ฉันหย่อนก้นลงโซฟาสีดำ ตรงนี้มุมดีแฮะ เห็นพี่มานัทชัดแจ๋ว ว่าแล้วฉันก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมไว้
ฉันว่าต้องมีบ้างแหละที่พี่เขาจะแสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกมาบ้าง ในนี้ดาราขาว ๆ เพียบ ฉันมองเองยังน้ำลายไหล
และฉันก็นั่งมองพี่มานัทหันไปคุยกับคนนั้นที เดินไปคุยกับคนโน้นที ดูเฟรนด์ลี่สุด ๆ จนกระทั่งไปหยุดคุยกับดาราผู้หญิงคนหนึ่ง จากนั้นมือที่เคยอยู่เฉย ๆ ก็หนุบหนับเป็นหนวดปลาหมึกทันที
ถึงเธอจะหันข้าง ฉันก็เห็นสีหน้าของดาราสาวคนนั้นว่าไม่โอเค แต่ก็ไม่รู้จะต้องทำอย่างไรให้หลุดไปจากที่ตรงนั้นได้
ฉันนั่งดูสักพักก็เริ่มทนไม่ไหว จึงลุกขึ้นและตรงไปหาทันที
ปกติฉันก็ไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้านถึงขนาดนี้นะ แต่ครั้งนี้ไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ ว่าทำไมถึงคิดที่จะเข้าไปช่วย
พอเอาเข้าจริง ๆ ฉันกลับไม่ต้องทำอะไรเพื่อช่วยเธอเลย เพราะเธอเห็นหน้าฉันก็คุ้นหน้าขึ้นมาทันที
“นี่เธอ! แก๊งตกทองหนิ ทำไมถึงมาอยู่ในนี้ได้ อ่อเดี๋ยวนี้กล้ามาหลอกคนถึงในงานใหญ่แบบนี้เลยเหรอ” เธอชี้หน้าฉันก่อนขยับตัวเข้ามาใกล้
ฉันเดาว่าเธอก็น่าจะหาจังหวะเอาตัวหลีกหนีเหมือนกัน โดยการด่าฉันเพื่อป้องกันตัวเอง
ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้วรึไง!
“ก็บอกแล้วไงคะว่าฉันไม่ใช่”
“โรคจิต โรคจิตใช่ไหม แอบตามฉันมาถึงที่นี่เลย”
“ไปกันใหญ่แล้ว ฉันไม่ใช่ทั้งโจรและโรคจิต”
ไปกันใหญ่แล้วผู้หญิงคนนี้
“ผมช่วยครับน้องตา” พี่มานัทจะเดินเข้ามาขวางหน้ากันตาแต่ถูกเธอขัดไว้ก่อน
“ไม่ต้องค่ะพี่นัท คนนี้ตาจัดการเอง” เธอรีบขยับตัวถอยห่างจากมานัทโดยอัตโนมัติ
“ตา เธอลดเสียงลงหน่อย ฉันรำคาญ” ยิหวาที่นั่งอยู่เอี่ยวตัวมาบอก
“ทำไมทุกคนนิ่งเฉยแบบนี้ล่ะคะ ปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามาได้ยังไงกัน!” เธอหันมากระแทกเสียงใส่ฉันพร้อมจ้องจนตาเขียวปั๊ด
“เธอจำไม่ได้จริง ๆ เหรอ” ยิหวาพูดพลางทำหน้าหน่าย
“จำอะไร… พี่อ้อมใจคะมาช่วยตาที” เมื่อไม่มีใครใส่ใจ เธอจึงร้องหาผู้จัดการส่วนตัวแทน
นั่นสิจำอะไรไม่ได้ ก่อนหน้านี้คุณยิหวาเรียกยัยนี่ว่า ‘ตา’ และเธอเองก็แทนตัวเองว่า ‘ตา’ เหมือนกัน ฉันเริ่มตงิดใจจึงพินิจพิจารณาใบหน้าของคนที่ยืนโวยวาย ก็พลันนึกออกทันที
ฉันเคยเจอเธอเมื่อสามเดือนก่อน (ในเรื่องคุณดาราที่รัก) ตอนนั้นเธอและยิหวาไปถ่ายรายการอยู่ที่หมู่บ้านของฉัน
ฉันจำเธอได้แล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าโลกจะกลมขนาดนี้
“คุณนั่นเอง ฉันจำคุณได้แล้ว อื้ม…ใช่คุณคนที่เคยเห็นภาพหลอนของผีกระสือจนหัวยุ่งกระเซอะกระเซิง” ฉันเอานิ้วแตะคางแกล้งนึก “จำได้ว่าตอนนั้นไม่เหลือความเป็นดาราแสนสวยเลย”
กันตาได้ยินดังนั้นก็ถลึงตาใส่ “เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง! ทำไมฉันนึกหน้าเธอไม่ออกสักทีนะ”
“พี่นึกออกแล้วค่ะ น้องใช่คนที่ถีบน้องตาวันนั้นใช่ไหมคะ” เมื่ออ้อมใจพูดคำว่า ‘ถีบ’ เธอก็ลดเสียงลง หากคนอื่นมาได้ยินเข้าคงไม่ดี
“แฮะค่ะ..แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจนะคะ”
“อ่ออออเธอนี่เอง ฉันจำได้แม่นเลยล่ะ นึกแล้วยังเจ็บใจไม่หาย มาให้จัดการถึงที่ก็ดี!”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ วันนั้นแค่ตกใจเฉย ๆ คุณอย่าอาฆาตกันเลย”
“เธอ…..” ในขณะที่กันตากำลังจะปรี๊ดแตกใส่ฉันก็ถึงเวลาที่เธอต้องออกไปร่วมงานพอดิบพอดี
