เควินเอ่ยถามขึ้น “ในประวัติบอกว่าเขาเคยพยายามฆ่าตัวตายเมื่อสามปีก่อนแต่ไม่สำเร็จ ครั้งนี้เป็นไปได้ไหมครับที่เขาจะคิดฆ่าตัวตายอีก”
เซียวฌอนส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่หรอกเพราะถ้าเขาอยากจะฆ่าตัวตายจริงคงไม่รอให้ผ่านมาสามปีก่อนแล้วค่อยฆ่าอีกรอบ”
“แต่มันก็มีโอกาสเป็นไปได้ถูกไหมครับ” ไมค์กี้เอ่ยขึ้น
“อืม” เซียวฌอนตอบกลับ แต่สำหรับเซียวฌอน เขาคิดว่าโอกาสนั้นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ลิษาเอ่ยผลการตรวจสอบ “ลิษตรวจดูอะไหล่และตัวเครื่องแล้ว เครื่องบินลำนี้ใช้อะไหล่เก่าถึง 20% อะไหล่เหล่านั้นถูกขัดเกือบทั้งหมด มีความเป็นไปได้ว่าที่เครื่องตกเกิดจากเครื่องไม่ได้คุณภาพ”
“เป็นเพราะแบบนี้รึเปล่าเจ้าของสายการบินถึงได้ขโมยกล่องดำ” โคลินเอ่ยขึ้นเมื่อเขานึกถึงรูปภาพที่ถูกเซียวฌอนถ่ายได้เมื่อวานก่อน หนึ่งในนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนอีกหนึ่งก็เป็นเจ้าหน้าที่ของสายการบินที่กำลังขนกล่องดำขึ้นรถ
“กล่องดำทำหน้าที่บันทึกข้อมูลต่าง ๆ ของเครื่องบิน ไม่แปลกที่ทางเจ้าของสายการบินจะรู้ว่าเครื่องบินของตัวเองไม่ได้คุณภาพแล้วต้องการปิดปังมันเอาไว้” เซียวฌอนกล่าวไปตามความจริงที่เขาได้สัมผัสอยู่บ่อยครั้งจากสถานที่ทำงานเก่า
สถานประกอบการมักจะทำการปกปิดข้อมูลจากเครื่องมืออุปกรณ์อยู่บ่อยครั้งเพียงเพราะจะได้ไม่ต้องจ่ายค่ารักษาเวลาที่เหล่าลูกน้องเกิดอุบัติเหตุขณะปฏิบัติงานเนื่องจากความเสียหายของอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้
ลิษา “ส่วนรอยทะลุที่เราคาดว่าว่าเกิดจากถูกยิงของนักบินผลออกมาแล้วนะคะว่าไม่ใช่”
หวังบรูคลิน “เกิดจากอะไร”
ลิษา “ตัวน็อตที่ยึดด้านหลังของนักบินหลุดออกและแรงหลุดออกที่มากพอนั้นทำให้มันเลยการเป็นกระสุนไปในทันที จากนั้นก็ปัง! โดนนักบิน จากนั้นนักบินก็ตาย ตรวจสอบกับบาดแผลแล้วพบว่าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากันค่ะ”
“ไม่มีมือปืนบนเครื่อง...ข้อมูลจากกล่องดำล่ะ” หวังบรูคลินถามขึ้น
“นี่ครับพี่ครับ” ระหว่างที่รอให้บิลลี่เปิดสไลด์ข้อมูลของตัวเองไมค์กี้ก็ได้เอ่ยถามคำถามโง่ ๆ ขึ้น “ชื่อกล่องดำแต่กล่องจริง ๆ เป็นสีส้ม ตรรกะของคนตั้งชื่อคืออะไรวะ”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” โคลินยักไหล่เชิงไม่รู้ มันก็เหมือนกับมะม่วงที่ไม่ใช่สีม่วง แก้วมังกรที่ไม่ใช่แก้วนั่นแหละ
