บทที่ 3 กราบอาจารย์พร้อมฝึกวิชา

ทางด้านจวนแม่ทัพเมื่อครบกำหนดที่บุตรชายคนที่ 2 ของแม่ทัพได้ทำการปลุกจิตวิญญาณและเมื่อท่านแม่ทัพได้เห็นจิตวิญญาณเขาก็มีอาการดีใจเป็นอย่างมาก

"บุตรของข้าคนนี้ ช่างเป็นบุตรที่สวรรค์ส่งมานัก "แม่ทัพกล่าวอย่างดีใจ

"แน่นอนเจ้าค่ะท่านพี่ลูกของเรานั้นย่อมต้องแข็งแกร่งเหมือนท่านพี่" ฮูหยินรองกล่าวอย่างเอาใจ

"ดีเจ้ากล่าวได้ถูกใจข้านัก พ่อบ้านไปเอาศิลาปราณอัคคีมา ข้าจะให้ลูกข้าดูดซัพพลังของมัน จิตวิญญาณเขานั้นคือ 'พยัคฆ์อัคคี 'เป็นธาตุไฟยิ่งดูดซัพย์ศิลาธาตุไฟมากเท่าใด เขาก็ยิ่งเลือนระดับเร็ว เท่านั้น"แม่ทัพเอ่ยบอกกับพ่อบ้าน เมื่อได้ยินเช่นนั้นพ่อบ้านก็ได้นำศิลาปราณอัคคี มาให้นายท่านจำนวน 10 ก้อน

"เอาไปลูกพ่อ พ่อให้เจ้าเป็นของขวัญที่เจ้ามีจิตวิญญาณที่ทรงพลัง" เมื่อได้ยินเช่นนั้น 2 คนแม่ลูกก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจและตื่นเต้น

"ขอบคุณขอรับท่านพ่อลูกจะเร่งฝึก เพื่อให้ท่านพ่อไม่ผิดหวัง" เด็กน้อยกล่าวอย่างเอาใจพ่อของตน

"ดี เจ้าช่างเป็นเด็กดีจริงๆไปเถอะ อย่าได้เสียเวลาเลย" แม่ทัพกล่าวกับลูกของตน

"ขอรับท่านพ่อ "เมื่อพูดจบเด็กน้อยได้คารวะท่านพ่อแล้วเดินจูงมือแม่ของตนออกไป เมื่อสองแม่ลูกออกไปได้สักพักแม่ทัพได้กล่าวกับพ่อบ้านของตน

"แล้วเจ้าเด็กนั่นเป็นยังไงบ้าง ''แม่ทัพเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เย็น

"บ่าวไม่ทราบขอรับ ตั้งแต่บ่าวพาไปบ่าวก็ไม่เคยขึ้นไปหาอีกเลยขอรับ" พ่อบ้านกล่าวกับนายของตน

"ดีปล่อยไว้เช่นนั้นแหละ ให้มันตายบนเขาได้ยิ่งดี แล้วเรื่องที่ข้าให้ไปทำไปถึงไหนแล้ว''

"บ่าวได้ปล่อยข่าวเรื่องของคุณชายใหญ่ไปแล้วขอรับตอนนี้ทั้งเมืองนั้นต่างรู้ว่าท่านแม่ทัพเสียบุตรชายคนโตไปเศร้าโศกเสียใจ ต่อการจากไปของบุตรชายคนโตจึงปิดจวนไม่ต้อนรับผู้ใด ขอรับ" พ่อบ้านได้กล่าวรายงานกับท่านแม่ทัพ

"ดีมากเจ้าออกไปเถอะข้าจะพักผ่อน"

"ขอรับ "เมื่อกล่าวจบพ่อบ้านได้คารวะแล้วหันหลังเดินออกไป 

"เจ้าเด็กไร้ประโยชน์ หวังว่าเจ้าจะตายไปแล้วไม่ต้องกลับมาทำให้ชื่อเสียงตระกูลข้าต้องเสื่อมเสีย" แม่ทัพกล่าวกับตัวเองแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาแห่งความไร้อารมณ์

ตัดกลับมาทางเด็กน้อย ที่ตอนนี้กำลังดูดซับลมปราณจากรอบตัวเข้าสู่ร่างกาย

"เด็กน้อยเจ้ามาทำอะไรที่กลางป่าแห่งนี้รึ" นักพรตชุดขาวเลยถามเด็กน้อยตรงหน้า เมื่อเด็กน้อยเห็นนักพรตตรงหน้า ก็ได้ทำการคารวะแล้วเอ่ยตอบ

