นักฆ่ายุคออนไลน์
ประเทศไทย เมืองหลวง กรุงเทพมหานคร
วันที่ 5 มกราคม พุทธศักราช 2565
ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มคล้อยลงทางทิศตะวันตก เมฆดำเริ่มปกคลุม เนื่องจากอยู่ในช่วงปลายฤดูหนาวจึงทำให้บรรยากาศนั้นเย็นลงอย่างรวดเร็วแม้จะเป็นเวลาเพียงสิบแปดนาฬิกาเศษๆ
แต่ถึงเช่นนั้นรถรามากมายก็ยังคงวิ่งสวนทางกันไปมาบนท้องถนน โดยมีเสียงนกหวีดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรคอยอำนวยความสะดวกแก่เส้นทางหลายๆสาย
ลึกเข้าไปในตรอกซอยเล็กใต้สะพานลอย เป็นหมู่บ้านเช่าเล็กๆเรียงรายกันอย่างเป็นระบบระเบียบ มีไฟสีเหลืองส่องประกายตามริมถนน
ตัวบ้านเป็นปูนสองชั้น ประตูบานเลื่อนกระจก ทางเข้านั้นเป็นลานหญ้าเล็กๆ โดยมีสวนหย่อมที่รกหูรกตาราวกับไม่เคยทำความสะอาดหรือให้ความสนใจมาก่อนอยู่ด้านหน้า
โอ้ยยยยยย!!!!!!!!!! ในขณะที่กำลังจะกล่าวถึงเจ้าของบ้าน กลับมีเสียงตะโกนแหกปากอย่างเดือดดาลจากหญิงสาวคนนึง ดังกระฉ่อนจนเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงต้องหันควับตามต้นตอเสียง
"พี่จะเอาแต่นอนแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ห๊ะ?! เดี๋ยวก็แห้งตายเป็นผีเฝ้าบ้านหรอก"
"หนูคนเดียวที่หาเงินเรียนไปด้วย แล้วต้องมาจ่ายค่าบ้านค่ารถ ไม่มีเงินเหลือพอจะมาเลี้ยงพี่ด้วยหรอกนะ!"
"พึ่งจะออกมาจากห้องขังก็ทำตัวให้มันดีๆหน่อยสิ!"
สาวน้อยผมสีม่วงอมชมพูกล่าวพร้อมกับยกไม้กวาดดอกหญ้าชี้หน้าผู้เป็นพี่ชาย ที่นอนไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์
"ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรนี่..พึ่งออกมาจากห้องขังไม่มีบริษัทไหนรับทำงานหรอก"
"งั้นก็ไม่ต้องกินข้าวสิ?! ไม่ละอายใจบ้างเหรอที่ให้น้องสาววัยมัธยมหาเงินเลี้ยงไปวันๆน่ะ!"
ชายหนุ่มตอบกลับด้วยแววตาเรียบนิ่ง แต่ผู้เป็นต้องสาวกลับเดือดดาลจนน้ำตาลซึมคลอเบ้า ก่อนจะวางทิ้งไม้กวาดลงสุดแรงแล้วกล่าวด้วยความเจ็บปวดใจ
"เพราะแบบนี้ไงแม่ถึงตายน่ะ..."
อึก...น้องสาวสะบัดหน้าวิ่งขึ้นบันไดชั้นสอง ปิดประตูห้องดังสนั่นราวกับฟ้าลั่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มผู้นอนอยู่หน้าโทรทัศน์รู้ร้อนรู้หนาวเลยแม้แต่น้อย
"เรื่องแบบนั้นรู้อยู่แล้ว...แต่มันทำอะไรได้สะที่ไหน"
'ถ้าหากฉันออกไปข้างนอกตอนนี้ มีหวังโดนล่าทั้งครอบครัวแน่'
ตัวเขาในอดีตเคยทำงานรับจ้างให้พวกนายใหญ่นายโต เพราะเรียนไม่จบและเกเรสมัยเด็ก จึงใช้ลู่ทางผิดๆแบบนั้นเพราะเห็นว่าทำเงินได้เยอะ
แต่สุดท้ายความเลวซ้ำหลายต่อหลายครั้งก็แสดงผล แม่เขาล้มป่วยอย่างหนักและไม่ได้รับการรักษา เขาที่คอยหลบหนีไปเรื่อยไม่รับรู้ว่าแม่ป่วย จนทำให้เธอที่อยู่บ้านคนเดียวถึงแก่ชีวิต
น้องสาวที่ปกติเรียนอยู่ต่างจังหวัดเองก็รีบมาดูอาการ แต่มันสายเกินไป แม่ของเขาช็อคโคม่าด้วยโรคร้ายบางอย่างที่ดูเหมือนทางโรงพยาบาลเองก็ปิดปากเงียบสนิท
เรื่องราวในคราวนั้นทำให้เขาต้องตัดสินใจเข้ามอบตัวต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาถูกตัดสินประหารชีวิตแต่ด้วยการยอมรับคำสารภาพที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ จึงถูกตัดสินให้ลดลงเหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิต
แน่นอนว่าเขาได้สิ้นประกายแสงแห่งความหวังไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากออกมาใช้ชีวิตข้างนอกเพราะยังมีน้องสาวอยู่ เขาได้ทำทุกวิถีทางเพื่อลดหย่อนโทษจนในที่สุดก็เหลือเพียงไม่กี่ปี และวันนี้ก็เป็นวันที่ 5 แล้วตั้งแต่เขาออกจากกรงขังแคบๆแบบนั้น
'เห้อ\~ถ้าย้อนเวลากลับไปได้'
'ก็ไม่ได้อยากจะทำเรื่องแบบนี้สักหน่อย..'