เมื่อเปิดสไลด์เนื้อหาของตนเจอบิลลี่ก็เอ่ยรายงานทันที “กล่องอันนี้ชื่อว่า Cockpit Voice Recorder เรียกสั้นว่า CVR จะบันทึกเสียงพูดของนักบิน รวมทั้งเสียงอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในห้องนักบิน โดยรับเสียงจากไมโครโฟนของนักบิน และไมโครโฟนที่ติดตั้งไว้ในแผงอุปกรณ์ด้านบนระหว่างนักบินก่อนเครื่องตกสามสิบนาที ส่วนกล่องอีกอันชื่อว่า Flight Data Recorder เรียกสั้น ๆ ว่า FDR จะทำการบันทึกเวลา ระยะความสูง ความเร็ว ทิศทาง และท่าทางของเครื่องบิน”
เมื่อรายงานว่ากล่องไหนทำหน้าที่อะไรบ้างบิลลี่ก็หยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบทันที ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นคำถามส่งให้จางอี้ชิงว่าเธอควรเปิดไฟล์ข้อมูลเลยไหม
“เปิดเลยบิล” จางอี้ตอบกลับ
บิลลี่ “รับทราบครับผม” พูดจบบิลลี่ก็กดเล่นไฟล์เสียงทันที
เล่นไฟล์เสียงไปได้สักพักก็มีเรื่องให้หนุ่มสาวเกิดข้อถกเถียงกันเกิดขึ้นเมื่อได้
'เมื่อคืนไม่ไหวเลยโดนเมียบ่นตั้งชั่วโมง'
'ไปทำอะไรมาล่ะ'
'ค่ารองเท้า'
'555 มึงนี่นะ'
“รองเท้ากับผู้ชายเนี่ยนะ” นิโคลินเอ่ยขึ้น
“ก็เหมือนผู้หญิงกับกระเป๋านั่นแหละ” เควินสวนกลับทันควัน
“หึ” นิโคลินส่งเสียงในลำคอ เธออยากจะเถียงกลับอีกฝ่ายมากแค่ไหนแต่ก็ต้องเก็บเอาไว้เพราะตอนนี้ทุกคนกำลังตั้งใจฟังบทสนทนาภายในเครื่องอยู่
ติ๊ด ๆ ๆ ๆ ...เสียงอะไรวะ เกิดอะไรขึ้น...มีไฟขึ้น...กรี๊ดดดดด...ไฟทั้งลำเลยไหม...ไม่แค่ประตูทางออก...ย๊าาาาาาา...สูญเสียกำลัง...ประตูน่าจะเปิดออก...ไฟเตือนเครื่องยนต์สอง...เราสูญเสียกำลัง….
“หยุด!” หวังบรูคลินตะโกนขึ้นเสียงแข็ง
“มีอะไรหรอบรูค?” จางอี้ชิงถามขึ้นด้วยความงงงวย
หวังบรูคลินไม่ได้ตอบกลับจางอี้ชิง เขาเลือกที่จะสั่งบิลลี่ “เปิดตอนที่ห้านาทีสามสิบสองวินาทีใหม่ แล้วตัดเสียงห้องนักบินออก”
“อืม” บิลลี่ทำตามคำสั่งทันที
ตอนนี้ทั้งห้องกำลังงงงวยว่าหวังบรูคลินต้องการที่จะทำอะไร ยกเว้นเซียวฌอนที่ดูเหมือนว่าเขาจะจับใจความของเรื่องนี้ได้แล้ว
'คะ คะคุณจะทำอะไร มะ ไม่นะ ม่ายยยย....'