"ผู้น้อยนั้นมีเรื่องผิดใจกับที่บ้านท่านพ่อท่านแม่จึงตัดออกจากตระกูลแล้วขับไล่ออกมาขอรับ" เด็กน้อยเอ่ยตอบนักพรตตรงหน้าด้วยความสัตย์จริง เมื่อนักพรตได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปมองคนข้างกายตน เมื่ออีกคนเห็นก็ได้พยักหน้าเบาๆเป็นการตอบว่าคือเรื่องจริง 

"แล้วเจ้าออกมาได้นานหรือยัง "เมื่อได้ยินเช่นนั้นนักพรตกล่าวถามเด็กตรงหน้า 

"ผู้น้อยออกมาได้ปีนึงแล้วขอรับ "

"แล้วเจ้าอยู่ที่นี่ผู้เดียวได้อย่างไร "

"เป็นพ่อบ้านที่พาผู้น้อยออกมาแล้วสอนวิธีการเอาตัวรอดเมื่ออยู่คนเดียวขอรับ พร้อมทั้ง 1 ในอนุของท่านพ่อได้มอบโอสถปลุกจิตพร้อมกับตำรา หยกและอีกหลายสิ่งให้ขอรับ "เมื่อได้ยินเช่นนั้นทั้งสองคนจึงมองหน้ากันอีกครั้งแล้วพยักหน้ารับกันเบาๆแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า

"เจ้าอยากเป็นศิษย์ของพวกข้าหรือไม่" นักพรตชุดขาวเอ่ยถามเด็กตรงหน้า เมื่อเด็กน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจและดีใจไปพร้อมกัน

"ท..ท่าน ท่านจะรับข้าเป็นศิษย์จริงๆหรือขอรับ "เด็กน้อยกล่าวถามอย่างตื่นเต้นและดีใจ

"ใช่ว่ายังไงล่ะจะกราบพวกข้าเป็นอาจารย์หรือไม่ "

"ขอรับกราบขอรับ" เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยก็วิ่งเข้าไปที่เรือนของตนพร้อมชงชามา 2 จอก แล้วทำการยกน้ำชากราบมอบตัวเป็นศิษย์อาจารย์กับนักพรตทั้งสอง

"ตอนนี้เจ้าอายุเท่าไหร่หรือ แล้วเจ้าชื่อแซ่อะไร พลังอยู่ในระดับไหนแล้ว" อาจารย์ชุดขาวได้เอ่ยถาม

"ปีนี้ศิษย์อายุ 11 หนาวขอรับ ไม่มีแซ่เพราะบิดาไม่ให้ใช้ ส่วนชื่อนั้นศิษย์ชื่อ เฉียนเจิน ขอรับระดับลมปราณนั้นอยู่ที่ ระดับปลุกจิตขั้นที่ 2 ขอรับ "

"อืม ถือว่าเจ้านั้นมีพรสวรรค์ด้านการฝึก อยู่เพียงผู้เดียวในกลางป่าสามารถฝึกระดับพลัง จากก่อกำเนิดมาเป็นปลุกจิตได้ภายใน 1 ปีถือว่าเก่งมาก" อาจารย์กล่าวชมลูกศิษย์

"เรื่องนี้ต้องขอบคุณ อนุของท่านพ่อที่เขาได้ทิ้งตำราฝึกลมปราณพื้นฐานไว้ให้ ศิษย์เพียงทำตามวิธีการในตำราเท่านั้น" เด็กน้อยกล่าวยังถ่อมตัว

"เมื่อเจ้ากราบพวกข้าเป็นอาจารย์แล้ว งั้นเจ้าก็ไปอยู่กับพวกข้าที่อารามของพวกข้าก็แล้วกัน" อาจารย์ชุดดำเอ่ยบอกแก่ลูกศิษย์

"เจ้ามีสิ่งใดจะทำหรือไม่ ถ้าไม่ก็ได้ไปกันเลย" อาจารย์เอ่ยถามกับลูกศิษย์

"ศิษย์ไม่มีสิ่งใดติดค้างแล้วขอรับ เพียงแต่เรือนหลังนี้ศิษย์จะเอาไปยังไงขอรับ "ลูกศิษย์ตัวน้อยเอ่ยบอกอาจารย์ตน

"เจ้าเพียงแค่ถ่ายลมปราณเข้าไปแล้วตั้งจิตบอกให้มันกลับคืนมันก็จะย่อส่วนเท่าเดิม "เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยก็ได้ทำตามทันที เมื่อได้แล้วเด็กน้อยก็เดินมาหาอาจารย์ทันที  

"พวกเราจะเดินทางกันยังไงหรือขอรับ" ลูกศิษย์เคยถามอาจารย์ตน

"พวกเราจะขี่สัตว์พาหนะไป "เมื่อกล่าวจบนักพรตชุดดำได้ผิวปากเรียกสัตว์พาหนะของตนทันทีผ่านไปได้ไม่นาน หงส์สวรรค์ตัวใหญ่ก็ได้บินลงมายืนอยู่ที่ตรงหน้าทั้ง 3 คน

