ประกาศิตรัก
ตระกูลเยี่ย
ย่ำค่ำคืนหนึ่งในคิมหันต์ฤดู ท้องฟ้าไร้ซึ่งเมฆบดบังแต่กลับมองไม่เห็นประกายสุกสกาวของดวงดาวบนท้องฟ้า แต่ท้องนภาก็ยังสว่างไสวด้วยแสงจันทร์นวลผ่องในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นยามห้ายแล้วนอกถนนบ้านเรือนต่าง ๆ ปิดประตูเข้าสู่ห้วงนิทรากันจนบรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด คงมีเพียงจวนสกุลเยี่ยที่ตอนนี้ถูกแขวนด้วยโคมไฟสีขาวและธงผ้าริ้วสีขาวตกแต่งรอบประตูหน้าจวน
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของครอบครัวดังออกมาจากห้องพิธีศพไม่ขาดสาย บ่าวไพร่เดินไปเดินมาเตรียมของในงานขาวดำด้วยใบหน้าเศร้าโศก รอบดวงตาแดงก่ำ เสียงสะอึกสะอื้นบ่งบอกถึงความอาลัยอาวรณ์ของผู้ลาลับ ในห้องพิธีสถานที่ตั้งศพและโต๊ะสถิตดวงวิญญาณสำหรับเซ่นไหว้ถูกตกแต่งไว้อย่างดีเพื่อเป็นการเคารพให้เกียรติแด่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
บนถนนที่เงียบสงัดชายชราหลังค่อมเดินถือคบไม้เคาะบอกเวลายามจื่อ
"อากาศแห้งแล้งระวังฟืนไฟ"
ชายชรายามบอกเวลาประจำหมู่บ้าน พยายามตะเบ็งเสียงที่แหบพร่านั้นเพื่อแจ้งเวลาแม้ในยามนี้จะไม่มีผู้ใดตื่นมารับฟังก็ตามทีเขาก็ยังคงเดินเยื้องย่างอย่างช้า ๆ ไปตามถนนนั้นอยู่เช่นเดิม ชายชราหลังค่อมเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงหน้าจวนสกุลเยี่ยพลันนั้นก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่เงียบสงัดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ถึงจะเป็นคิมหันต์ฤดูแต่ก็ยังพอมีลมพัดปลิวต้นไม้มีใบสั่นไหวบ้างแต่ตอนนี้กลับมีสิ่งผิดปกติกำลังเกิดขึ้น แม้แต่เสียงใบไม้วูบไหวก็ยังเงียบสงัด ไม่มีลมพัดวูบผ่านร่างเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกเย็นเยียบสะท้านแทรกเข้ากระดูกสันหลัง มีดวงไฟสีเขียว ๆ ดวงนึงลอยมาอย่างช้า ๆ เหนือศีรษะของชายชราหลังค่อมผู้นั้น
มือที่ถือโคมไฟและคบไม้ของชายชราสั่นเทามือเย็นสะท้านสัมผัสได้ถึงดวงไฟนั้นหยุดนิ่งบนศีรษะ ร่างคนชราสั่นเทาไม่กล้าหันไปมองแม้จะเห็นแสงวูบวาบนั้นที่ปลายลานสายตา ขาสองข้างหนักอึ้งจนไม่สามารถก้าวเท้าต่อไปข้างหน้าได้เหงื่อบนใบหน้าเริ่มไหลหยดลงมาตามใบหน้า
"ไม่ว่าเจ้าจะอยู่แห่งหนใดข้าจะตามหาเจ้าให้พบ"
เสียงเย็นเยียบอยู่ข้าง ๆ คล้ายออกมาจากแสงไฟสีเขียวนั้น ทันทีเท้าเริ่มขยับได้ชายชราหลังค่อมไม่รอช้าเดินยืดหลังตรงได้แล้ววิ่งซอยเท้าฝุ่นตลบพลางตะโกนโหวกเหวกโวยวายเสียงดังไปทั่วท้องถนน
"ช่วยด้วย ผีหลอก ช่วยด้วย ผีหลอก ข้าแก่จนจะเข้าโลงอยู่แล้วเกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น"
ชายชราที่ตอนนี้หลังหายค่อมวิ่งอย่างรวดเร็วราววัยหนุ่มหายลับไปในทันที ก่อนดวงไฟดวงนั้นจะเคลื่อนที่ไปยังหน้าบ้านสกุลเยี่ย ก่อนจะลอยข้ามกำแพงเข้าไปแล้วลอยวูบไหวไปมาเหนือจวน
เหมือนมีแรงดึงดูดจากสนามแม่เหล็กดูดดวงไฟสีเขียวนั้นพุ่งตรงเข้าไปยังที่ตั้งศพก่อนจะพุ่งเข้าไปในโลงศพไม้อย่างดีนั้นพลันเกิดแสงสว่างวาบออกมาแล้วโลงเขย่าไปมา ภายในห้องพิธีที่เต็มไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้นเสียใจต่างหยุดเงียบตกใจดวงตาเบิกโพลงกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้านั้น
"กะ....เกิดอะไรขึ้น อาเป่า เจ้าลองเข้าไปดูสิ"
ชายรูปร่างท้วมชี้มือไปที่โลงศพสั่งให้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันเข้าไปดู
"ทำไมข้าต้องเข้าไป พี่สิเข้าไป"
"ข้าเป็นพี่ของเจ้านะ ข้าเกิดก่อนเจ้าต้องฟังข้า ข่ะ เข้าไปดูเดี๋ยวนี้"
สองชายวัยกลางคนที่หนวดขาวแล้วทั้งคู่ต่างใช้ไหล่เบียดกันไปมาให้อีกคนเข้าไปดู ต่างไม่มีใครยอมขยับตัว
มีดวงตาคู่หนึ่งลืมขึ้นมองบรรยากาศที่มืดรอบ ๆ
"เข้าร่างใหม่แล้วใช่หรือไม่"
พุดพลางหยิกที่แขนตัวเองอย่างแรงคล้ายกำลังพิสูจน์ว่ามีกายเนื้อจริงหรือไม่
"โอ้ย!!"
