หลังจากจวนสกุลหลี่วุ่นวายกันมาจวบจนรุ่งเช้า โคมไฟที่ตกแต่งหน้าบ้านและริ้วธงผ้าขาวสำหรับตกแต่งงานศพถูกรื้อออกอย่างรวดเร็ว ท่านหมอที่ต้องถูกปลุกตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ฉายแสงเดินตามบ่าวในบ้านสกุลเยี่ยเข้าไปให้ห้องของเยี่ยฮูหยิน
ทันทีที่เห็นท่านหมอเดินเข้ามาเยี่ยเสี่ยวหยวนบุตรชายคนโตของเยี่ยฮูหยินที่เดินวนเวียนเฝ้ามารดาที่นอนสลบอยู่บนเตียงก็แสดงสีหน้าท่าทางดีใจออกมา รีบพุ่งเข้าหาท่านหมอเดินมาจับแขนให้เข้าไปตรวจร่างกายหญิงชราที่นอนอยู่บนเตียงนั้น
ร่างหญิงชราที่นอนนิ่งบนเตียงอยู่นั้นได้รับการตรวจจับชีพจรและตรวจร่างกายอย่างละเอียดพบว่าร่างกายแข็งแรงเลือดลมไหลเวียนดี
"เรียนท่านเยี่ย ข้าตรวจทุกอย่างของเยี่ยฮูหยินแล้วพบว่าท่านผู้เฒ่าร่างกายแข็งแรงดี หัวใจเต้นแรงและเร็วที่สลบไปตอนนี้ ดูเหมือนจะหลับจากอาการอ่อนเพลียจากขาดอาหารมากกว่า หากได้พักผ่อนเต็มที่ทานอาหารดี ๆ สักสองสามวันก็น่าจะหายสนิทแล้วล่ะ" ท่านหมอพูดอย่างชัดเจนชัดถ้อยชัดคำ
"ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่านหมอมาก ไม่รบกวนแล้วเชิญ"
เจ้าของเรือนยกมือคำนับพลางผายมือเชิญผู้มาเยือนกลับ
หญิงชราค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของเยี่ยฮูหยินตระกูลเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองหยางโจวพอเห็นมารดาลุกขึ้นมานั่งได้ก็รีบวิ่งมาคุกเข่าต่อหน้าทันที
"ท่านแม่ ตอนนี้ท่านรู้สึกเช่นใดบ้าง รู้หรือไม่...ว่า ท่านเพิ่งจะฟื้นจากความตายราวปาฏิหารย์"
เยี่ยเสี่ยวหย่วนบุตรชายคนโตรีบสอบถามอาการด้วยความเป็นห่วง เยี่ยเสี่ยวเป่าบุตรชายคนรองรีบพยักหน้าตามพี่ชาย สายตาสองคู่ต่างจ้องมองไปยังหญิงชราผู้เป็นมารดาที่นั่งก้มหน้ามือกอดอก แล้วขาสองข้างนั่งสั่นหงึก ๆ จนร่างสั่นสะเทือน ราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
"ทำเช่นไรดี ทำเช่นไรดี ถ้าเป็นเยี่ยงนี้แม้แต่จะหาบุรุษมาลองแต่งงานด้วยสักคนก็ยากขึ้นไปอีก ใครจะอยากมาแต่งกับหญิงแก่ชราอายุเกือบจะร้อยปีกัน ยกเว้นสมบัติจะเยอะแยะมากมายหวังสมบัติแบบนี้ก็ว่าไปอย่าง"
นอกจากนั่งเขย่าขาสองข้างแล้ว หญิงชรายกนิ้วมือขึ้นมานั่งแทะเล็บตนเองสีหน้าท่าทางครุ่นคิดหนักคิ้วขมวดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ายิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น บุตรชายสองคนเอียงหน้าตามมารดาไปมาที่กำลังครุ่นคิดหันหน้าไปซ้ายทีขวาที
"เฮ้ย!!!"