"นี่คือสัตว์พาหนะของข้า ไปเถอะก่อนจะมืดค่ำซะก่อน" เมื่อกล่าวจบนักพรตชุดดำได้นำทั้งสองคนขึ้นไปนั่งบนหงส์สวรรค์ทันที 

"เจ้าเป็นอันใดหรือไม่ ข้าเห็นเจ้านั่งเงียบมานานแล้ว"อาจารย์เอ่ยถามลูกศิษย์ตนด้วยความสงสัย

"เปล่าขอรับศิษย์เพียงแค่ตื่นเต้นเท่านั้น ศิษย์ไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะได้นั่งบนหลังของสัตว์อสูรเช่นนี้มาก่อน ก็เลยตื่นเต้นจนพูดไม่ออกขอรับ" เด็กน้อยเอ่ยตอบอาจารย์ของตนเองด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น

"แล้วเจ้าอยากมีสัตว์พาหนะเป็นของตัวเองหรือไม่เล่า "อาจารย์เอ่ยถาม

"อยากขอรับศิษย์อยากมีมากเลยขอรับ" เด็กน้อยเอ่ยยังตื่นเต้นเมื่อคิดว่าตนจะมีเป็นของตัวเองบ้าง

"เช่นนั้นเจ้าต้องรีบฝึกให้แข็งแกร่งแล้วอาจารย์จะพาเจ้าไปหาสัตว์พาหนะของตัวเอง"

"ขอรับ ศิษย์จะตั้งใจฝึกอย่างดีเลยขอรับท่านอาจารย์ "

"ดีถ้าเช่นนั้นจงจับให้แน่นๆอาจารย์จะพาเจ้าไปยังอาราม ให้เร็วที่สุด" เวลาผ่านไปได้3 ชั่วยามในที่สุดศิษย์อาจารย์ทั้ง 3 ก็มาถึงยังยอดเขาแห่งหนึ่ง ยอดเขานี้นั้นมีดอกท้อบานสะพรั่งเต็มทั้งยอดเขาความงามของ มันนั้นไม่มีที่ติ 

"เป็นยังไงบ้างที่นี่น่าอยู่หรือไม่ "เมื่อลงมาถึงอาจารย์ถามลูกศิษย์ของตนด้วยความอยากรู้

"น่าอยู่มากขอรับท่านอาจารย์ "ศิษย์เอ่ยตอบอาจารย์ตนด้วยน้ำเสียงอันสดใส

"เช่นนั้นก็ดีแล้วไปเถอะเข้าไปด้านในกันเดินทางมาเหนื่อยๆควรต้องพักผ่อนก่อน "เมื่อกล่าวจบอาจารย์ได้จูงมือพาลูกศิษย์ของตนเข้าไปด้านในทันที 

"เด็กน้อยห้องของเจ้าอยู่ฝั่งซ้ายมือส่วนห้องของอาจารย์ทั้ง 2 อยู่ฝั่งขวามือเจ้าไปพักผ่อนเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาเริ่มเรียน" เมื่อกล่าวจบนักพรต ทั้งสองก็เดินเข้าไปยังห้องนอนของตนโดยไม่รอฟังคำพูดของลูกศิษย์

เช้าวันต่อมา

"เอาล่ะเมื่อคืนพวกอาจารย์ทั้งสองคนนั้นได้ปรึกษากันแล้วว่าจะให้เจ้าใช้แซ่ของอาจารย์ ตัวข้ามีนามว่า 'ป๋ายหมิงชี 'ส่วนอาจารย์ชุดดำมีนามว่า 'เจ๋อเยียนชิง' ข้าจะให้เจ้าใช้แซ่ป๋ายของข้าเจ้าตกลงหรือไม่ "อาจารย์ถามความสมัครใจ ของลูกศิษย์ตน เมื่อได้ยินเช่นนั้นเด็กน้อยก็มีน้ำตาบนใบหน้าร้องไห้ด้วยความดีใจ

"ศิษย์ข้าเจ้าจะร้องไห้ไปใย หืมเด็กดี'' อาจารย์ได้กล่าวกับลูกศิษย์ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่ใจดี 

"ฮึก ๆ ศิษย์เพียงแค่ดีใจขอรับท่านอาจารย์ตัวของศิษย์นั้นไม่เคยคิดว่า จะมีคนใจดีกับศิษย์เช่นนี้ "เด็กน้อยสะอื้นตอบ

