน ขออนุญาตเชิญคุณปลายฟ้าขึ้นมากล่าวอะไรสักเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเป็นเกียรติให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ" แม้จะรับรู้ได้ถึงสายตาและอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นของเพื่อนสนิทอย่างทะเล แต่มีหรือที่คนอย่างดีลจะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ และนี่ก็คือหนึ่งในแผนการของตน เพราะทันทีที่ปลายฟ้าเดินออกมาจากทะเล มือปืนที่รอซุ่มยิงจากตึกตรงข้ามจะลงมือทันที

ปลายฟ้าเมื่อถูกดีลเอ่ยปากพูดออกไปแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตากับสามีเล็กน้อยเพื่อเป็นการขออนุญาตอีกครั้ง ซึ่งทะเลมีทีท่าลังเลเล็กน้อย แต่เพราะเชื่อใจในสายตาที่หนักแน่นของปลายฟ้า จึงจำต้องพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการอนุญาตให้ปลายฟ้าได้ทำตามคำเชื้อเชิญของดีล

"เฮียใจเย็น ๆ นะ เชื่อใจปลาย ไม่ว่าเขาจะพูดหรือจะทำอะไร ปลายจะทำให้เขาได้รู้ ว่าปลายรักได้แค่เฮียคนเดียว" เมื่อเห็นสายตาที่วูบไหวของทะเล ปลายฟ้าก็เลือกที่จะกระซิบข้างหูของทะเลเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน ก่อนที่มือเรียวจะบีบกระชับที่มือหยาบกร้านของทะเลเบา ๆ เพื่อปลอบให้ผู้เป็นสามีได้ใจเย็นลงมาบ้าง

"เฮียรอเธออยู่ตรงนี้นะ ถ้าเกิดอะไรขึ้น รีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด คนของเฮียจะเข้าไปถึงตัวเธอได้ไวกว่าเฮีย กลับไปรอเฮียที่บ้าน ไม่ต้องเป็นห่วงเฮีย เฮียสัญญาว่าจะกลับไปหาเธอกับลูกอย่างปลอดภัย" เมื่อพูดจบก็ดึงปลายฟ้าเข้ามากอดก่อนจะจุ๊บที่หน้าผากมนเพื่อเป็นการยืนยันว่าตนจะกลับไปหาลูกและเมียตามสัญญา

ปลายฟ้าลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะผละตัวออกจากผู้เป็นสามี และเดินตามหลังพนักงานในโรงแรมไปยังด้านหน้าทันที

ทางด้านเจ้าของงานเมื่อเห็นว่าทะเลยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวก็ส่งสัญญาณให้ลูกน้องของตนลงมือตามแผนการทันที

และแน่นอนว่าหลังจากที่ดีลส่งสัญญาณให้กับคนของตน ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่ดีลได้วางเอาไว้

ปัง !!

กรี๊ดดดด !!

หลังจากเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด บรรดาแขกเหรื่อ และผู้ที่มาร่วมงานต่างพากันวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอดจนชุลมุนวุ่นวายไปหมด และแน่นอนว่าเจ้าของงานรีบวิ่งมาที่ปลายฟ้าทันที แต่ก็ช้ากว่าคนของทะเล

"เฮีย" ปลายฟ้าที่เดินไปได้ไม่ไกลรีบกุลีกุจอจะวิ่งกลับไปหาทะเล แต่ก็ถูกเดย์ลูกน้องของทะเลคว้าตัวเอาไว้ซะก่อน

"คุณปลายฟ้าไปกับผม"

เดย์พูดพร้อมกับอุ้มปลายฟ้าขึ้นพาดบ่าและพาออกไปจากงานทันที โดยมีคนของทะเลคอยคุ้มกันไม่ห่าง

"ปล่อย !!.. ปลายจะไปหาเฮีย ปล่อยเซ่!!"

