แทคกับทานตะวันเคยพบกันมาก่อน หากจะให้เล่า... มันก็นานมาแล้วตั้งแต่ตอนที่พวกเขาทั้งสองคนยังเป็นแค่เด็กวัยประถม
หลังจากที่ปู่ของทานตะวันเสียชีวิต ครอบครัวของเธอก็ได้ไปกู้เงินกับเจ้าสัวทองคำเพื่อนำมาปรับปรุงบ้าน ร้านอาหาร และซื้อรถกะบะเพื่อใช้ขนของ ด้วยความที่เงินมันต้องหมุนทุกวันทำให้ไม่สามารถหามาจ่ายดอกเบี้ยได้ทันเวลา ผลัดผ่อนอยู่อย่างนั้นหลายเดือน
แทนที่จะส่งคนมาตามหนี้เช่นทุกที เจ้าสัวที่ตอนนั้นยังหนุ่มแน่นกลับเดินทางมาด้วยตัวเองพร้อมกับลูกชายคนโตและคนรอง พูดคุยว่าจะเอายังไงต่อไปหากไม่ทำตามที่สัญญาเขียนไว้ก็คงต้องยึดบ้านและร้านอาหาร
เด็กทั้งสองทำได้แค่นั่งฟังเงียบๆ มีมองหน้ากันบ้างตามประสารุ่นราวคราวเดียวกัน
ณ ตอนนั้นไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่นที่ว่าถ้าหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยไม่ได้ภายในสองสัปดาห์จะให้คนมารับตัวลูกสาวไปขัดดอก
ทานตะวันไม่รู้หรอกคำว่าขัดดอกคืออะไร รู้แค่ว่าพ่อกับแม่เครียดมาก สถานการณ์สุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก ท่านเจ้าสัวเองก็พูดจริงทำจริง เห็นหลายบ้านแล้วที่ลูกหลานถูกส่งไปทำงานขัดดอก
จากร้านอาหารไทยติดแอร์แปรเปลี่ยนเป็นร้านขายข้าวแกงแบบเปิด แต่เหมือนมาถูกทางเพราะลูกค้าไหลมาเทมาจนน่าตกใจ พ่อจึงใช้โอกาสนี้เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเพิ่มและมีข้าวมันไก่เข้ามาในตอนหลัง
ซึ่งมีเงินพอจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นอีกนิดหน่อย แต่ก็ยังเป็นหนี้เขาอยู่ กว่าจะใช้หมดก็ตอนที่ทานตะวันอายุสิบห้า เพิ่งเข้าใจด้วยว่าขัดดอกคืออะไร เธอโล่งใจแบบสุดๆที่ครอบครัวไม่ต้องเป็นหนี้อีกต่อไปแล้ว
ถึงอย่างนั้นโชคชะตาก็ยังเล่นตลกกับชีวิตของเธออยู่เรื่อยๆ ขึ้นมอปลายเธอสอบได้ทุนจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังซึ่งมารู้ทีหลังว่าเจ้าสัวทองคำเป็นเจ้าของทุนนั้น แถมลูกชายที่รุ่นราวคราวเดียวกันยังเรียนอยู่โรงเรียนนี้อีกต่างหาก
ด้วยความอายุเท่ากันกับลูกชายคนรอง ทุกช่วงเวลาของมอปลายก็จะได้เห็น ได้ยิน และรับรู้ตลอดมาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เขากับแก๊งเพื่อนของเขาก่อวีรกรรมอะไรไว้บ้าง ต่อยตียังพอว่าแต่นี่เล่นปล่อยเงินกู้ในโรงเรียน ใครไม่ใช้หนี้ก็ลากไปตี แบบนี้จะไม่ให้เธอกลัวได้ยังไง
เจริญรอยตามพ่อมาเสียขนาดนั้น!
แฮ่ม!
สวัสดีวันอาทิตย์!
ขณะนี้เป็นเวลาเกือบจะห้าทุ่ม ทานตะวันอยากจะร้องไห้รอบที่ล้านเพราะต้องไปรับคุณเจ้าหนี้ที่ผับ
เวลานี้เธอจะออกไปได้ยังไง! พ่อแม่ไม่ให้แน่!
แต่ถ้าแอบล่ะก็นะ... น่าจะได้ละมั้ง
ร่างสมส่วนค่อยๆย่องลงบันได ปกติเวลานี้พ่อกับแม่น่าจะเข้านอนกันแล้ว แต่ที่ไหนได้ทั้งสองคนยังนั่งดูละครกันอยู่เลย อยากจะร้องไห้รอบที่ล้านอีกหน!