"เอาล่ะเลิกร้องไห้ได้แล้วเจ้าเด็กขี้แย ต่อไปเจ้าคือ ป๋ายเฉียนเจิน ศิษย์เพียงคนเดียวของพวกข้าทั้งสองเลิกร้องได้แล้วศิษย์ข้า "อาจารย์ยกมือลูบหัวแล้วเอ่ยบอก

 "ก่อนเริ่มเรียนเจ้าต้องรู้ก่อนว่าที่นี่คือที่ใด   ที่แห่งนี้คือป่าท้อสวรรค์ ตั้งอยู่ทางชายแดนแคว้น หมิง อารามแห่งนี้มีชื่อว่า อารามชิงชิว เป็นอารามที่พวกอาจารย์ทั้งสองคนอาศัยอยู่มาเป็นแสนปีแล้ว" เด็กน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ตาโตด้วยความตกใจไม่คิดว่าอาจารย์ตนจะมีอายุมากถึงเพียงนี้

"เจ้าคงสงสัยใช่หรือไม่ว่าเหตุใดอาจารย์ทั้งสองนั้นถึงมีอายุมากขนาดนี้ อาจารย์ทั้งสองนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่นักพรตแต่เป็นเทพ "เมื่อเด็กน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจยิ่งกว่าเดิมด้วยไม่คิดว่าอาจารย์ของตนเป็นถึงเทพ 

"ท..ท่านไม่ได้หลอกศิษย์เล่นใช่หรือไม่ "เด็กน้อยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา อาจารย์หัวเราะเบาๆแล้วกลับคืนสู่ร่างเทพ ทันที

" ข้าคือเทพจิ้งจอกราตรี ส่วนอาจารย์อีกคนของเจ้าคือเทพหงสาสุริยัน ทีนี้เจ้าเชื่อพวกข้าหรือยัง"อาจารย์เอ่ยเย้าแหย่บอกลูกศิษย์ของตัวเอง

"ขอรับศิษย์เชื่อแล้วขอรับ" เมื่อได้ยินเช่นนั้นอาจารย์ทั้งสองก็กลับคืนสู่ร่างมนุษย์

"ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาเริ่มเรียนกันเถอะ ขั้นแรกก่อนเริ่มฝึกเจ้าแต่ต้องมีระดับลมปราณอยู่ที่ปลุกจิตขั้นที่ 9 เจ้าถึงจะเริ่มเรียนกับพวกข้าได้เพราะลมปากของเจ้าในตอนนี้ไม่สามารถรับวิชาความรู้ทั้งหมดของพวกข้าได้ เดี๋ยวข้าจะพาไปที่น้ำตกธารสวรรค์ให้เจ้าไปแช่ตัวพร้อมดูดซับลมปราณจากน้ำตก ลมปราณของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว "เมื่อกล่าวจบอาจารย์เจ๋อ ก็ได้เดินนำพาลูกศิษย์ของตนไปที่น้ำตก เมื่อถึงน้ำตกอาจารย์ก็ได้นำผลท้อสวรรค์มาวางไว้ให้ลูกศิษย์ที่ริมน้ำตก

"เมื่อระดับพลังของเจ้ายังไม่ถึงระดับปลุกจิตขั้นที่ 9 ห้ามเจ้าขึ้นจากน้ำตกแห่งนี้เด็ดขาด จงจำคำของข้าไว้ ไม่ว่ากับทรมานแค่ไหนก็ห้ามขึ้น เข้าใจหรือไม่ "

"ขอรับท่านอาจารย์ "ลูกศิษย์เอ่ยบอกอาจารย์ตนด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็ง

"ดีถ้าเช่นนั้นอาจารย์จะไปรอเจ้าที่อาราม เมื่อเจ้าเลือนระดับเสร็จให้เรียกอาจารย์ อาจารย์จะมารับเจ้าทันที "

"ขอรับ" เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยจึงเริ่มปลดอาภรณ์ของตนจนเหลือเพียงแค่เสื้อขาวตัวข้างในแล้วค่อยๆก้าวลงไปยังน้ำตกทันที สัมผัสแรกที่เด็กน้อยรู้สึกได้เมื่อปลายเท้าแตะโดนน้ำตกคือความเย็นอย่างมหาศาลค่อยๆแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย เมื่อเด็กน้อยลงไปแช่ในน้ำได้ครึ่งตัวร่างกายของเขาตอนนี้ราวกับถูกแช่แข็ง จนเขาต้องใช้ลมปราณขับความร้อนออกมาต้านความเย็น แต่พอผ่านไปได้สักพักเด็กน้อยก็เริ่มสังเกตได้ว่าระดับของตนค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆเมื่อเด็กน้อยรู้ดังนั้นจึงเร่งขับลมปราณออกมาต้านความเย็นมากกว่าเดิม เด็กน้อยอยู่อย่างนี้เป็นเวลา 1 สัปดาห์โดยไม่ได้ขยับตัวตัวแม้แต่น้อย จนระดับของเขาในตอนนี้อยู่ที่ปลุกจิตขั้นที่ 9 เมื่อถึงตอนนี้เด็กน้อยก็ค่อยๆลืมตาขึ้น  ด้วยอาการที่อ่อนล้าเนื่องจากไม่ได้กินอะไรเลยมาเป็นเวลา 1 สัปดาห์