ชายหนุ่มฉายแววตาเศร้าโศก พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนลุกขึ้นจากโซฟา เผยให้เห็นมัดกล้ามและรอยสักเต็มแผ่นหลังอย่างน่าเกรงขาม
ประจวบกับสีผมดำทมิฬและดวงตาอันมืดสนิทเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ทำให้เขาดูลึกลับและสุขุมเป็นอย่างมาก
ร่างกายสูงราว 185 เซนติเมตร น้ำหนักโดยประมาณก็ 60-70 กิโลกรัม ใบหน้าคมกริบแต่เย็นชาเกินไป แถมยังแผ่รังสีอำมหิตออกมาตลอดเวลาโดยที่เขาไม่รู้ตัวอีกต่างหาก
เขาเดินออกจากโซฟาไปคว้าเสื้อแขนยาวสีกลมตัวนึง ดึงเอาหมวกติดตัวเสื้อคลุมศีรษะ จากนั้นก็เดินก้มหน้าออกไปที่หน้าบ้าน
"ไม่รู้ด้วยสิว่าต้องสมัครทำงานยังไง...เดินถามไปเรื่อยๆก็แล้วกัน"
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินล้วงกระเป๋าก้มหน้าไปตามริมถนน จนมาถึงร้านก๊วยเตี๋ยวใต้สะพานลอยซึ่งอยู่หน้าปากซอยบ้านเช่าของเขา
"อะไรน่ะ? ผู้ชายคนนั้น ดูน่ากลัวจัง"
ผู้หญิงนักเรียนสองคนที่กำลังซดน้ำบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย เงยหน้าขึ้นมองในขณะที่ปากยังเคี้ยวลูกชิ้นปลา ก่อนอีกคนที่นั่งตรงข้ามจะหันตามไปมองด้วยความสงสัย
"เออ ฉันก็ว่างั้น..ทำไมดูน่ากลัวขนาดนั้น"
"รีบๆกินดีกว่า แถวนี้อันตรายด้วยสิ เห็นแค่ก่อนมีข่าวยิงกันบ่อยๆด้วย"
"ใช่ๆ เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน ฉันก็ได้ยินว่ามีคนถูกแทงตายแถวนี้แหละ พอนึกแล้วก็ขนลุกชะมัด"
นักเรียนสาวสองคนพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาเลยแม้แต่น้อย ทำให้ชายหนุ่มเลือกเบี่ยงตัวแล้วเดินไปอีกฟากทางทันที
บรรยากาศเริ่มเย็นจัด บวกกับกระแสลมเวลากลางคืนยิ่งทำให้มันหนาวเหน็บเกินทน แต่ชายหนุ่มผู้ที่ไร้ซึ่งความหวังก็ยังคงเดินไปเรื่อยๆ จนพบกับร้านทองริมถนน ที่มีลูกค้าพูดคุยกันอยู่ในนั้นขณะซื้อทอง
ชายหนุ่มตัดสินใจเดินปรี่เข้าไปด้วยความมีมารยาท ตัวเขาไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการสมัครงานมาก่อน จึงเลือกถามออกไปแบบโต้งๆ แต่ก้มหัวเล็กน้อยเพื่อความเป็นมารยาท
"ที่นี่รับสมัครพนักงานรึเปล่าครับ?"
ทันทีที่เสียงเขาดังออกไป ทั้งลูกค้าและเจ้าของร้านทองต่างหันมองเขาตั้งแต่ศีรษะยันปลายเท้า
"นี่? จะมาสมัครเป็นพนักงานหรือจะมาปล้นกันแน่!"
"จะไปไหนก็ไปๆ ที่นี่ไม่มีข้าวฟรีให้กินหรอกนะ คนจะทำมาหากิน อย่ามาวุ่นวายได้รึเปล่า?"
ชายหนุ่มที่ได้ยินก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งอย่างมีมารยาท
"คือว่าผมอยากจะมาสมัครงานจริง.."
"ออกไป! รึจะให้ฉันเรียกตำรวจ? เข้าใจว่าไม่มีที่ทำงาน แต่ฉันไม่รับพวกทรงโจรแบบนายหรอกนะ แถมสภาพก็เหมือนกับพึ่งออกจากคุกมาหมาดๆ"
"จะไปไหนก็ไป ก่อนฉันจะเรียกตำรวจ"
ชายหนุ่มถึงกับสะอึกพูดไม่ออก แต่แน่นอนว่าคำพูดเสียๆหายๆแบบนั้นมันทำให้เขาต้องก้มหน้าเดินออกจากร้านนั้นด้วยความไม่ยินดี
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 60
Comments