เยี่ยฮูหยินตะโกนออกมาสองตาเบิกกว้าง ลุกขึ้นยืนจนบุตรชายทั้งสองตกใจหงายหลังลงไปพร้อมกัน นางหันไปจ้องมองที่บุตรทั้งสองแล้วเดินไปคุกเข่าข้างนึงเบื้องหน้าสายตาจดจ้องอย่างคอยจับผิด มองสลับหน้าไปมาบุตรชายทั้งสองเบือนหน้าหลบสายตามารดาของตนเอง
"ข้าได้ยินว่าเจ้า!!! คนใดคนนึงยักยอกเงินของข้าไปใช่หรือไม่"
น้ำเสียงและแววตาราวกับกำลังโมโหที่บุตรอกตัญญู เยี่ยเสี่ยวเปา รีบคุกเข่าแล้วกราบคำนับมารดาสารภาพผิด
"ท่านแม่ข้าเอง ข้าผิดไปแล้ว ข้าเพียงแค่อยากร่ำรวยเท่าพี่ใหญ่บ้างเลยอยากได้เงินไปลงทุน ข้าเลยเอาเงินไปเข้าบ่อนแต่ก็เสียพนันจนหมดตัวแถมติดหนี้บ่อนอีก เจ้าหนี้ติดตามทวงขู่ข้าทุกวันข้าเลยขโมยเงินในคลังของท่านแม่นิดหน่อยเพื่อนำเอาไปใช้หนี้"
เยี่ยเสี่ยวเปาพูดด้วยน้ำเสียงกระมิดกระเมี้ยนยกนิ้วมือทำท่าขโมยเงินในคลังไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เยี่ยฮูหยินรีบหันหน้ามาทางบุตรชายคนรองอย่างรวดเร็ว
"นิดหน่อยของเจ้ามันเท่าไหร่กัน ห้าร้อยตำลึงหนึ่งพันตำลึง"
หญิงชราคาดคั้นจากบุตรชาย ที่กลัวมารดาจะลงโทษจนตัวสั่นจนผู้เป็นพี่สะกิดให้รีบสารภาพ
"เจ้าขโมยไปเท่าไหร่ก็บอกท่านแม่ไปซะที ใยชักช้าอืดอาดเช่นนั้น"
เยี่ยเสี่ยวหยวนตวาดผู้เป็นน้องชายจนสะดุ้งโหยง
"ก็ไม่มาก ก็แค่...แค่หนึ่ง...."
เขาพูดพลางยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วน้ำเสียงแสนเบาราวกับลมผ่านออกมาจากในลำคอ หญิงชราเงี่ยหูฟัง
"ห้ะ ว่าไงนะ หนึ่งพันตำลึงงั้นหรือ"
เยี่ยฮูหยินพูดเสียงดังออกมา เยี่ยเสี่ยวเปาส่ายหน้า
"หนึ่งหมื่นตำลึงทอง"
หญิงชราตาเบิกโพลง ตกใจกับจำนวนเงินจำนวนมากนั้นก่อนจะลงมือทุบตีเยี่ยเสี่ยวเปาอย่างหนักมือ
"ไอ้ลูกบ้า ลูกอกตัญญูเล็กน้อยที่ไหนของเจ้าเงินหนึ่งหมื่นตำลึงทองไม่ใช่หมดคลังแล้วหรือ"
เยี่ยฮูหยินไล่ตีจนหอบ นั่งพักบนเก้าอี้ เยี่ยเสี่ยวหยวนบุตรชายคนโตเข้ามานวดไหล่ให้ท่าทางออดอ้อนออเซาะ
"จะทำยังไงดี ตอนแรกข้ากะว่าจะใช้เงินจ้างหาบุรุษที่อายุ 20-25 ปีมาแต่งงานด้วยซะเลย ตาลุงนี่ดันใช้เงินของข้าจนหมด"
หญิงสาวในร่างเยี่ยฮูหยินนั่งหอบพลางคิดในใจถึงแผนในการติดตามหาชายที่ติดค้างคำสัญญาเมื่ออดีตชาติ
"ท่านแม่โปรดใจเย็น ๆ ก่อน เงินหนึ่งหมื่นตำลึงทองเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับทองคำมหาศาลและของล้ำค่าต่าง ๆ ในนั้น ท่านแม่ไม่ชอบสะสมเงินแต่ท่านแม่ชอบสะสมทองและของล้ำค่า น้องร้องหยิบยืมไปแค่หนึ่งหมื่นตำลึงทอง ข้าชดใช้คืนให้เขาก็ได้ แต่ท่านแม่เพิ่งจะฟื้นโปรดใจเย็นก่อนเดี๋ยวจะหัวใจวายไปอีก ครานี้เกรงว่ารอบนี้ท่านจะไม่ฟื้นแล้วนะ"