"ในที่สุดข้าก็มาถึงขั้นที่ 9 จนได้" เด็กน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แห้ง แล้วก้มลงดื่มน้ำในน้ำตกด้วยความหิวกระหายแล้วไปกินท้อสวรรค์ที่อาจารย์นำมาวางไว้ให้ เมื่อกินเสร็จเด็กน้อยจึงเอ่ยเรียกอาจารย์ตน 

"ท่านอาจารย์ขอรับศิษย์เลื่อนระดับมาจนถึงขั้นที่ 9 แล้วขอรับ" เมื่อกล่าวจบอาจารย์ทั้งสองคนก็ได้มาปรากฏตัวที่หน้าของลูกศิษย์ทันที

"เจ้าเป็นเช่นไรบ้างมีอาการอะไรหรือไม่" อาจารย์ป๋าย ถามด้วยความเป็นห่วง

"ศิษย์ไม่เป็นอันใดขอรับเพียงแค่อ่อนล้าเล็กน้อยเท่านั้นขอรับ "เด็กน้อยเอ่ยตอบ

"เช่นนั้นก็ดีข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ "

"ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์ที่เป็นห่วงศิษย์"

"ไปเถอะรีบกลับอารามไปพักผ่อนเดี๋ยวคืนนี้เจ้าจะต้องทำการตัดผ่านระดับ เดี๋ยวเจ้าจะไม่ไหวเอา"อาจารย์เจ๋อ เอ่ยบอก เมื่อกล่าวจบอาจารย์ทั้งสองก็ได้พาเด็กน้อยไปเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่แล้วพาไปนอนทันที 

เมื่อถึงยามจื่อ( 23.00-24.59)

อาจารย์ได้ปลุกเด็กน้อยขึ้นมาเพื่อจะทำการเลื่อนระดับ จากปลุกจิตไปเป็นปฐพี

"​​ท่านอาจารย์ขอรับเหตุใดจึงต้องเป็นยามนี้ขอรับ" เด็กน้อยเอ่ยถามอาจารย์ตนด้วยสีหน้าที่ง่วง

"เพราะยามนี้เป็นเวลาที่ลมปราณบริสุทธิ์ที่สุดและมากที่สุดกว่าทุกยาม ถ้าเจ้าเลื่อนระดับในตอนนี้ มีโอกาสที่จะขึ้นไปหลายระดับในครั้งเดียว"

"เอาล่ะอย่าได้เสียเวลาเลยเจ้าจงมานั่งที่นี่แล้วเริ่มดูดซับลมปราณเถิด "อาจารย์เจ๋อเคยบอกอย่างเร่งรีบ เมื่ออาจารย์กล่าวจบเด็กน้อยก็ไปนั่งบนแท่นทันทีแล้วเริ่มลงมือดูดซัพพลังบริสุทธิ์รอบกายทันที เมื่อถึงรุ่งเช้าเด็กน้อยที่นั่งดูดซัพลมปราณมาทั้งคืนก็ค่อยๆลืมตาขึ้น 

"เป็นอย่างไรบ้างมีอาการผิดปกติใดๆหรือไม่" อาจารย์เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล

"ไม่มีอาการผิดปกติใดขอรับ"

"แล้วตอนนี้ระดับของเจ้าอยู่ที่เท่าใดเล่า"

"ตอนนี้ระดับของศิษย์อยู่ที่ปฐพีขั้นที่ 3 แล้วขอรับ" ลูกศิษย์เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่ดีใจ

"เช่นนั้นก็ดีต่อจากนี้อาจารย์ทั้งสองนั้นจะถ่ายทอดวิชาทั้งหมดที่อาจารย์เรียนรู้มาตอนยังเป็นมนุษย์อยู่ให้แก่เจ้าทั้งหมด เจ้าจงนั่งสมาธิแล้วหลับตาพร้อมดูดซัพสิ่งที่อาจารย์ทั้งสองถ่ายทอดเข้าไปให้เจ้า "เมื่อกล่าวจบอาจารย์ทั้งสองก็แยกกันไปนั่งบนบัลลังก์ของตนทันที แล้วรวบรวมพลังส่งไปที่เด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงกลางอย่างเรื่อยๆ เวลาผ่านไป 4 ชั่วยามการถ่ายทอดวิชาความรู้ครั้งนี้จึงจบลง 