"นายให้ผมพาคุณปลายฟ้ากลับไปรอที่บ้าน ผมต้องทำตามคำสั่งของนายครับ" เมื่อภรรยาของผู้เป็นนายไม่ยอมให้ความร่วมมือ เดย์จึงจำเป็นต้องใช้ไม้ตายขั้นเด็ดขาด นั่นก็คือการเอาผ้าที่มียาสลบอ่อน ๆ ปิดที่ปากและจมูกของปลายฟ้า และชั่วอึดใจ ปลายฟ้าก็แน่นิ่งไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนของเดย์

เมื่อปลายฟ้าสิ้นฤทธิ์ เดย์และลูกน้องอีกสี่ห้าคนรีบพาปลายฟ้ากลับไปยังบ้านของเจ้านายทันที เพราะถ้าขืนมัวชักช้าไปกว่านี้ คนของดีลอาจจะรู้ตัวและตามมาทันก็ได้

แต่เหมือนทุกอย่างจะง่ายไปหมดเพราะตลอดทางแม้จะมีคนของดีลตามมา แต่ก็ถูกลูกน้องของใครสักคนคอยสกัดกั้นเอาไว้ได้ตลอด ถ้าให้เดาก็คงไม่พ้นลูกน้องของนายใหญ่อย่างดาวเหนือ

และแน่นอนว่าถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูดาวเหนือ นายของตนที่อยู่ภายในงานคงได้รับการดูแลจากดาวเหนือแล้วเช่นกัน

ภายในงาน หลังจากที่สิ้นสุดเสียงปืน ร่างของชายคนหนึ่งที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเลือด กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่ที่พื้น

"ทิวไผ่!!" หมอต้นไม้ที่มาร่วมงานนี้แทนป๊าของตน ถึงกลับเหงื่อกาฬแตก มือไม้สั่นไปหมด เพราะไม่คิดว่าคนที่ถูกยิงจะเป็นน้องชายของตน

"ม..มึงมาที่นี่ทำไม" แม้ว่าร่างกายจวนเจียนจะหมดแรง แต่ทิวไผ่ยังถามพี่ชายของตนเสียงขุ่น

"มึงทำใจดี ๆ ไว้นะ กูจะช่วยมึงเอง" ต้นไม้ไม่รอช้ารีบโทรเร่งรถโรง'บาลและทำการปฐมพยาบาลให้กับทิวไผ่ทันที

แต่ด้วยความที่ตนเป็นหมอประจำห้องผ่าตัด ตนรู้ดีว่าอาการของทิวไผ่ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก แต่แล้วยังไงล่ะ ตนเป็นหมอจะปล่อยให้น้องชายของตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตาได้ยังไง

"ม...มึงไม่ต้องช่วยกู กู..อึก กูรู้ตัวเองดี.." พูดยังไม่ทันจบประโยค ทิวไผ่ก็อาเจียนออกมาลิ่มเลือดแดงฉานเต็มตัวต้นไม้ไปหมด

"มึงต้องไม่ตาย มึงต้องรอด มึงได้ยินกูมั้ย ฮึก ทิวไผ่ มึงต้องรอด" หมอต้นไม้กอดน้องชายตัวเองไว้ในอกด้วยมือที่สั่นเทา สองตาพร่าเบลอไปด้วยคราบน้ำตา แม้ว่าร่างกายของทิวไผ่จะชุ่มไปด้วยเลือด แต่คนเป็นพี่ชายกลับไม่ได้คิดจะรังเกียจเลยแม้แต่น้อย

ไม่มีอีกแล้วคราบของคุณหมอที่เคยมีสติและใจเย็นกับทุกสถานการณ์ตรงหน้า ไม่มีแล้วความสุขุมและเยือกเย็น ในสมองตอนนี้มันเต็มไปด้วยความกลัว กลัวแบบที่ไม่เคยกลัวมาก่อน

"ไอ้เด็กโง่ !!.. แกทำแบบนี้ทำไม เอาตัวเองมาตายแทนพวกมันทำไม!!" ดีลที่ถูกดาวเหนือและทะเลตามไปลากตัวมาได้ก็ถึงกับทรุดตัวลงไปที่พื้นอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก แม้ว่าคำพูดที่เปล่งออกไปจะแข็งกร้าว แต่แววตากลับวูบไหวไปด้วยน้ำตา

ใครจะเชื่อว่าคนอย่างดีล คาร์เทอร์จะร้องไห้เพราะเด็กหนุ่มที่นอนหายใจรวยรินอยู่ตรงหน้า

"หึ กูเคยเตือนมึงแล้วไง อึก.. แต่.. แต่มึงไม่ฟังกูเอง" ทิวไผ่ร้องหึอยู่ในลำคอและพยายามเคร้นเสียงออกมาเพื่อตรอกย้ำคนตรงหน้าในสิ่งที่ตนเคยพูดเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน

"ทำไมวะ!! ทำไมต้องปกป้องพวกมันด้วย!! ฉันเป็นพ่อของแก..แกต้องปกป้องฉันถึงจะถูก!!" เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและชิงชังของทิวไผ่ ดีลก็ระเบิดอารมณ์ของตนออกมาเช่นกัน

คำพูดของดีลทำให้ทะเลกับดาวเหนือชะงักไปชั่วอึดใจ พร้อมกับตั้งคำถามเอาไว้ในใจอีกมากมาย

ทิวไผ่เป็นลูกของดีล ?