ทันทีที่ฟังเยี่ยเสี่ยวหยวนพูดจบ เยี่ยฮูหยินก็ตาเบิกโพลงออกมาอีกครั้งดวงตาเป็นประกายวิบวับพลางหัวเราะออกมาอย่างพออกพอใจ อารมณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ ลูกของข้าดีมาก ช่างดีจริง ๆ"
หญิงชราพูดพลางตบไหล่บุตรชายทั้งสองอย่างพึงพอใจ
หญิงชราก้มศีรษะลงพลางกระดิกมือเรียกบุตรชายทั้งสองคนขยับมาฟังใกล้ ๆ
"พวกเจ้าสองคน จะแสดงความกตัญญูกับแม่ผู้ให้กำเนิดเป็นอย่างสุดท้ายได้หรือไม่"
ฟังมารดาพร่ำพูดอะไรแสนแปลก สองพี่น้องต่างมองหน้ากันอย่างสงสัยในคำพูดของมารดา
"ท่านแม่ต้องการสิ่งใดหากพวกข้าทำได้ จะจัดหาให้ท่านทันที"
เยี่ยเสี่ยวหยวนบุตรชายคนโตพูดตกปากรับคำด้วยสีหน้าท่าทางมั่นใจและเต็มใจทำโดยมีเยี่ยเสี่ยวเปาผู้น้องพยักหน้าทำตาม
"คือว่าที่แม่ฟื้นมาคราวนี้เพราะมีเรื่องที่ค้างคาภายในใจแม่มาตลอดที่อยากจะทำแต่ทำไม่ได้ พวกเจ้าทั้งสองเป็นลูกรักของแม่ แม่จึงอยากให้พวกเจ้าสองคนช่วยอะไรแม่จะได้หรือไม่"
ชายวัยกลางคนสองคนต่างจ้องมองหน้ากัน ยกมือขึ้นมาจับประสานกันแล้วพยักหน้าตอบตกลงพร้อมๆ กัน
"เพื่อท่านแม่ของข้า เราสองคนยินดีทำตามความปรารถนาของท่าน ได้โปรดบอกพวกเรามาเถิด"
หญิงสาวในร่างหญิงชรายิ้มออกมาอย่างพอใจแววตาเป็นประกายแล้วตัดสินใจพูดแผนที่อยู่ในใจออกมา
"แม่อยากแต่งงานกับบุรุษที่มีไฝตรงหน้าอกซ้ายอายุ อยู่ในช่วง 20-25 ปีเพื่อแก้เคล็ดที่ฟื้นจากความตาย!!!"
หญิงชราตะโกนออกมาสุดเสียงยืนขึ้นยาสองข้างยืนแยกจากกันมือสองข้างกางออกเงยหน้าขึ้นบนฟ้าแสดงถึงความต้องการอย่างเต็มเปี่ยม
"หา!!! ว่าเช่นใดนะท่านแม่ของลูก"
ชายสองคนพูดออกมาพร้อมกันแววตาฉายแววตกใจระคนปนสงสัย หญิงชราที่กำลังอ้าปากกางมือแหงนมองเพดานอยู่นั้น หุบปากลงในทันใดแล้วแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาทันทีแล้วมองจ้องที่บุตรชายทั้งสอง
"ทำไม...เรื่องแค่นี้พวกเจ้าทำให้ข้าผู้เป็นแม่ที่ให้กำเนิดพวกเจ้ามาไม่ได้หรืออย่างไรกัน ฮือ ๆ ๆ ๆ สวรรค์เหตุใดจึงใจร้ายกับข้าเช่นนี้ ข้าดูแลเลี้ยงดูมาบุตรมาอย่างยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็นแต่บุตรอกตัญญูของข้าแม้แต่คำขอก่อนตายของข้าก็ยังปฏิเสธ ฮือ ๆ ๆ ๆ"
เยี่ยฮูหยินแกล้งร้องไห้ฟูมฟายออกมายกชายแขนเสื้อทำเป็นซับน้ำตาพลางเอามือจุ่มชาในถ้วยแตะ ๆ ที่ตาอย่างเจ้าเล่ห์ จนบุตรทั้งสองคนร้อนรนทนไม่ได้รีบคลานเข่าเข้ามากอดแข้งกอดขาอย่างรวดเร็ว
"เข้าใจแล้ว ๆ ท่านแม่ แค่แต่งแก้เคล็ดใช่หรือไม่ พวกเราแค่ตามหาคนมีไฝที่หน้าอกซ้ายอายุอยู่ในช่วงยี่สิบถึงยี่สิบห้าพอเข้าพิธีแต่งงานเสร็จก็ให้เงินค่าจ้างไปเช่นนี้ใช่หรือไม่ท่านแม่"
เยี่ยเสี่ยวหยวนบุตรชายคนโตที่ค่อนข้างฉลาดเฉลียวเข้าใจได้โดยไว หญิงสาวในร่างหญิงชรารีบพยักหน้าอย่างรวดเร็วดวงตาเป็นประกาย