"หึ๊ เสียงอะไร เมื่อครู่ท่านพี่ได้ยินหรือไม่ เสียงคนร้อง"
ต่างคนต่างมองหน้ากัน บ่าวไพร่ต่างนั่งเงียบกริบกลืนน้ำลายลงในคอ ใบหน้าเริ่มแสดงสีหน้าหวาดกลัว
ปัง!!! ฝาโลงไม้ลอยปลิวออกจากตัวโลงศพตกลงด้านข้าง คนในห้องต่างตาโตราวไข่ห่านกระโดดมากอดจับมือกันแน่น ก่อนที่ในโลงนั้นจะปรากฏมือของคนเคลื่อนไหวเกาะขอบโลงแล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง
ย๊าก!!! เสียงกรีดร้องตกใจของบ่าวไพร่วิ่งหนีกระเจิงออกจากห้องพิธีศพเมื่อพบว่าผู้ที่วายชนม์ไปแล้วลุกนั่งขึ้นมา ชายวัยกลางคนสองคนกุมมือกันแน่นหลับตาแน่นปี๋ไม่กล้าลืมตามอง จนมีมือมาแตะสะกิดที่ไหล่ของทั้งคู่พร้อมกัน ก่อนจะร้องเสียงหลงมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
"ท่านพ่อ ข้าฟื้นแล้ว"
เสียงคนที่เพิ่งกลับมามีชีวิตเรียกชายทั้งสองที่นั่งถูมือพลางหลับตาคำนับไปมาอยู่นั้น ทำให้ชายทั้งคู่หยุดนิ่งทันใดก่อนจะค่อย ๆ หรี่ตาข้างนึงมอง ก่อนจะประจันหน้ากับคนที่เพิ่งฟื้นที่นั่งลงจ้องหน้าอย่างใกล้ชิด ก่อนตกใจจนเสียหลักหงายหลัง
"ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว เงินที่ข้าแอบขโมยเอาไว้ไปให้เมียน้อยข้าจะเอามาคืนท่านแม่ทั้งหมดเลย"
ชายหนึ่งในสองคนพูดออกมาพลางถูมือทำท่าขอขมา คำนับนับครั้งไม่ถ้วน
"เดี๋ยวนะ ท่านแม่งั้นหรือ ข้าไม่ใช่ลูกสาวที่เพิ่งตายของบ้านนี้งั้นหรือ"
เสียงคิดในใจของผู้ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมากำลังสับสน สองมือค่อย ๆ ยกขึ้นมาดูเมื่อพบผิวที่แห้งเหี่ยวย่น ผิวตกกระหยาบกระด้าง ใจแทบจะหลุดวูบไปในทันที มือเหี่ยวแห้งนั้นค่อย ๆ ยกมาคลำใบหน้าของตนเองช้า ๆ ก่อนจะสัมผัสได้ใบหน้าที่ทั้งแห้งเหี่ยวและหย่อนคล้อย ก่อนจะยืนขึ้นเดินหากระจกไปทั่วห้องจนไปเจอกระจกบานนึงตั้งอยู่ทันทีที่ส่องเห็นใบหน้าตนเองที่ปรากฏบนกระจกใบนั้นหัวใจพลันกระตุกวูบอย่างแรงก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องออกมา
"อ๊าก..ก..ก...ก..ก"
ทุกคนต่างตกใจส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน ชายสองคนในห้องพิธีรีบวิ่งหนีออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างวิ่งหนีกันแตกตื่นเสียงดังระงมวุ่นวายไปกันหมด
ใบหน้าบนกระจกปรากฏริ้วรอยและกระเต็มใบหน้า ใบหน้าหญิงชราอายุอานามน่าจะราวแปดสิบปีได้ มือแห้งเหี่ยวนั้นลูบที่ใบหน้าตนเองอย่างช้า ๆ แววตาแดงก่ำยืนอ้าปากค้างตัวแข็งราวกับหุ่นไม้
ผู้คนในจวนสกุลเยี่ยทั้งนายทั้งบ่าวต่างพากันมายืนแอบอิงตามพุ่มไม้ต้นไม้เพื่อดูสถานการณ์ด้านในที่ยังมีเสียงกรีดร้องออกมาเป็นระยะของผู้ที่อยู่ด้านใน