“เสียงคุณหยางข่าย” ลู่จินเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ เขาจดจำเสียงนี้ได้แม่นเลย เพราะระหว่างการสืบสวนเขาได้ดูคลิปการรักษาของหยางข่ายหลายสิบคลิป จนเขาแน่ใจเลยว่าเสียงที่เขาเพิ่งได้ยินไปเป็นเสียงของหยางข่ายอย่างแน่นอน
“เขาไม่ได้ฆ่าตัวตายแต่ถูกผลักลงมา” เซียวฌอนสรุปเนื้อเรื่องทั้งหมดสั้น ๆ มันเป็นอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้
นิโคลิน “โหดร้ายมาก”
โซเฟีย “เฟียรับไม่ได้อย่างแรงคุณหยางข่ายไปทำอะไรให้ถึงกลับต้องผลักลงมาแบบนั้น”
หวังบรูคลินเอ่ยขึ้นก่อนจะสบสายตาทางเซียวฌอน “ความขัดแย้งส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์”
“เพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง” เซียวฌอนก็สบสายตาของหวังบรูคลินคืนเองเช่นกัน
ลู่จินรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่ควรจะพูด แต่เขาก็ไม่สามารถเก็บมันได้ ลู่จินกระซิบกับจางอี้ชิงเบา ๆ “สายตาที่น้องมึงกับไอ้บรูคมองกันเหมือนรู้เรื่องกันแค่สองคน”
“กูเห็นแล้ว นาน ๆ ที่จะมีคนที่คิดทันกันแบบนี้ทั้งที่เพิ่งเจอกันแท้ ๆ แปลกดี” จางอี้ชิงมองไปทางทั้งสองคนสลับกันไปมา หากทั้งสองคนนั้นคบกันจะเป็นอย่างไงนะ จางอี้ชิงเหมือนรู้ว่าตัวเองได้คิดสิ่งที่เป็นไปได้ยากที่สุดขึ้นก็รีบสะบัดไล่ความคิดที่ไม่มีทางเป็นไปได้ทิ้งลงทันที
หวังบรูคลินลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบ “ผมจะไปเยี่ยมคนรอด”
“ผมไปด้วย” เซียวฌอนลุกขึ้นตาม
หวังบรูคลินมองไปที่เซียวฌอนเล็กน้อย “ตามมา” สิ้นประโยคเซียวฌอนก็เดินตามหวังบรูคลินออกนอกห้องไปทันที ทิ้งให้คนในห้องงงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเร็วมาก
“นิคตามไปด้วยไป เดี๋ยวได้ตีกันตายแน่นอน” จางอี้ชิงเอ่ยเรียกสติของนิโคลินให้เข้าที่
นิโคลินที่เพิ่งตั้งสติได้ก็เอ่นแย้งขึ้น “เฮียก็เว่อร์เกินไป”
จางอี้ชิง “ไม่เวอร์”
นิโคลิน “ปล่อยให้ไปกันสองคนนั่นแหละเฮีย เวลามันทำงานจริงจังมันไม่เล่นหรอก” เธอรู้จักทั้งสองคนพอสมควร เธอพอจะรู้ว่าเวลาทำงานทั้งสองคนจริงจังมากขนาดไหน คงไม่มีทางตีกันจนตายอย่างที่จางอี้ชิงบอกแน่นอน แต่ระหว่างทางการทำงานอันนี้เธอไม่รับประกัน
“เฮียห่วงคนรอดไม่ได้ห่วงมันสองคน จะรับมือกับคนประสาทแดกสองคนยังไง” จางอี้ชิงเขาไม่เป็นห่วงหวังบรูคลินกับเซียวฌอนมากเท่าไหร่ แต่ที่เขาห่วงและเป็นกังวลก็คือคนรอดชีวิตที่รอดมาได้ต่างหาก เขากลัวว่าจะโดนทั้งสองคนถามคำถามอะไรที่จี้จนกดดันมากเกินไป
“ฟ้องไอ้บรูคแน่” ลิษาเอ่ยแซวขึ้น
“ฟ้องพี่ฌอนสุดหล่อด้วย” โซเฟียเองก็เอากับลิษาด้วย
“ฟ้องเลย เรื่องจริงทั้งนั้น” จางอี้ชิงท้าให้ฟ้องเลย เพราะว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด
บนรถหวังบรูคลิน
“คุณมานั่งข้างหน้า ผมไม่ใช่คนขับรถคุณนะ” หวังบรูคลินเอ่ยขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าเซียวฌอนกำลังจะไปเปิดประตูรถด้านหลังแทนประตูข้างคนขับ
“เรื่องมาก” เซียวฌอนชักมือกลับ ก่อนจะเปิดประตูด้านข้างคนขับแล้วนั่งลงแทน “พอใจรึยัง”
“อืม”
10 นาทีผ่านไป