“น้องตาคะ ถึงเวลาแล้วค่ะ รีบปรับอารมณ์ก่อน” อ้อมใจก้มดูนาฬิกา เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้วจึงรีบบอก
“ครั้งนี้ถือว่าเธอโชคดีนะ” กันตามองหน้าฉันก่อนจะหลับตาลงสักพักและเมื่อเปิดตาขึ้นมาแววตาที่เคยหงุดหงิดก็คลายลงมุมเริ่มยกยิ้มทำสีหน้าสดใส เหมือนก่อนหน้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โลกมายาจริง ๆ ฉันอยากจะปรบมือให้ตอนนี้ตรงนี้เลย
จากนั้นไม่นานฉันจึงเดินตามเธอออกไปเพราะทุกคนเริ่มทยอยออกไปหน้างานรวมถึงพี่มานัทด้วย
ทันใดนั้นแสงไฟจากหน้าเวทีก็สว่างขึ้นสีน้ำเงิน เหลือง เขียว สาดส่องมายังบนตัวนักแสดงที่กำลังทำการเปิดโชว์พิเศษ
ฉันจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอัดคลิปและกดถ่ายภาพเป็นช่วง ๆ
หลังการแสดงจบพิธีกรก็เอ่ยชงโปรโมทสินค้าในงานและมีการพูดคุยจิปาถะนิดหน่อยกับดาราที่เชิญมา
ดาราสาวกันตาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน จากนั้นเธอจึงหยิบป้ายสื่อที่ฉันห้อยอยู่ขึ้นมาดูพลางเบะปากใส่เล็กน้อย
“เธอเป็นนักข่าวจริง ๆ เหรอเนี่ย”
เธอตั้งใจมาหาเรื่องฉันต่อหลังจากทำงานเสร็จ เป็นคนมีความมุ่งมั่นสูงจริงผู้หญิงคนนี้
“คุณก็อ่านไปเมื่อกี้แล้วจะมาถามฉันซ้ำทำไม”
“ก็แค่สงสัย ทำไมไม่เห็นมีกล้องสักตัวเดียว” เธอมองไปรอบตัวฉัน
ถึงฉันพยายามทำตัวกลมกลืนมันก็ยังไม่กลมกลืนมากเท่าไหร่ เนื่องด้วยฉันดันไม่ได้หยิบกล้องใหญ่มาด้วย ดันฝากไว้ที่พี่อีกคนที่เข้างานไปก่อนหน้านั้น
“นี่ไงคะกล้อง” ฉันชูโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมา
“บ้านฉันไม่เรียกว่ากล้องหรอกนะ”
“ว่าแต่ขาคุณหายเจ็บแล้วเหรอคะ” ฉันถามอาการของเธอด้วยความสงสัย เมื่อวานเธอเพิ่งล้มคะมำ เดินขากะเผลกอยู่เลย แล้วทำไมวันนี้ถึงใส่ส้นสูงเดินไปทั่วงานแบบนี้ได้
กันตาชะงักไปนิดหนึ่ง พลางมองลงไปที่เท้า ความจริงแล้วเมื่อวานเธอไม่ได้เป็นอะไรมากนัก แค่เคล็ดนิดหน่อยเท่านั้น
“ดีขึ้นมากแล้ว”
“จริงเหรอคะ ทำไมเร็วจัง” ฉันยืนนึกภาพท่าทางการเดินของเธอ ไม่น่าจะหายเร็วถึงขนาดนี้
“นี่แช่งฉันเหรอ!”
“เปล่าคะเปล่า สงสัยไม่ได้เหรอ”
“คุยกับเธอแล้วเสียเวลาอันมีค่าของฉันจริง พี่อ้อมใจคะเสร็จงานแล้วเรากลับกันเถอะค่ะ”
“เดี๋ยวตา ฉันกลับด้วยนะวันนี้” ยิหวาพูดขึ้นเมื่อเธอเดินผ่านและได้ยินเข้า
“จริงเหรอ เธอกลับกันฉัน” กันตายิ้มกว้าง แววตาสีหน้าบ่งบอกเลยว่าดีใจมาก
“ดีใจเว่อร์ไป ฉันกลับด้วยแค่วันนี้เท่านั่นแหละ พอดีพี่นัตตี้ติดธุระอะไรก็ไม่รู้ โอ๊ยโมโห!” พูดจบยิหวาเดินไปแล้วก็หยุดชะงักสักแป๊บ หันหลังกลับมาบอกลาฉัน
“ฉันกลับก่อนนะ”
“ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ”
ฉันยิ้มให้ทั้งยิหวาและกันตา แต่ทว่ากันตาหน้าบูดตอบกลับ
ฉันไม่ได้ใส่ใจกับสีหน้าเมื่อครู่มากนัก ฉันมองไปรอบ ๆ งานเพื่อหาพี่มานัท
“คนเยอะขนาดนี้คงจะไม่มีอะไรให้แอบถ่าย”
ว่าแล้วฉันเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรูปที่ฉันกดถ่ายไป ก็ต้องแปลกใจที่ฉันถ่ายแต่รูปเธอคนนั้นที่ทำหน้าบูดใส่ฉัน
ฉันนึกด้วยอาการงุนงงและกดเข้าไปดูตัวคลิป
ให้ตายสิ ขนาดในคลิปฉันยังโฟกัสแต่เธอ ตลอดทั้งโชว์ด้วย
ฉันยกมือขึ้นเกาหัวก่อนหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋า วันนี้คงไม่ได้จับผิดพี่มานัทแล้ว กลับไปทำงานหลักของตัวเองที่ทิ้งมาดีกว่า
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 29
Comments