"พ่อ... หึ เพราะว่ากูไม่อยากมีพ่ออย่างมึงไง กูถึงได้ยอมตายซะยังจะ อึก ดีกว่าที่จะต้องมีเลือดชั่ว ๆ ของมึงอยู่ในร่างกายของ...กู!!" ทิวไผ่กะอักออกมาเป็นลิ่มเลือดแดงฉานจนแทบจะพูดไม่เป็นภาษาแต่ก็พยายามเคร้นเสียงที่ตอนนี้เริ่มจะแหบพร่าเพื่อตรอกย้ำความรู้สึกของตนที่ต้องทนเก็บมันเอาไว้เป็นเวลาหลายปี

"พอแล้ว ฮึก พอแล้วไม่ต้องพูดแล้ว" ต้นไม้ที่กอดทิวไผ่เอาไว้ในอกพยายามห้ามไม่ให้ทิวไผ่พูด เพราะถ้าลิ่มเลือดเข้าไปอุดหลอดลม นั่นหมายความว่าโอกาสรอดของทิวไผ่เท่ากับศูนย์

"กู..อึก...กูฝากขอโทษ.. ขอโทษแม่กับป๊าด้วย..." ทันทีที่พูดจบทิวไผ่ก็แน่นิ่งไปในอ้อมกอดของผู้เป็นพี่ชาย

"ไม่!! มึงต้องไม่เป็นอะไร มึงต้องรอด มึงต้องกลับมาอยู่กับกู...ทิวไผ่กลับมา!!.."

เมื่อร่างของคนตรงหน้านอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ดีลทิ้งตัวนั่งลงที่พื้นอย่างคนพ่ายแพ้

ใช่!!

ตอนนี้ตนแพ้แล้ว ถึงแม้ว่าทิวไผ่จะเป็นลูกที่เกิดมาจากความเลวระยำของตน แต่ทันทีที่รู้ว่าทิวไผ่คือเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ตอนนั้นทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ ถึงแม้จะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ยอมให้ตนได้ใช้สิทธิ์ของความเป็นพ่อของลูก แต่ตนก็รู้สึกขอบคุณที่อย่างน้อยผู้หญิงคนนั้นยังเลือกที่จะพูดความจริง ว่าตนคือพ่อของทิวไผ่

ตลอดเวลาสิบปีที่รู้ว่าทิวไผ่เป็นลูก ตนพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำให้ทิวไผ่ยกโทษให้ตน และให้โอกาสตนได้ทำหน้าที่ของพ่อบ้าง แต่นอกจากทิวไผ่จะไม่ให้โอกาสแล้ว เขายังเลือกที่จะจบทุกอย่างลงด้วยมือของผู้ที่เป็นคนทำให้เขาได้เกิดมา

ดีลคือคนที่ทำให้ทิวไผ่ได้เกิดมา

...และ...

...คือคนคนเดียวกับคนที่พรากลมหายใจของทิวไผ่ไป...

...ทุกอย่างมันจบลงแล้วจริง ๆ ...

...เกมนี้มันจบลงแล้ว จบไปพร้อมกับ...

...ลมหายใจเฮือกสุดท้าย...

...ของ...

..."ทิวไผ่"...