"เป็นเช่นไรบ้างเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง "อาจารย์ ป๋ายเอ่ยถาม 

"ศิษย์ไม่เป็นอันใดขอรับตอนนี้ศิษย์เพียงรู้สึกแค่ปวดศีรษะเป็นอย่างมากขอรับด้วยมีความรู้มากมายหลั่งไหลเข้ามาในศีรษะขอรับ"

"เช่นนั้นก็ดีแล้วในช่วง 2-3 วันนี้เจ้าอย่าเพิ่งฝึกสิ่งใดจงเรียบเรียงวิชาความรู้ทั้งหมดก่อนค่อยเริ่มฝึก" อาจารย์เอ่ยบอกแก่ลูกศิษย์ เมื่อเวลาผ่านไปได้ 5 วันเด็กน้อยได้ทำการเรียบเรียงวิชาความรู้ในหัวทั้งหมด 

"เสร็จแล้วรึ งั้นเจ้าจงไปฝึกตามทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจถ้ามีวิชาใดไม่เข้าใจจงมาถามแก่พวกข้า  รับสิ่งนี้ไปสิ "เมื่อกล่าวจบอาจารย์ได้ยื่นกระบี่ไผ่หยกให้หนึ่งด้าม

"นี่คือกระบี่ไผ่หยกเป็นวิชาที่อาจารย์ทั้งสองคิดค้นมาเพื่อจะสั่งสอนให้เจ้าใช่เป็นวิชาประจำตัวกระบี่เล่มนี้แม้ไม่ใช่ของอาวุธระดับสูง แต่ก็ง่ายต่อการใช้งาน เคล็ดวิชาของกระบี่นี้คือ กายข้าพริ้วไหวดั่งต้นไผ่ยามลู่ลม กระบี่ข้านั้นไซร้ รวดเร็วอย่างใบไผ่ยามต้องลม เจ้าเข้าใจหรือไม่"

"ศิษย์เข้าใจขอรับถ้าเช่นนั้น ศิษย์ขอตัวไปฝึกวิชากระบี่นี้ก่อน "

"เช่นนั้นก็ไปเถิด ถ้ามีสิ่งใดไม่เข้าใจจงมาถามอาจารย์ของเจ้าได้ทุกเมื่อ "

"ขอรับท่านอาจารย์ "เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยได้คารวะอาจารย์แล้วรีบวิ่งไปยังลานฝึกทันที

วันเวลาผ่านไป 10 ปี

เด็กน้อยน่ารักในวันนั้นยามนี้โตขึ้นเป็นบุรุษที่มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ร่างกายนั้นขาวดุจดั่งหิมะ มีดวงตาที่กลมโตราวกับดวงจันทร์ที่เต็มดวงกลางทองนภา เกศายาวสลวยถึงกลางหลังสีดำสนิทราวกับปีกกามองจากมุมใด บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็งดงามราวอิสตรีเพศ ชวนให้ลุ่มหลง อาภรณ์ที่สวมใส่นั้น สีน้ำเงินครามราวกับท้องทะเล

"ท่านอาจารย์ศิษย์ฝึกตามที่ท่านอาจารย์บอกทั้งหมดแล้วขอรับ" น้ำเสียงที่ใส่ราวระฆังแก้วเอ่ยบอกแก่อาจารย์ตน

"เช่นนั้นหรืองั้นอาจารย์ทั้งสองก็ไม่มีสิ่งใดจะสอนเจ้าแล้ว ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับนภาขั้นที่ 3 แล้วเจ้ามีที่ใดจะไปหรือไม่ อาจารย์จะพาเจ้าไปส่ง" อาจารย์ลูกศิษย์ของตน

"ศิษย์ขอกล่าวกับอาจารย์ตามตรง ศิษย์นั้นมีความแค้นอยู่ในใจตลอด 10 ปีที่ผ่านมาศิษย์ไม่เคยลืมขอรับ "ลูกศิษย์คนงามเอ่ยบอกแก่อาจารย์ตน

"ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะไปแก้แค้นที่ใดหรือ" อาจารย์เจ๋อเอ่ยถามกับลูกศิษย์ตน

"ศิษย์มีความแค้นที่จวนตระกูลหลี่ขอรับ ความแค้นที่ศิษย์ไม่ได้รับความเป็นธรรม ความแค้นที่ศิษย์ถูกขับไล่ออกจากตระกูลด้วยความโลภของคนเพียงคนเดียวขอรับ" ร่างบางตรงหน้าเอ่ยบอกแก่อาจารย์ตน