ถึงอย่างนั้นมันก็ยังพอมีทางอื่นให้ไปได้อยู่ แอบย่องออกทางด้านหลังครัวเป็นไง มอเตอร์ไซค์ก็ต้องเข็นเอา สตาร์ทปุ๊บคนในบ้านรู้ปั๊บแน่นอน
หลังจากเป็นหนี้ชีวิตลำบากขึ้นแบบสามร้อยเปอร์เซ็นต์ ขี่รถไปน้ำตาไหลพราก ชอกช้ำระกำใจเหลือเกิน...
ผับชื่อดังอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย เจ้าของไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน เพื่อนคุณเขาที่ชื่อจอชยังไงล่ะ
ทานตะวันเดินวนอยู่ด้านหน้าไม่กล้าเข้าไปด้านใน มือก็กดพิมพ์ข้อความส่งให้อีกฝ่ายรู้ว่ามาถึงแล้ว แน่นอนว่าชีวิตลูกหนี้มันไม่ง่าย นอกจากอีกฝ่ายจะไม่ออกมาแล้วยังสั่งให้เธอเข้าไปรับถึงด้านใน
สุดท้ายขัดอะไรไม่ได้ กลั้นใจเดินเข้าไป เธอไม่ชอบสถานที่แบบนี้เลยจริงๆ ทั้งผู้คน เสียงเพลง ของมึนเมา และการถูกแตะเนื้อต้องตัว หรือไม่ก็พวกสายตาที่จับจ้องอย่างจาบจ้วง ถึงไม่ใช่หญิงสาวสวยหุ่นดีก็ตามที
เอ่ยบอกพนักงานว่ามาพบใครพร้อมขอให้เขานำทางให้ เดินขึ้นบันไดมายังชั้นบนสุด ซึ่งเป็นทั้งดาดฟ้าและห้องทำงาน
พนักงานหญิงท่าทางใจดีเคาะประตูก่อนเปิดเข้าไปรายงานชายผู้เป็นเจ้านาย พออีกฝ่ายอนุญาตร่างสมส่วนจึงเดินเข้าไป ปะทะกับสายตาหลายคู่รวมถึงคุณเจ้าหนี้ที่นั่งไขว่ห้างแขนข้างหนึ่งพาดโซฟาไว้ในขณะที่อีกข้างคีบบุหรี่ยกขึ้นดูด
"ดูซิใครมาเอ่ย" จอชพูดขึ้นพลางยิ้มสนุก
ทานตะวันไม่รู้จะทำหน้ายังไงนอกจากยิ้มแห้ง ตัวค่อยๆลีบเล็กลงด้วยความกลัว
"นั่งก่อนสิ" เสียงทุ้มดุของแทคเอ่ยบอกพลางส่งสัญญาณให้รู้ว่าเธอต้องนั่งตรงไหน
ภายในห้องทำงานเงียบเฉียบราวกับไม่มีคนอยู่ทั้งที่ก็นั่งกันเต็มห้องครบองค์ประชุมขนาดนี้ ร่างที่กำลังเล็กลีบกลืนน้ำลายแล้วค่อยๆขยับเดินไปนั่งข้างๆคุณเจ้าหนี้ที่ตอนนี้ใบหน้าเรียบนิ่งเสียยิ่งกว่าแผ่นกระดาน
พอนั่งลงภาพที่เห็นมันก็จะคลายกับเธอกำลังถูกเขาโอบไหล่ ทานตะวันพยายามนั่งหลังตรง โซฟายาวไม่ได้มีแค่เธอกับเขายังมีเฉียงนั่งอยู่ด้วยอีกคน โซฟาเล็กด้านขวาติดกับโต๊ะทำงานคือจอชส่วนด้านซ้ายคือทีปต์
"กินอะไรหน่อยไหม เดี๋ยวให้คนเอาขึ้นมาให้" จอชที่ในฐานะเป็นเจ้าของเอ่ยถาม เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบไปก็กว่านี้
ทานตะวันส่ายหน้าตอบ อยากกลับบ้านมากกว่า นี่ก็มารับถึงที่แต่คนข้างๆไม่คิดจะลุกเลยสักนิด หาเรื่องแกล้งกันอยู่นั่นแหละ
"ไม่ต้องกลัว คนกันเองทั้งนั้น" จอชยิ้มขำ จะว่าเอ็นดูก็คงใช่ ปกติไม่เคยสนใจว่าเพื่อนจะทำอะไรกับใครที่ไหน แต่กับคนนี้เพื่อนมันแปลกมาตั้งแต่แรก ผิดวิสัยอย่างที่เคยเป็น
"คนกันเองก็แย่ละ" เฉียงปรายตามองคนพูด ดูก็รู้ว่าคนฟังหาได้เห็นด้วย เอาอะไรมาคนกันเองก่อน
"แหมมมม ของเพื่อนก็เหมือนของเรา..."