สิบปีต่อมา

กริ๊งงงง กริ๊งงงง

เมื่อได้ยินเสียงริงโทนดังต่อเนื่องอยู่หลายครั้ง ฝ่ามือหนาของใครบางคนควานหาโทรศัทพ์ของตนที่โต๊ะข้างที่นอนด้วยอาการงัวเงีย ก่อนจะกดรับสายโดยที่ไม่ทันได้ดูรายชื่อของผู้ที่โทรเข้ามา

[ทำอะไรอยู่วะ ทำไมเพิ่งจะรับสาย]

ทันทีที่กดรับสายก็ได้ยินเสียงปลายสายสวดมาทันที

"โทรมามีไร" จากที่กำลังงัวเงียก็ต้องตาสว่างขึ้นมาในทันทีเมื่อรู้ว่าปลายสายนั้นคือใคร

[อย่าบอกนะว่าแกยังไม่ตื่น]

"ตื่นแล้ว ตื่นตอนที่มึงโทรมานี่แหละ"

[ไอ้ฟาย!! ไหนบอกว่าจะกลับไทยวันนี้ไง ทำไมยังไม่เตรียมตัวอีก]

"...."

จะให้ตอบกลับไปว่าไงล่ะ ก็มันลืมจริง ๆ นั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะออกเดินทางแต่เช้า แต่ที่ตื่นสายก็เพราะมัวแต่ไปเลี้ยงฉลองกับไอ้พวกเพื่อนเวรนั่นแหละ ไม่รู้จะเลี้ยงส่งอะไรกันนักหนา กว่าจะได้กลับก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม ยังไม่รวมเวลาที่ไปนั่งอ้วกในห้องน้ำนั่นอีก กว่าจะอาบน้ำเสร็จ กว่าจะได้เข้านอนก็ปาเข้าไปเกือบตีห้า แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาตื่นแต่เช้า

[แกลุกไปอาบน้ำแล้วก็ลากสังขารลงมาจากคอนโดเดี๋ยวนี้ อีกสามสิบนาทีลูกน้องของป๊าจะเข้าไปรับแกที่หน้าคอนโด]

"บอกป๊าไปเลยว่าไม่ต้องส่งใครมารับ กูไปเองได้ กูโตแล้วนะ" เมื่อรู้ว่าคนของป๊ากำลังจะมารับตนที่คอนโด ทิวไผ่ จึงโวยกลับไปยังปลายสายทันที

จะไม่ให้โวยวายได้ยังไง ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ป๊ากับแม่แล้วก็ไอ้พี่ชายตัวดีก็ส่งตนมารักษาตัวที่อังกฤษ แล้วยังบังคับให้เรียนต่อให้จบปริญญาโท ไอ้เรื่องเรียนต่อ ตนไม่อะไรอยู่แล้ว เพราะใจจริงก็อยากเรียนต่อ แต่ไอ้ที่ให้มาเรียนมาเที่ยวอย่างเดียวโดยที่ไม่ยอมให้ทำอะไรเลยนี่สิ มันชักจะมากเกินไปแล้ว

จะขอออกไปทำงานก็ไม่ยอมให้ทำ จะออกไปไหนหรือจะทำอะไรก็ต้องมีคนคอยติดตามตลอดเวลา ขนาดหนีออกมาอยู่คอนโด ก็คิดว่าจะหนีพ้นแล้ว แต่ที่ไหนได้ คอนโดนี้ก็เป็นของป๊าเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว เหอะ อายุก็ปาเข้าไปสามสิบต้น ๆ แล้ว แต่ดูทุกคนทำกับตนสิ ไม่ต่างอะไรจากเด็กมอต้นเลยสักนิด แต่ยังดีที่เวลาจะไปไหนกับเพื่อน ๆ หรือเวลามีงานเลี้ยงสังสรรค์ ยังยอมปล่อยให้ตนไปได้อย่างอิสระ แต่มันคืออิสระจริง ๆ เหรอ ในเมื่อคนของป๊ายังเดินตามก้นตนทุกฝีก้าวอยู่แบบนั้น

และนี่คือทางออกที่ดีที่สุด ถ้าอยากได้รับอิสระ มีทางเดียวคือต้องกลับไปอยู่ที่ไทยเท่านั้น และแน่นอนว่ากว่าตนจะขอกลับไทยได้ ก็เล่นเอาเหนื่อยพอสมควร

หรือถ้าไม่ยอมให้ตนกลับไทย อย่างน้อยป๊ากับแม่ก็น่าจะยอมให้ตนได้ทำงานทำการบ้าง ไม่ใช่ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปขอซื้อหุ้นส่วนจากบริษัทของเพื่อนแล้วแอบหอบงานกลับมาทำที่คอนโดแบบนี้

[แกไม่ต้องพูดมาก อีกยี่สิบนาทีฉันจะถึงล่ะ ถ้าแกยังไม่ลงมา ฉันจะขึ้นไปลากแกลงมาเอง แค่นี้]