"ถ้าเช่นนั้นอาจารย์จะพาเจ้าไปส่งที่เมืองหลวงเพราะในอีก 1 สัปดาห์จะมีการจัดงานประลองยุทธขึ้น ให้เจ้าเข้าร่วมงานประลองนี้เพื่อแก้แค้นคนในตระกูล การที่เจ้าแก้แค้นด้วยการฆ่านั้นมันเป็นบาปติดตัวเปล่าๆ เจ้าจงแก้แค้นด้วยการทำให้ตระกูลหลี่นั้นอับอายและตกต่ำ นั่นเป็นการแก้แค้นที่ดีที่สุด ไปเถอะก่อนเริ่มงานประลองอาจารย์จะพาเจ้าไปจับสัตว์อสูรมาเป็นสัตว์พาหนะ " เมื่อกล่าวจบอาจารย์ทั้งสองก็ได้พาลูกศิษย์ตนเข้าไปยังป่าอสูรเพื่อที่จะจับสัตว์อสูรมา สร้างพันธะทันที 

"เจ้าต้องการสัตว์อสูรประเภทใดหรืออาจารย์จะได้พาเจ้าไปถูก "อาจารย์ป๋ายเอ่ยถามลูกศิษย์ตน 

"ศิษย์อยากได้เป็นสัตว์ที่บินได้ขอรับแล้วสามารถช่วยศิษย์โจมตีได้ มีพลังทำลายล้างที่รุนแรงขอรับ" ร่างบางเอ่ยบอกกับอาจารย์ตน

"เช่นนั้นอาจารย์จะพาเจ้าไปที่เผ่าวิหคสวรรค์เจ้าจงเตรียมตัวให้ดีเผ่านี้มีพลังโจมตีที่รุนแรงแล้วเย่อหยิ่งมากนะเจ้าจงหาตัวที่เจ้าคิดว่าจะสามารถสยบมันได้ เจ้าจงหาทางทำให้มันสยบแก่เจ้าให้ได้ เข้าใจหรือไม่" อาจารย์เจ๋อเอ่ยบอกลูกศิษย์ตน

"ขอรับท่านอาจารย์ " 

"ถ้าเช่นนั้นก็ดี ไปเถิดถึงแล้ว เจ้าจงฟังคำพูดของอาจารย์ไว้ว่าอย่าแสดงท่าทีว่าเจ้าสูงส่งกว่าพวกมันเข้าใจหรือไม่" ลูกศิษย์ขานรับแล้วเดินเข้าไปยังที่อยู่ของเผ่าวิหคสวรรค์ทันที เมื่อเข้ามาถึงวิหคสวรรค์นับพันตัวก็มองมาที่ร่างบาง ด้วยสายตาที่เย่อหยิ่ง ร่างบางไม่สนใจหันมองไปเรื่อยๆจนไปพบกับวิหคสวรรค์ตัวนึงที่ดูจืดจางกว่าพวกนั่งหลบมุมอยู่ที่โขดหินริมแม่น้ำ เมื่อเห็นดังนั้นร่างบางจึงเดินตรงเข้าไปหามันทันที 

"เจ้าสนใจจะไปอยู่กับข้าหรือไม่ "ร่างบางเอ่ยถามวิหคสวรรค์ตัวนี้ทันที เมื่อได้ยินดังนั้นวิหคตัวน้อยนี้ก็เงยหน้าขึ้นมามองร่างบางด้วยแววตาที่สับสนว่าทำไมถึงเลือกตน

"เจ้านั้นไม่เหมือนตัวอื่นที่มองข้าด้วยสายตาอันเหยียดหยามข้าเห็นเจ้านั้นทำให้ข้านึกถึงตัวข้าในอดีตก็เท่านั้นเอง"ร่างบางยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยบอกกับสัตว์อสูรตรงหน้า เมื่อได้ยินเช่นนั้นวิหคสวรรค์ตัวนี้ ก็คิดอีกเล็กน้อยแล้วพะงกหัวยอมรับ  ร่างบางยิ้มด้วยความดีใจแล้วทำการหยดเลือดของตนไปที่ศีรษะของวิหคสวรรค์ตัวนี้ทันทีพร้อมกับเผยขึ้นมาว่า "ข้าป๋ายเฉียนเจิน ขอทำพันธะสัญญากับสัตว์อสูรตนนี้เจ้ายอมรับข้าหรือไม่ "เมื่อสัตว์อสูรขานรับก็ปรากฏวงสีแดงขึ้นตรงที่หน้าผากของวิหคสวรรค์ทันที นั่นเป็นเครื่องหมายว่าการทำพันธะครั้งนี้สำเร็จ

"งั้นข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่า "เทียนเอ๋อ "เจ้าชอบหรือไม่'' ร่างบางเอ่ยถามวิหคสวรรค์ด้วยรอยยิ้ม