"ก็แย่ละ" คราวนี้เป็นคนที่เอาแต่นั่งพ่นควันบุหรี่พูดขึ้นบ้าง สายตาพิฆาตปาดมองคนพูดอย่างเย็นชา ซึ่งรู้กันว่าของเพื่อนก็เหมือนกับของเรานั้นมักใช้ได้ในกรณีไหนและกรณีไหนที่ใช้ไม่ได้บ้าง
"กวนมากเข้าเดี๋ยวได้โดนจริงๆ" ทีปต์ว่า
"ล้อเล่นค้าบ เห็นบรรยากาศมันตึงเลยช่วยให้ครื้นเครง" จอชยกสองมือยอมแพ้
"จะกลับก็กลับ ดึกมากแล้ว" เฉียงหันบอกเพื่อน ตัวเองก็จะกลับแล้วเหมือนกัน
ทานตะวันเองก็อยากกลับแต่คนข้างๆยังไม่มีทีท่าว่าจะลุก ทั้งที่บอกให้มารับแท้ๆ ดึกมากมันยิ่งกลับลำบากนะคะคุณ
"กลับเลยไหมคะ" เธอตัดสินใจเอ่ยถามเสียงเบา
แทคทิ้งก้นบุหรี่ลงที่เขี่ยก่อนลุกขึ้นยืน เขาวางมือไว้บนหัวของอีกคนเพื่อบอกให้เธอรู้ว่าจะกลับแล้ว ทานตะวันเด้งตัวลุกขึ้นยืน ในใจลิงโลดเพราะจะได้กลับบ้านไปนอนเสียที อย่าลืมนะว่าพรุ่งนี้มีเรียน
ร่างสมส่วนเดินตามร่างสูงใหญ่ออกมาทางด้านหลังซึ่งเป็นลานจอดรถสำหรับวีไอพี
"มามอเตอร์ไซค์ใช่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถาม
"ค่ะ"
"งั้นจอดไว้ที่นี่ก่อน"
ทานตะวันเข้าใจว่าให้ขับรถไปส่งอีกฝ่ายที่คอนโดก่อน จากนั้นตัวเองค่อยวนกลับมาเอามอเตอร์ไซค์ที่นี่แล้วถึงกลับบ้านนอนได้
"เดี๋ยวให้คนเอาไปส่งที่บ้าน"
"อะ! อ๋อ... ค่ะ"
ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องวนไปวนมา ทานตะวันยกยิ้มโล่งใจอย่างลืมตัว รู้อีกทีก็มีสายตาคมดุจ้องมองมา เธอเลยยิ้มแห้งๆเพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไง
"ยังไงซะเธอก็เป็นผู้หญิง" จะให้มาตะลอนตอนกลางคืนคนเดียวมันก็ใช่เรื่อง เขาไม่ใช่เจ้าหนี้ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น
กว่าจะผ่านไปแต่ละวันทำเอาทานตะวันแทบขาดใจ มานั่งไล่นับดูเพิ่งผ่านไปแค่สัปดาห์กว่าๆเองกับการเป็นเบ๊ของใครของบางคน
ยังเหลือตั้งอีกสองเดือนกับอีกสองสัปดาห์กว่าจะสิ้นสุดทางสายนี้ ต้องเสียน้ำตาอีกกี่ลิตรกันถึงจะพอใจ! ว่าไปนั่น...