บนรถมีแต่ความเงียบ ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีเสียงเพลง มีเพียงเสียงแอร์เท่านั้น ทั้งสองไม่พูดกันเลยแม้แต่น้อย เซียวฌอนจ้องมองไปถนนด้านข้าง ส่วนหวังบรูคลินก็มองไปข้างหน้าตั้งใจขับรถของเขาไป
Rrrrrrrrrrrrrrr
Rrrrrrrrrrrrrrrr
จู่ ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์เข้า เซียวฌอนก้มมองคิดว่าเป็นโทรศัพท์ของตัวเองแต่มันกลับไม่ใช่ มันเป็นเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของคนที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถต่างหาก
“คุณโทรศัพท์เข้าก็รับสิ” เซียวฌอนเอ่ยขึ้นเมื่อเสียงเรียกเข้าดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง
“ยุ่ง” หวังบรูคลินตอบสั้น ๆ
แต่มันกลับทำให้ฌอนที่คิดว่าเขาไม่น่าพูดดีกลับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย “ด่าว่าเสือกเลยเหอะแบบนี้”
“ได้ เสือก” ในเมื่อขอมาหวังบรูคลินก็จัดให้
เซียวฌอนปรี๊ดแตกเขาแค่ประชดไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดออกมาจริง ๆ เซียวฌอนกำลังจะง้างปากด่าอีกฝ่ายแต่เสียเรียกเข้าก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
Rrrrrrrrrrrrrrrrr
เซียวฌอนเรียกอย่างหงุดหงิด “คุณ”
“....” หวังบรูคลินยังคงนิ่ง ราวกับว่าตัวของเขาไม่ได้ยินเสียงรบกวนจากโทรศัพท์เลยสักนิด
“แฟนคุณโทรมาสินะถึงไม่ยอมรับสาย” เซียวฌอนลองเดาเล่นเล่นว่าอาการที่หวังบรูคลินเป็นตอนนี้คงมาจากแฟนสาวที่ชื่อเวน...เวนอะไรสักอย่างนี่แหละ
“...” แต่อาการนิ่งของหวังบรูคลินก็เป็นคำตอบที่ดีให้เซียวฌอนเช่นกัน
“เงียบก็แสดงว่าใช่สินะ”
“...”
“ถ้าผมได้ยินมาและจำมาไม่ผิดวันนี้เป็นครบรอบของคุณกับแฟนไม่ใช่รึไง” เซียวฌอนนึกถึงวันแรกที่เขามาที่หน่วยแล้วบังเอิญได้ยินเสียงทะเลาะของหวังบรูคลินกับแฟนสาวเขา นับวันดูวันนี้ก็เป็นวันที่พวกเขาสองคนนัดกันไม่ใช่รึไง
“ไปได้ยินมาจากไหน” หวังบรูคลินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปรู้เรื่องวันครบรอบของเขากับเฉิงเวนดี้มาได้อย่างไงกัน เพราะขนาดเขายังลืมเลย
“ทะเลาะกันไม่เกรงใจที่ทำงานแบบนั้นไม่รู้เลยมั้ง” เซียวฌอนตอบไปตามความจริง จะมาให้เขาแกล้งว่าบังเอิญได้ยินมาคนอย่างหวังบรูคลินไม่มีทางเชื่อแน่นอน “นี่คุณ”
“อะไร” หวังบรูคลินที่เงียบอยู่นานก็ตอบกลับ
“ไม่รักก็เลิก รำคาญก็บอกแฟนคุณไป ติดธุระไม่ว่างอะไรก็บอกเธอ คุณเล่นหายไปแบบนั้นเธอน่าจะเป็นห่วงคุณ” เซียวฌอนรู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย แต่เท่าที่ดูวันนั้นฝ่ายหญิงดูเหมือนจะต้องการความใส่ใจจากคนรัก ส่วนอีตาบ้าหวังบรูคลินดันเป็นผู้ชายที่ทื่อเสียอย่างนั้น
“ห่วงเหรอ? หึ” หวังบรูคลินกระตุกยิ้มที่มุมปาก
เซียวฌอนไม่เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของหวังบรูคลิน เขาเลือกที่จะพูดต่อไปเรื่อย ๆ “ถึงผมจะไม่เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงก็เหอะ แต่ผู้หญิงเป็นพวกขี้น้อยใจ ต้องการความใส่ใจจากคนรัก มีอะไรก็คุย ๆ กันหน่อย คุณ...เธอโทรมาหลายสายแล้วนะ” เซียวฌอนยกโทรศัพท์ที่เริ่มส่งเสียงอีกรอบให้หวังบรูคลินดู
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 30
Comments