เช้าวันต่อมาก็มีข่าวใหญ่ติดป้ายประกาศไปทั่วเมืองหยางโจว ผู้คนผ่านไปมาในตลาดต่างพากันโจษจันเรื่องข่าวการตายแล้วฟื้นของเยี่ยฮูหยินแล้วหาชายหนุ่มเพื่อแต่งงานแก้เคล็ดหลังจากฟื้นแล้วจะมีเงินค่าจ้างหนึ่งพันตำลึงหลังเข้าพิธีแต่งงานกันแล้ว
ข่าวแพร่ไปอย่างรวดเร็วชายหนุ่มมากหน้าหลายตาต่างพากันมาออกันที่หน้าจวนสกุลเยี่ยเพื่อรับการตรวจสอบร่างกายก่อนจะผ่านด่านเข้าพิธี แถวที่เหล่าบุรุษที่ต้องการเงินทองมายืนรอต่อแถวยาวเลื้อยราวกับงูจนกีดขวางทางคนเดินเท้าไปมา จนมีคนไปฟ้องนายอำเภอจึงได้ส่งมือปราบมาตรวจสอบความเรียบร้อยและสืบข่าว
"เยี่ยฮูหยินตายแล้วฟื้น เลยต้องการแต่งงานกับบุรุษหนุ่มเพื่อแก้เคล็ดเช่นนั้นหรือ"
นายอำเภอหยางโจวยืนฟังรายงานจากกุนซือประจำตัวก่อนจะพยักหน้าเข้าใจอย่างง่ายดาย
"ถ้าเช่นนั้นก็ส่งมือปราบไปช่วยดูแลความเรียบร้อยจัดระเบียบผู้คนอย่าให้กีดขวางถนนหนทางก็แล้วกัน"
เจ๋อจางหมิ่นนายอำเภอเมืองหยางโจวสั่งงานด้วยน้ำเสียงสุขุมใจเย็นน้ำเสียงเนิบนาบจนผู้ฟังแทบจะหลับ เขาหันไปมองกงซุนที่ยืนฟังคำสั่งด้วยอาการสัปหงกจึงค่อย ๆ หยิบไม้เคาะที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาตีบนโต๊ะ เสียงดังจนกงซุนเฮ่อสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา
"ขอรับท่านนายอำเภอข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"
กงซุนเฮ่อคำนับรับคำสั่งกำลังจะก้าวเท้าออกไป นายอำเภอก็เรียกเอาไว้
"เดี๋ยวก่อน จุยมิ่งอยู่ที่ใดเหตุใดข้าไม่เห็นเจ้าลูกไม่เอาไหนนี่อีกแล้ว"
นายอำเภอฉุกคิดมาได้ว่าบุตรชายที่สุดแสนจะเจ้าชู้เสเพล ไม่มาท่องตำราให้ฟังเพราะถูกลงโทษจากการก่อเรื่องวุ่นวาย เจ๋อจางหมิ่นนายอำเภอที่ย้ายมาประจำการเมื่อสิบปีที่แล้วหลังภรรยาเสียชีวิต จึงพาบุตรชายวัยสิบขวบทำเรื่องย้ายมาอยู่หยางโจวบ้านเกิดของตนเอง แต่บุตรชายคนเดียวกลับเป็นหนุ่มสำอางเจ้าสำราญ เจ้าชู้เสเพลไปวัน ๆ ไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
"คุณชายน้อย แอบหนีออกไปกับเวยหลงตั้งแต่ช่วงสาย ๆ แล้วขอรับท่านนายอำเภอ"
กงซุนเอ่ยรายงานด้วยน้ำเสียงเรียบเแยเช่นกันเพราะนิสัยเอาแต่ใจไม่โตเป็นผู้ใหญ่ของจุยมิ่งหาใช่ครั้งแรกที่เป็นนี้ไม่
"อะไรนะ หนีออกไปอีกแล้วงั้นหรือ เจ้ารีบเลยส่งมือปราบไม่สิ ไม่ได้ ๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าข้าใช้อำนาจโดยมิชอบอีก ให้บ่าวในจวนไปตามตัวมาเดี๋ยวนี้"
นายอำเภอเจ๋อออกคำสั่งให้กงซุนไปตามบ่าวไพร่ออกไปตามหาจุยมิ่งเพราะกลัวจะไปก่อเรื่องซ้ำอีก
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 4
Comments