เหมือนว่าพักนี้เพื่อนอีกสามคนจะยุ่งจนไม่มีเวลาเหลือมาพบหน้ากัน ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว กับทานตะวันเองก็หัวหมุนไม่แพ้ใคร
ไม่แปลกหรอกที่คนเราจะผูกติดชิวิตไว้กับใครสักคน แต่สำหรับทานตะวันต้องไม่ใช่กับคุณเจ้าหนี้จอมดุที่วันๆสรรหาแต่เรื่องมาให้เธอทำ
อย่างเช่นตอนนี้ยังไงล่ะ
"เด็กคนนี้เหรอที่พ่อบอกว่าช่วงนี้ลูกติดเขามาก"
"ใช่ที่ไหนล่ะครับแม่"
"แต่ถึงขั้นพามาด้วยแม่ว่าไม่ธรรมดาแล้วนะ"
"เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อนน่ะครับ"
ทานตะวันมองซ้ายทีขวาที สงสัยว่าทำไมตัวเองจะต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย ทั้งที่ขอรอในรถแล้วแท้ๆ
"หนูชื่ออะไรจ๊ะ" คุยกับลูกชายแล้วไม่ได้ดั่งใจจึงหันมาคุยกับเธอแทน นอกจากยิ้มสู้แล้วก็ไม่รู้จะทำตัวยังไง
"ทานตะวันค่ะ เรียกสั้นๆว่าตะวันก็ได้"
"ชื่อน่ารัก หน้าตาก็น่ารักนะเนี้ย"
นานๆทีจะมีคนชมก็แอบรู้สึกเขินอยู่เหมือนกัน ยกมือขึ้นเกาแก้มพลางอมยิ้มเอียงอาย ขณะที่สายตาอีกคู่หนึ่งมองอย่างไม่เห็นด้วย
"ไม่เห็นจะน่ารักเลย" คนปากร้ายว่า เย็นชาถึงขนาดโดนแม่ตีก็ไม่สะทกสะท้าน ทานตะวันเองก็ไม่ได้รู้สึกแย่หรืออะไรกับคำพูดนั้นเพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้น่ารักอย่างที่เขาว่าจริงๆ
"แหะๆ ก็จริงค่ะ"
"ไม่ต้องไปฟังคนนิสัยไม่ดีพูดนะลูก หนูน่ารักค่ะเชื่อป้า"
ทำเพียงแค่ยิ้มรับแต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกดีมาก คุณแม่ของคุณเจ้าหนี้ใจดีกว่าเยอะเลย
วันพุธกลางสัปดาห์ในที่สุดแทคก็หาเวลามาเจอคุณแม่ได้เสียที โดยมีเบ๊ประจำตัวอย่างทานตะวันคอยขับรถให้ นี่ก็สั่งให้เข้ามานั่งในร้านอาหารด้วยกัน
"เอาล่ะๆ สั่งอาหารกันเถอะ หนูตะวันอยากทานอะไรสั่งตามสบายเลยนะลูก"
แน่นอนเรื่องกินทานตะวันเอนจอยสุดๆ หนึ่งในข้อดีของการเป็นเบ๊ก็คือเรื่องกินนี่แหละ คุณเจ้าหนี้ไม่เคยใช้งานแบบไม่ลืมหูลืมตาถึงเวลากินก็ให้กินอย่างดี
ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟก็นั่งฟังสองแม่ลูกคุยกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องส่วนตัวทั่วไป คุยเรื่องงานบ้างนิดหน่อย กระทั่งอาหารมาก็ทานไปด้วยคุยไปด้วย
เสร็จจากตรงนี้ก็ไปต่อที่ห้างสรรพสินค้า ทานตะวันเดินตามคนทั้งคนสองช่วยถือของที่คุณลูกชายซื้อให้คุณแม่สลับกับที่คุณแม่ซื้อให้คุณลูกชาย รักใคร่กลมเกลียวกันมากทีเดียว
ใช้เวลาอยู่ที่ร้านเครื่องเพชรนานพอสมควร นานจนทานตะวันเผลอนั่งหลับแล้วเอนซบแทคที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างเบื่อหน่าย
นอกจากจะไม่ว่าแล้วยังปล่อยเธอหลับซบอยู่อย่างนั้น แม่น่ะชอบพวกเครื่องประดับอย่างเพชรมากที่สุด ให้ดูทั้งวันยังได้ แต่กับคนอื่นคือเบื่อและอยากออกไปจากที่นี่เต็มที
"อีกนานแค่ไหนครับแม่" เสียงทุ้มเอ่ยถาม
"อะ อ้าว! ขอโทษทีลูก แม่ดูเพลินไปหน่อย ลูกพาหนูตะวันกลับเลยก็ได้ ดูสิขนาดหลับยังน่ารัก"
ดูท่าว่าคุณมายาพรจะเอ็นดูหนูทานตะวันมากถึงได้ให้จี้เพชรรูปดอกทานตะวันเป็นของขวัญ แทครับถุงมาถือไว้ก่อนจะปลุกอีกคว
"กลับกันเถอะ"
คนง่วงงุนเดินตามร่างสูงใหญ่ออกมาจากร้าน จนมาถึงรถเพิ่งสังเกตเห็นว่าไม่มีคุณแม่ของคุณเจ้าหนี้แล้ว ท้องฟ้าด้านนอกเองก็เริ่มมืด สงสัยจะแยกกลับไปแล้วแน่ๆ
ลูกหนี้คนดีขับรถมาส่งคุณเจ้าหนี้ถึงคอนโด เลิกขี่มอเตอร์ไซค์ชั่วคราวเพราะต้องทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้กับอีกคน แถมยังต้องกลับบ้านเย็นทุกวัน
"เอาไปสิ" แทคยื่นถุงเครื่องประดับให้หญิงสาวที่เตรียมจะแยกกลับบ้านหลังจากขับรถมาจอดในโซนวีไอพีของคอนโด
"คืออะไรเหรอคะ"
"สร้อยคอ แม่ฉันซื้อให้เธอ"
"อ่อ..."