"ทำไมกัน ทำไม สวรรค์ เหตุใดจึงเล่นตลกกับข้าเช่นนี้ ร่างแรกเกิบนเกาะอันไกลโพ้นที่มีแต่สตรีไม่รู้ประสาจนถูกฟ้าผ่าตายก่อนตามหาเจ้าบ้านั่น รอบที่สองให้ข้าอยู่ในร่างเงือกช่วงเกิดสึกสงครามของคาบสมุทรเงือกหนุ่มถูกเกณฑ์ไปออกรบหมด ข้าถึงขนาดว่ายข้ามเจ็ดคาบสมุทรกลับต้องมาตายเพราะถูกตากแห้งที่โขดหิน พอมาร่างที่สามของข้าดันเป็นยายแก่ที่แม้แต่เดินข้ายังเหนื่อยเลย สวรรค์เหตุใดจึงกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้ ฮือ ๆ ๆ "
น้ำเสียงตัดพ้อต่อว่าและดวงตาที่แดงก่ำพยายามจะร้องไห้แต่น้ำตาแม้สักหยดยังไม่มี
"ดูสิแห้งเหี่ยวจนแม้แต่น้ำในร่างกายยังไม่มีแม้แต่จะผลิตน้ำตา โธ่!! ชีวิตน้อย ๆ ของข้าเหตุใดจึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยนะ ข้าสาบานเลยต่อไปข้าจะไม่ไปสัญญาเรื่องความรักกับใครพร่ำเพรื่ออีกแล้ว"
ดวงตาที่เหม่อลอยน้ำเสียงหมดอาลัยนั่งทอดถอนใจอยู่ครู่นึง โกรก~~~!! เสียงท้องที่ดังบ่งบอกความหิวของร่างกาย
"เอาเถอะ ก่อนจะตายอีกครั้ง ข้าหาอะไรกินให้อิ่มท้องใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่า"
หลังจากคิดได้ดังนั้น ร่างหญิงชราก็ลุกขึ้น กร่อบ!!! เสียงกระดูกสันหลังดังลั่น อาการปวดเอวร้าวลงขาเข้ามาเยือนทันที
"โอ้ย !! หลังข้า"
ร่างหญิงชราหลังตั้งหลักได้ ก่อนจะค่อย ๆ รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ก่อนจะเดินชนประตูอย่างจังจนคนที่มองจากด้านนอกตกใจเมื่อหญิงชราล้มหงายหลังลงไป
"ห้ะ!! ท่านแม่ ท่านแม่!!"
ชายสองคนด้วยความรักต่อมารดาจึงขจัดความหวาดกลัววิ่งเข้าไปประคองหญิงชราที่ล้มหงานหลังตึงลง
"ท่านแม่ ท่านยังไม่ตายจริง ๆ ด้วย ปาฏิหารย์จริง ๆ ขอบคุณสวรรค์"
หญิงชราทำปากขมุบขมิบเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน
"ท่านแม่ ท่านพูดว่าอะไรงั้นหรือ ท่านพูดใหม่ทีสิ อาเป่าเจ้าเงี่ยหูฟังสิท่านแม่กำลังพูดอะไร"
ชายผู้เป็นน้องพยักหน้าก่อนค่อย ๆ เอียงหูไปมือหญิงชราคว้าหมับเข้าที่ปกคอเสื้อดึงเข้ามาใกล้ ๆ ปาก
"ข่ะ....ข้า...ข้า......หิ.......ว"
สิ้นประโยคหญิงชราก็หมดสติไปทันทีแต่ยังมีลมหายใจอยู่
"พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ไปตามหมอเร็ว อาเป่าเจ้าไปบอกพ่อครัวรีบทำอาหารให้ท่านแม่เร็ว ๆ เข้า ท่านแม่ของลูก ท่านอย่าเพิ่งตายอีกรอบนะ"
ร่างของหญิงชราถูกเขย่าไปมาอยู่อย่างนั้นก่อนจะมีบ่าวมาช่วยยกเข้าไปในห้อง
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 5
Comments