พอปลายสายพูดในความต้องการของตัวเองจบ ก็กดตัดสายทันที ทิวไผ่ได้แต่หัวเสียก่อนจะโยนมือถือลงบนที่นอนและลากสังขารที่ยังมีอาการเมาค้างเข้าไปในห้องน้ำทันที

หลังจากที่ได้ชำระล้างร่างกายจนรู้สึกสดชื่น ทิวไผ่ที่เดินออกมาจากห้องน้ำพลางผิวปากอย่างคนอารมณ์ดี โดยที่ตัวเองมีผ้าขนหนูคาดอยู่ที่เอวเพียงผืนเดียว

"ก็รู้แหละว่าแกหุ่นดี แต่ช่วยใส่เสื้อผ้าให้มันเรียบร้อยกว่านี้หน่อยได้มั้ย" ต้นไม้ ที่เข้ามานั่งรอน้องชายก็อดไม่ได้ที่จะแหวใส่เพราะความหมั่นไส้

"อิจฉาที่กูหุ่นดีกว่า หล่อกว่าอ่ะดิ" ไม่พูดเปล่าแต่ทิวไผ่ยังยักคิ้วข้างหนึ่งเพื่อกวนประสาทพี่ชายตัวเองหนึ่งที ก่อนจะเดินผิวปากเข้าไปยังห้องแต่งตัวอย่างคนอารมณ์

"เหอะ" ต้นไม้ทำได้แค่ส่งเสียงเหอะอยู่ในลำคอ จะให้ตนพูดอะไรได้ในเมื่อสิ่งที่ทิวไผ่พูด มันคือความจริงทุกประการ

ถึงแม้ว่าเราสองคนจะมีแม่คนเดียวกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทิวไผ่ได้ความหล่อเหลามาจากดีล คาร์เทอร์ผู้เป็นพ่อไม่น้อย หรือจะเรียกว่าถอดแบบเบ้าหน้ามาเลยก็ได้ ทั้งส่วนสูงที่สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซ็นติเมตร ทั้งหุ่นล่ำ ๆ ที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม แล้วยังจะมีเบ้าหน้าฟ้าประทานนั่นอีก ผิดกับตนที่สูงแต่ร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นติเมตร แม้ว่าร่างกายจะมีกล้ามเนื้ออยู่บ้างแต่ก็แค่กล้ามเนื้อที่ได้มาจากการออกกำลังแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะอาชีพหมอแค่กลับจากรักษาคนไข้ ก็แทบจะหลับทันทีที่ก้าวขาเข้าไปยังห้องนอนแล้ว และถ้าพูดถึงหน้าตา ตนแทบจะถอดแบบมาจากแม่แทบจะทั้งหมด โลกนี้มันชั่งไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

หลังจากที่เสียเวลารอไอ้น้องชายตัวดีมัวพิลี้พิไลอยู่นาน ทั้งคู่ก็มาถึงสนามบินทันเวลาพอดี

ประเทศไทย

บริษัททะเลซีฟู้ดส์

"หนูขา ทำไมยังไม่ไปทานข้าวอีกล่ะคะ" ทะเลที่เดินเข้ามายังห้องทำงานของเจ้าขาลูกชายคนโตของตนก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยทันที เพราะนี่ก็เลยช่วงพักเที่ยงมาจนจะครึ่งชั่วโมงแล้ว

"หนูขอดูเอกสารอันนี้อีกแป๊บนึงนะคะ" เจ้าขาตอบกลับผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนเดิม แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่แฟ้มเอกสารตรงหน้า จนหัวคิ้วแทบจะผูกกันเป็นปม

ทะเลเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างหลังเจ้าขาและก้มดูเอกสารในมือของเจ้าขาด้วยความสนใจ

"นี่มัน... " ทันทีที่เห็นเอกสารในมือของเจ้าขา ทะเลถึงกับชะงักไปชั่วอึดใจ

"มันคือยอดสั่งซื้อวัตถุดิบที่ทางฝ่ายบัญชีเอามาให้หนูช่วยตรวจสอบให้ค่ะ"

"ยอดการสั่งซื้อกับของที่ได้รับจริงมันไม่สอดคล้องกันสักรายการ เรื่องนี้แด๊ดดี๊ขอจัดการเองดีกว่าค่ะ" เมื่อเห็นว่าเอกสารที่อยู่ในมือของเจ้าขามันมีอะไรที่ไม่โปร่งใส ทะเลจึงเลือกที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