รับมาถือไว้ แบรนด์ร้านเพชรชื่อดังหลาอยู่หน้าถุงขนาดนี้ ราคาคงไม่เบา ทันใดนั้นความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาในหัว
"ขายน่าจะได้หลายตังค์" แล้วเอาเงินที่ได้มาใช้หนี้
"คิดงั้นจริงดิ?"
เสียงทุ้มดุฉุดรั้งให้คนที่กำลังก้าวขาเข้าด้านมืดได้สติ ทันทีที่รู้สึกตัวใบหน้ากลมเหรอหราเบิกตาตกใจไม่คิดว่าเขาจะได้ยินและไม่คิดว่าตัวเองจะมีความคิดเช่นนี้
การเป็นหนี้ทำให้คนเราจนตรอกได้ถึงขนาดนั้นเลย
"ขอโทษค่ะ แต่คุณไม่ต้องห่วงตะวันไม่ทำแบบนั้นแน่นอน แบบว่า... แค่เผลอคิดชั่ววูบไปน่ะ"
กลัวอีกฝ่ายโมโหเหลือเกิน นี่ยืนเงียบจ้องมาที่เธอหลายนาทีไม่ละไปไหนเสียที ก็นะ...เป็นของที่คุณแม่ของคุณเขาซื้อให้ด้วยตัวเอง ยังจะมีหน้ามามีความคิดแย่ๆแบบนี้อีก
ทานตะวันคนขี้ขลาดเบะปากพยายามกลั้นความเสียใจเอาไว้อย่างสุดกำลัง น้ำตาไม่ช่วยให้อีกฝ่ายหายโกรธหรอก
พรึ่บ!
"ถึงเอาไปขายก็ไม่ได้เงินเยอะหรอก มันเป็นเศษเพชรที่เขาเอามาทำใหม่เพื่อขายในราคาที่พวกนักศึกษาเอื้อมถึง"
มือหนาวางแหมะลงบนหัวกลมๆของคนที่ใกล้จะร้องไห้เต็มที เขาไม่โกรธเธอเลยสักนิดเพราะเขาไม่ใช่คนจ่ายเงินซื้อ หรือถึงเป็นคนซื้อถ้าอีกฝ่ายจะเอาไปขายก็ตามใจ ถือว่าให้แล้วให้เลย
เสียงของคนพูดทุ้มไม่ถึงกับนุ่มแต่ความดุดันหายไป ทำให้คนฟังอย่างทานตะวันน้ำตาไหลลงอาบแก้มโดยอัตโนมัติ
แน่นอนว่าแทคปลอบคนไม่เก่งฉันใดก็ยังคงไม่พัฒนาฝีมือฉันนั้น
มือหนาที่วางอยู่บนหัวค่อยๆลูบขึ้นลงช้าๆ ครั้งที่สองแล้วนะที่ทำอีกฝ่ายร้องไห้ คนอย่างเขาไม่ต้องแคร์ก็ได้กับแค่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นเบ๊อีกต่างหาก
"พอได้แล้วน่า"
"ตะวันไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นจริงๆนะคะ"
"เออ ฉันรู้..."
ถึงจะเป็นเบ๊แต่ก็เป็นเบ๊ที่ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้
"อยู่กับฉันก็ไม่แย่เท่าไรหรอก"
เพราะเลือกเอง อนุญาตเอง ยอมเองตั้งขนาดนี้
"ฮึก คุณขึ้นไปพักเถอะค่ะ"
"เธอก็หยุดร้องซะทีสิ เดี๋ยวใครมาเห็นก็คิดว่าฉันรังแกผู้หญิงแล้วทิ้งให้อยู่คนเดียว"
"ไม่ใช่ซะหน่อย"
//
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments