ศึกษา

เฟิ่งเซียนกำลังนั่งศึกษาข้อมูลของโลกนี้อยู่ก็ได้ทราบว่า โลกแห่งนี้ประกอบด้วยแคว้นทั้งหมดห้าแคว้นมีการจัดลำดับความแข็งแกร่งขึ้นทุกๆ ห้าปี โดยที่ปีล่าสุดที่มีการประลองไปคือเมื่อปีที่ผ่านมา

แคว้นที่ได้ลำดับหนึ่งคือ แคว้นจ้าว แคว้นฉิน แคว้นหาน แคว้นฉี และแคว้นเว่ย ตามลำดับ แต่ละแคว้นตั้งชื่อตามราชวงค์ที่ปกครองแคว้นนั้นๆ

และแคว้นที่นางอาศัยอยู่ก็คือ แคว้นฉี แคว้นที่อยู่ลำดับที่สี่ แคว้นของนางไม่ใช่ว่าจะมีเพียงผู้ที่อ่อนแอ แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแคว้นอื่นที่มีอัจริยะมากกว่า ย่อมไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้

หลังจากที่นางได้ศึกษาข้อมูลของโลกนี้มาหลายวัน นางก็ตระหนักได้ว่า ในโลกของผู้ฝึกลมปราณแห่งนี้มีคนเก่งมากมาย ทั้งคนดีและคนชั่ว มีพรรคธรรมมะ และพรรคมาร หากอยากเเข็งแกร่งขึ้น ลำพังตัวนางคงสู้กับคนทั้งโลกไม่ได้

สัตว์เทพเองก็เป็นตัวตนศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถออกมาช่วยนางตลอดได้ นางจึงคิดว่าในเมื่อโลกนี้มีพรรคมากมาย ก็คงไม่แปลกอันใดหากนางจะก่อตั้งสำนักเพื่อเป็นกำลังของตนขึ้นมา

'แต่ใจคนนั้นยากแท้ยั่งถึง นางจะหาคนที่สามารถเชื่อใจมากมายเช่นนั้นได้จากที่ใดกัน'

เฟิ่งเซียนคิดว่าหากนางนำเรื่องนี้ไปปรึกษาสัตว์เทพทั้งสี่ อาจมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจของนางเป็นแน่ เฟิ่งเซียนเดินออกจากกระท่อมที่ดูจากภายนอกแล้วอาจจะดูเล็กมาก แต่แท้จริงแล้วด้านในนั้นกลับใหญ่โตเปรียบได้กับจวนหลังใหญ่เลยทีเดียว

"ข้ามีเรื่องจะปรึษาพวกเจ้า เดิมทีก่อนหน้าคิดว่าอายุครบสิบสี่หนาวค่อยลงมือก็คงไม่สาย แต่จากที่ข้าศึกษาจากตำราของโลกนี้นั้น หากเราลงมือก่อนย่อมเป็นผลดีแก่เราในภายหน้า"

"เรื่องอันใดหรือขอรับ"

"ข้าอยากจัดตั้งสำนักของตนขึ้น ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะอายุเพียงสิบหนาว และมีพวกเจ้าปกป้อง แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ ในโลกใบนี้มีผู้แข็งแกร่งมากมานัก หากเรามีกองกำลังที่สามารถต่อกรกับโลกนี้ได้เร็วขึ้นคงเป็นสิ่งที่ดี" สัตว์เทพทั้งสี่พยักหน้า

"จริงอย่างที่นายหญิงว่า พวกข้าน้อยคงดีใจกับการกลับมาของนายหญิงมากเกินไป เห็นทีพวกเราคงต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการบางส่วนแล้ว" เสือขาวเสนอขึ้นมา

"ตัวข้าในตอนนี้อายุเพียงสิบหนาว จะทำสิ่งใดคงลำบาก หากได้พวกเจ้าช่วยย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่พวกเจ้าเป็นสัตว์เทพหากผู้ใดเห็นเข้าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่"

เฟิ่งเซียนหนักใจกับเรื่องนี้ที่สุด ถึงแม้ในเวลาอันใกล้ตนจะแข็งแกร่งขึ้นมาได้บ้าง แต่หากจัดการทุกอย่างเพียงคนเดียวย่อมเกินขีดความสามารถของนางในตอนนี้อยู่มาก

"นายหญิง พวกเราสัตว์เทพนั้นไม่เหมือนกับสัตว์อสูรทั่วไป พวกเราสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ขอรับ"

มังกรฟ้าเชิ่ดหน้าอย่างภูมิใจ พวกตนนั้นเป็นถึงสัตว์เทพ จะธรรมดาสามัญได้อย่างไร

"จริงหรือ เช่นนี้ก็ดีในเวลาที่ข้าเก็บตัวฝึกฝนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องสำนักที่เราจะตั้งขึ้นมา"

หลังจากที่เฟิ่งเซียนกล่าว สัตว์เทพทั้งสี่ก็แปลงกายเป็นมนุษย์ต่อหน้านางทันที

โดยมังกรฟ้านั้น เมื่อแปลงกายเป็นมนุษย์รูปร่างหน้าตาคล้ายบัญฑิตรูปโฉมสง่างาม สวมอาภรณ์สีฟ้าคราม แผ่กลิ่นอายอบอุ่นชวนมอง

หงส์แดงนั้น รูปโฉมงดงามเย้ายวน สวมอาภรณ์สีแดงเพลิงหรูหรา กอรปกับรูปหน้าที่งดงามปานจะล่มเมืองของนาง คงไม่มีบุรุษใดมองผ่านโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองแน่

ต่อมาเป็นเสือขาว ที่พอแปลงกายเป็นมนุษย์ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ใบหน้าที่หล่อเหลา คล้ายองค์ชายแห่งแคว้นก็ไม่ปาน อาภรณ์ที่สวมใส่เป็นสีขาวบริสุทธิ์งดงาม สูงส่ง เมื่อมองแล้วจิตใจบริสุทธิ์คล้ายว่าถูกชำระจิตใจเสียอย่างนั้น

สุดท้ายคือเต่าดำ ท่าทางองอาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม กอรปกับอาภรณ์สีดำตัดเงินที่สวม ยิ่งดูหน้าเกรงขามกลิ่นอายที่แผ่ออกมา คล้ายกลิ่นอายของชายชาตินักรบ ความแข่งแกร่งและดุดันนี้แม้แต่แม้ทัพแห่งแคว้นก็ไม่อาจเทียบได้

เฟิ่งเซียนพยักหน้าด้วยความพอใจ ตัวตนที่ดูแค่ภายนอกก็รู้ว่าย่อมไม่ธรรมดา

"เช่นนั้นข้าอยากให้พวกเจ้าช่วยข้าคัดเลือกคนของเราเสียหน่อย ตัวข้าในตอนนี้คงทำได้แค่เพียงต้องเริ่มฝึกฝนเท่านั้น ที่เหลือฝากพวกเจ้าด้วย ส่วนที่สถานที่จัดตั้งข้าเห็นว่าเราจะตั้งขึ้นที่นี่ ในเขตชั้นในของป่าร้อยอสูรแห่งนี้"

"นายหญิงไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ด้วยพลังของพวกข้าการสร้างสำนักขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องยาก นายหญิงไม่ต้องเป็นห่วง"

เฟิ่งเซียนพยักหน้าก่อนจะเดินกลับเข้าไปในกระท่อมเพื่อเข้าไปศึกษาสิ่งต่างๆ ต่อไป

เป็นเวลาเดียวกับที่สัตว์เทพทั้งสี่ออกไปจัดการสิ่งที่ผู้เป็นนายมอบหมาย

หลังจากเข้ามาในกระท่อมแล้วเฟิ่งเซียนได้หยิบตำราต่างๆ ออกมาอ่านเพื่อทำความเข้าใจในธาตุนั้นๆ นางตระหนักดีว่าเมื่อมีธาตุมาก การฝึกย่อมหนักหนากว่าคนธรรมดามากนัก เฟิ่งเซียนเริ่มจากการศึกษาระดับของพลังปราณก่อนเป็นอันดับแรก

พลังปราณนั้นมีทั้งสิ้น เก้าระดับ

นั้นประกอบด้วย ระดับ ก่อเกิด

ระดับ หลอมรวม

ระดับ ผู้ฝึกตน

ระดับ นักรบ

ระดับ แม่ทัพ

ระดับ กษัตริย์

ระดับ ราชันย์

ระดับ เซียน

และ ระดับ ตำนาน

แต่ละขั้นแบ่งเป็น3ขั้นย่อยคือ ชั้นต้น ชั้นกลาง ชั้นปลาย

ส่วนผู้ปรุงโอสถนั้นแบ่งได้ดังนี้

ระดับ นักปรุงโอสถขั้นก่อเกิด

ระดับ นักปรุงโอสถขั้นหลอมรวม

ระดับ นักปรุงโอสถขั้นพื้นฐาน

ระดับ นักปรุงโอสถขั้นกลาง

ระดับ นักปรุงโอสถขั้นสูง

ระดับ นักปรุงโอสถขั้นปรมาจารย์

ระดับ นักปรุงโอสถขั้นเซียน

และ ระดับ นักปรุงโอสถขั้นตำนาน

คุณภาพของโอสถนั้นขึ้นอยู่กับขั้นของผู้ปรุงเช่น

โอสถขั้นพื้นฐานผู้ที่สามารถปรุงได้คือผู้ที่มีระดับพื้นฐาน หรือมากกว่านั้นขึ้นไป

แต่ผู้ที่มีขั้นต่ำกว่าจะไม่สามารถปรุงโอสถที่มีระดับสูงกว่าตนได้ ความบริสุทธิ์ของโอสถจะขึ้นอยู่คุณภาพของสมุนไพรและความสามารถในการปรุงของผู้ปรุง และที่สำคัญที่สุด

ผู้ที่จะสามารถเป็นผู้ปรุงโอสถได้นั้นจำเป็นต้องมีคือ ธาตุไม้และไฟ และพลังจิตที่แข่งแกร่ง ในแต่ละครั้งที่เริ่มปรุงโอสถผู้ปรุงจะสูญเสียพลังรวมถึงพลังจิตไปมาก เพราะเหตุนี้ผู้ปรุงโอสถถึงมีน้อยนัก และยังเป็นตัวตนที่ได้รับความนับถืออย่างมากเลยทีเดียว

เฟิ่งเซียนที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็เข้าใจ ว่าเหตุใดโลกนี้ถึงยึดติดกับผู้แข็งแกร่งนัก ผู้แข็งแกร่งย่อมได้รับการนับถือ ผู้ที่อ่อนแอก็เป็นได้แค่มดตัวน้อยที่รอวันโดนกำจัดทิ้งเพียงแค่นั้น

หลังจากศึกษาระดับต่างๆ แล้ว เฟิ่งเซียนจึงเริ่มศึกษาการใช้พลังธาตุต่างๆ ในทันที

********

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!