ไม่ใช่ว่าตนไม่เชื่อใจเจ้าขาลูกชายของตน แต่เพราะรู้ว่าเจ้าขาเป็นคนยังไง ตนจึงเลือกที่จะจัดการเรื่องนี้เองดีกว่า อย่างน้อยคนที่มันคิดทุจริตกับบริษัทของตนก็อาจจะแค่ถูกดำเนินคดี แต่ถ้าเรื่องนี้ถึงมือเจ้าขาล่ะก็....หึ ใครเลี้ยงมาก็คงไม่ต่างจากคนเลี้ยงสักเท่าไหร่หรอก แต่ที่น่ากลัวกว่าก็ตรงที่เจ้าขาเป็นคนเด็ดขาดนี่แหละ คำไหนคำนั้น ไม่มีข้อแม้ และไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น

"แด๊ดดี๊ให้หนูจัดการเองก็ได้นะคะ เรื่องแค่นี้เอง" ทันทีที่เห็นสายตาเป็นกังวลของทะเล เจ้าขาก็ส่งยิ้มหวานให้ทะเลทันที และแน่นอนว่าในรอยยิ้มนั้นมันละลายหัวใจของทะเลจนเหลวไปหมด

"แด๊ดดี๊ว่าเราพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า ได้เวลาไปทานข้าวแล้วค่ะ" ฝ่ามือหนารวบเอกสารในมือของเจ้าขาเก็บไว้ในแฟ้มอย่างเดิม ก่อนจะดึงมือเจ้าขาให้เดินตามตนออกไปยังห้องอาหารที่แม่บ้านได้จัดเตรียมเอาไว้ให้

"เย็นนี้แด๊ดดี๊กับมามี๊ไม่ต้องรอทานข้าวนะคะ หนูมีนัดกับเจ้าสองแสบค่ะ"

"หืม จะไปไหนกันเหรอคะ ให้แด๊ดดี๊ไปเป็นเพื่อนมั้ย"

"ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกค่ะ แค่สองแสบอยากจะดูหนัง หนูก็เลยว่าจะพาไปสักหน่อย ฉลองที่น้องสอบเสร็จน่ะค่ะ"

"อย่ากลับดึกนะคะ แด๊ดดี๊ว่าให้คนของแด๊ดดี๊ไปกับหนูด้วยดีกว่า แด๊ดดี๊เป็นห่วง"

"ไม่เป็นไรค่ะ หนูสัญญาว่าจะรีบกลับ ไม่เถลไถลแน่นอนค่ะ"

เมื่อเห็นสายตาออดอ้อนของเจ้าขาที่มาพร้อมกับรอยยิ้มหวานจนตาหยี ทะเลก็อดที่จะบีบแก้มป่อง ๆ ของเจ้าขาด้วยความมันเขี้ยวไม่ได้

"ยื้อ...แก้มหนูยืดหมดแล้วค่ะ" แม้ว่าปากจะพูดจาประชดประชัน แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

"ทานข้าวได้แล้วค่ะ ถ้ามามี๊กับพี่เหนือพี่น่านรู้ว่าแด๊ดดี๊ใช้งานหนูขาจนทานข้าวไม่ตรงเวลา แด๊ดดี๊คงจะถูกบ่นจนหูชาแน่นอนค่ะ"

"ขอโทษค่ะ ต่อไปหนูจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ"

"ทานเยอะ ๆ นะคะคนเก่ง" ทะเลตักไข่เจียวใส่ในจานข้าวให้เจ้าขาทันที

"ขอบคุณค่ะ"

เจ้าขาก็คือเจ้าขาคนเดิม ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน อาหารจานโปรดของเจ้าขาก็ยังคงเป็นไข่เจียวเหมือนเดิม

ทะเลที่นั่งมองเจ้าขาทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้

แม้ว่าเจ้าขาจะเป็นลูกชายคนโตของตน แต่ด้วยร่างกายที่ค่อยข้างจะตัวเล็กและมีใบหน้าที่ค่อนข้างจะน่ารักมากกว่าหล่อ และการที่เจ้าขาถูกคนในครอบครัวเลี้ยงดูมาประหนึ่งว่าเป็นเจ้าหญิงของตระกูล นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทุกคนมักจะพูดคะพูดขากับเจ้าขาซะส่วนใหญ่