เมื่อวิหคสวรรค์ได้รับการตั้งชื่อขนของมันที่สีจืดจางกลับกลายเป็นมีสีสันที่สดใสและงดงามพร้อมระดับพลังก็ปรากฏขึ้น

"เป็นไปได้ยังไง "ร่างบางเอ่ยอย่างตกใจเมื่อเห็นระดับพลังของ เทียนเอ๋อ สัตว์อสูรตรงหน้านี้ แท้จริงแล้วเป็นสัตว์อสูรระดับตำนาน เกือบถึงขั้นสวรรค์แล้ว เมื่อเทียนเอ๋อได้เห็นอย่างนั้น ก็ส่งเสียงร้องด้วยความขบขันเจ้านายตน เมื่อ            ป๋ายเฉียนเจิน ได้ยินเสียงร้องก็หลุดออกจากความคิดของตน 

"ไปเถอะป่านนี้อาจารย์คงรอแย่แล้ว" เมื่อกล่าวจบร่างบางก็ได้ขึ้นไปขี่บนหลังของเทียนเอ๋อทันที แล้วบอกให้บินไปทางที่อาจารย์อยู่

"ท่านอาจารย์ขอรับ ศิษย์ทำพันธสัญญาได้แล้วขอรับ "เมื่อเห็นอาจารย์ตนร่างบางก็เอ่ยออกมาด้วยความดีใจ 

"เจ้าเก่งมาก ศิษย์รักของข้า" อาจารย์ป๋ายเอ่ยบอกพร้อมกับรูปหัวป๋ายเฉียนเจิน 

"อะแหม ไปกันได้แล้วมั้งได้สัตว์พันธะมาแล้วนี่ ''อาจารย์เจ๋อบอกอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นคนรักตนรูปหัวผู้อื่น เมื่อเห็นเช่นนั้น 2 ศิษย์อาจารย์หัวเราะด้วยความชอบใจ เมื่อกล่าวจบศิษย์อาจารย์ทั้ง 3 ก็ได้พากันไปยังเมืองหลวงของแคว้นทันที เมื่อมาถึงเมืองหลวง

"ศิษย์รักของข้า ไม่ว่าเจ้าจะโกรธแค้นมากเพียงใดเขาก็ยังเป็นพ่อแม่ของเจ้าถ้าจะทำสิ่งใดจงอย่าทำให้ถึงแก่ชีวิตเข้าใจหรือไม่" ป๋ายหมิงชิงบอกแก่ลูกศิษย์ 

"ขอรับท่านอาจารย์ศิษย์จะจำคำนี้ไว้ไม่มีวันลืมขอรับ "

"ถ้าเช่นนั้นคงถึงเวลาที่ต้องจากกันแล้วเจ้าก็จงไปตามทางของเจ้า อาจารย์ทั้งสองก็จะกลับไปทำงานของอาจารย์ที่ทิ้งมาหลายปีบนสวรรค์ จากกันครั้งนี้ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้พบอาจารย์ขอให้เจ้าโชคดีพบเจอแต่ความสุข" เมื่ออาจารย์ได้กล่าวจบใบหน้างามก็เต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่กั้นเอาไว้ไม่อยู่

"อย่าได้ร้องไปเลยศิษย์ข้าเมื่อมีเจอย่อมมีจากเป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้เจ้าจะงดงามแต่อาจารย์ชอบใบหน้าเจ้าที่มีรอยยิ้มมากกว่า "      เจ๋อเยียนชิง ได้กล่าวกับศิษย์ตน

"ขอรับศิษย์ไม่ร้องแล้วขอรับ "เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยได้ยกมือปาดน้ำตาทั้งสองข้างออก

"เช่นนั้นแหละดีแล้วเด็กดีเอาล่ะได้เวลาที่อาจารย์ต้องไปแล้ว แล้วพบกันใหม่ "เมื่อกล่าวจบอาจารย์ทั้งสองก็ได้หายตัวกลายเป็นแสงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าทันทีแล้วหายไป อาจารย์จากไปได้สักพักเด็กน้อยหันไปที่ประตูเมืองแล้วกล่าวว่า

 " ตระกูลหลี่ข้ากลับมาแล้วจงเตรียมตัวรับการแก้แค้นของข้าให้ดีๆ '' 

ขอต่ออดีตอีกสักตอนนะครับถ้าจะเขียนในตอนเดียวมันยาวเกินไปครับขอบคุณครับ

จบไปแล้วนะครับกับอีกหนึ่งตอนเป็นยังไงบ้างครับสนุกไหมครับถ้าสนุกฝากกันคอมเม้นเยอะๆนะครับผมอ่านทุกคอมเม้นแน่นอนครับ

ขอบคุณครับ

​​​​​​

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!