คนทั่วไปอาจจะมองว่าการเลี้ยงลูกผู้ชายให้เป็นเหมือนผู้หญิงแบบนี้อาจจะเป็นเรื่องที่น่าอับอาย แต่สำหรับตนกับคนในครอบครัวไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ขอแค่เขามีความสุขในสิ่งที่เขาเป็น แค่นี้คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็มีความสุขไปด้วยแล้ว

ไม่ว่าคนอื่นจะมองว่าเขาเป็นตัวประหลาดหรืออะไรก็แล้วแต่ ขอแค่คนในครอบครัวเข้าใจและมีความสุขกับสิ่งที่เขาเป็นก็พอ และแน่นอนว่าทุกคนภูมิใจในตัวของเจ้าขามาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลการเรียน เรื่องการใช้ชีวิตประจำวันรวมไปถึงเรื่องของการทำงาน เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีตรงไหนที่เป็นข้อบกพร่องเลยก็ว่าได้

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเป็นพ่ออย่างทะเลรู้สึกเป็นห่วงก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความรัก เพราะตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าขาไม่เคยคบกับใครเกินคำว่าเพื่อนเลยสักคน ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเข้ามาจีบหรือมาขอคบ แต่เจ้าขาเลือกที่จะปฏิเสธมันมาโดยตลอด

ถ้าจะบอกว่าที่เจ้าขาไม่ยอมมีแฟนก็เพราะว่าทุกคนในบ้านหวง มันก็ไม่น่าจะใช่เพราะบางคนก็ผ่านด่านทดสอบของดาวเหนือมาจนได้ แต่ความพยายามกลับต้องมาพังลงไม่เป็นท่า เพียงเพราะเจ้าขาเลือกที่จะสานสัมพันธ์ในสถานะเพื่อนเท่านั้น

สิ่งที่ทะเลกลัวมากที่สุดก็ตรงนี้แหละ ตรงที่เจ้าขาไม่เคยมีแฟน แล้วถ้าวันหนึ่งมีคนที่ทำให้เจ้าขามีความรัก และสุดท้ายความรักนั้นมันไม่ได้สวยงามอย่างที่หวัง เจ้าขาที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของตนและของทุกคนในครอบครัวจะรู้สึกยังไง

และสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คงไม่พ้นไอ้คนที่มันกล้าทำให้เจ้าหญิงของตระกูลวัชรสกุลกิจเสียใจ โทษของมันก็คงไม่ต่างอะไรกับนักโทษชั้นเลว ที่บทลงโทษมีแค่ความตายเท่านั้น

ฝ่ามือหนาลูบที่กลุ่มผมนุ่มของเจ้าขาด้วยความรักและความเอ็นดู คนที่ถูกลูบที่กลุ่มผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้เป็นพ่อพร้อมกับส่งยิ้มหวานละลายหัวใจให้ทะเลจนตาหยี ก่อนจะหันกลับมาสนใจไข่เจียวในจานข้าวของตนดังเดิม

ภาพของเด็กน้อยในวัยห้าขวบที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่โซฟากลางห้องโถง ในมือมีช้อนหนึ่งคัน และที่บนตักของเด็กคนนั้นมีจานใส่ข้าววางไว้หนึ่งใบ และแน่นอนว่าบนข้าวสวยในจานมีไข่เจียววางทับไว้ด้านบน หน้าตาของไข่เจียวน่ะเหรอ

"มี๊ชอบทำไข่เจียวให้หนูทานบ่อย ๆ สีมันจะออกน้ำตาล ๆ แล้วก็เละ ๆ รสชาติเค็ม ๆ แต่อร่อยนะคะ หนูชอบ"

เมื่อคิดถึงภาพของเจ้าขาตอนที่นั่งทานข้าวกับไข่เจียวของพี่น่านฟ้าทีไร ก็ทำเอาทะเลอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ถึงแม้ว่าหน้าตาไข่เจียวของพี่น่านฟ้ามันจะมีหน้าตาแปลก ๆ แต่เจ้าขาก็กินมันจนหมด

...อยากจะถามเจ้าขาเหลือเกิน...

...มันอร่อยจริง ๆ ...

...หรือ...

...เป็นเพราะว่าหนูหิวกันแน่...

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!