ตอนที่ 1

รู้อะไรไหม เมื่อวานทานตะวันกลับบ้านมาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง พ่อแม่เรียกกินข้าวก็ไม่กิน หมกตัวอยู่ในห้องนอน เครียดด้วย กลัวด้วย ไม่อยากให้วันพรุ่งนี้มาถึง

สุดท้ายนอนไม่หลับ ตาสว่างโร่ยันเช้า ลงมาข้างล่างสภาพไร้ชีวิตชีวาสุดๆ พ่อแม่มองหน้ากันห่วงลูกสาวเพียงคนเดียวจะไม่สบาย

"ไหวไหมลูก หยุดอยู่บ้านสักวันดีไหม"

ได้ยินแบบนั้นคนมีชนักติดหลังสะดุ้งโหยง ส่ายหน้าเป็นพัลวันเมื่อรู้ว่าใครรอใช้งานอยู่ มือไม้โบกสะบัดไปมาจนแม่ต้องเป็นคนรวบจับเอาไว้

"ใจเย็นลูก แปลกๆตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มีเรื่องอะไรรึเปล่า"

"เปล่านะแม่ ไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้น ตะวันแค่เหนื่อยเรื่องเรียนนิดหน่อย"

มีพิรุธแหละแต่พ่อกับแม่ไม่อยากคาดคั้น กลัวว่าลูกจะเครียดหนักกว่าเดิม

"อ่อ... เหนื่อยก็พัก ได้แค่ไหนแค่นั้น"

"อื้อ ตะวันรู้แล้ว"

"งั้นก็กินข้าวซะจะได้มีแรง เมื่อวานเรียกก็ไม่ยอมลงมา"

ทานตะวันกินข้าวเช้าเสร็จก็รีบออกจากบ้าน ขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจที่สร้างเรื่องเอาไว้ไปมหาวิทยาลัย

เข้ามานั่งรอเพื่อนอยู่ใต้ถุนอาคาร ตามองจ้องหน้าจอโทรศัพท์แทบจะตลอดเวลาด้วยกลัวเจ้าหนี้โทรมาแล้วไม่ได้รับสายจะหาเรื่องตายเอา

"พระเจ้าช่วย! ยัยดอกไม้มาคนแรก"

พิงกี้หรือยัยสีชมพู เพื่อนสาวคนสวยประจำกลุ่มมาถึงก็ร้องทัก เพราะปกติทานตะวันถ้าไม่สายก็คนสุดท้ายของกลุ่มตลอด

"พายุเข้าแน่ๆ" มิวายล้อไปอีกหนึ่งที

ทานตะวันคนมีหนี้หาได้รู้สึกรู้สา ใบหน้าตอนนี้ซีดยิ่งกว่าไก่ต้มของพ่อเมื่อโทรศัพท์เครื่องเก่าสั่นครืนพลางขึ้นหน้าจอว่าเจ้าหนี้(ที่น่ากลัว)

"เดี๋ยวตะวันมา" ร่างสมส่วนวิ่งดุ่มๆออกไปหน้าคณะ รีบกดรับสายเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรอนาน...

(มาที่ลานจอดรถเดี๋ยวนี้)

ไม่ชอบวิ่งก็ต้องสวมวิญญาณนักวิ่ง จากหน้าคณะไปจนถึงลานจอดรถต้องวิ่งอ้อมไปด้านหลังนู้นเลย ยังไม่เริ่มงานก็เหนื่อยจนหอบแฮ่กแล้ว

ทักษกรนั่งรออยู่ในรถยนต์คันหรูซึ่งเป็นคันใหม่ที่ไม่ใช่เฟอร์รารี่ เปลี่ยนเป็นอาวดี้คันสวย เมื่อเห็นร่างสมส่วนวิ่งตลกๆมาจึงเลื่อนกระจกลงเพื่อพูดคุย

"มาเร็วดีหนิ"

ใช้เพียงหางตามอง ปล่อยให้อีกฝ่ายได้หายใจหายคอเสียหน่อยค่อยว่าต่อ

"ว่าแต่เธอเรียนคณะนี้เหรอ"

"ค่ะ"

"สาขา? ชั้นปี?"

"การบัญชี ปีสองค่ะ"

"ถึงว่าไม่เคยเห็นหน้า"

เคยเห็นสิแปลก รู้จักกันหรือก็ไม่ เขาเคยสนใจใครที่ไหน ยิ่งกับกลุ่มเพื่อนนะคบกันอยู่แค่นั้น ส่วนคนอื่นน่ะเหรอไม่เคยอยู่ในสายตา

"ชื่อล่ะ"

"ทานตะวันค่ะ เรียกตะวันเฉยๆก็ได้"

"อืม ทานตะวัน..."

เจ้าของชื่อยืนกอดกระเป๋าผ้ารอรับคำสั่ง แดดตอนเช้าใครว่าไม่ร้อนเธอขอเถียงขาดใจ เหงื่อนี่ไหลอาบหน้าไปหมดแล้ว ช่วยไม่ได้ดันเป็นคนขี้ร้อนที่เกลียดหน้าหนาวเข้าไส้

ฮืออออ อากาศอบอ้าวจนอยากร้องไห้

"ไปได้ละ"

"คะ?"

"หูมีปัญหาเหรอ เวลาฉันพูดอะไรเธอต้องตั้งใจฟัง ฉันไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆมันน่ารำคาญ"

ทานตะวันทำหน้าจะร้องไห้ เคยโดนดุแต่ไม่มีใครดุแล้วเจ็บเท่านี้มาก่อนบวกกับมีความกลัวเป็นทุนเดิม พยายามข่มอย่างสุดความสามารถแล้วจริงๆ

ทักษกรคนขี้รำคาญถอนหายใจ เปิดประตูลงจากรถเดินผ่านร่างเจี๋ยมเจี้ยมไปอย่างไร้เยื่อใย ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย

ซึ่งก็จริง... ทานตะวันไม่ใช่ผู้หญิงสวย ออกจะหน้าตาธรรมดา รูปร่างสมส่วนทั่วไปไม่ได้น่าดึงดูดอะไรเลย แต่ถ้าอยู่กับคนที่สนิทมากๆจะสดใสร่าเริง หัวเราะง่าย ยิ้มเก่ง ต่างจากสถานการณ์ตอนนี้ที่ดูขี้กลัวเหลือเกินแม่คุณ

"ไปไหนมา"

คิดเอาเองว่าเจ้าหนี้เรียกไปทำความรู้จัก พอกลับเข้ามาในตึกเพื่อนๆก็มากันครบหมดแล้ว อย่างคนที่พูดอยู่ชื่อเรนนี่ ลูกเจ้าของร้านทอง แม่ของทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน

"เห็นวิ่งหน้าตั้งออกไปสรุปคือ?" พอเรนนี่ถามแล้วไม่ได้คำตอบพิงกี้จึงถามซ้ำ

ทานตะวันไม่เคยมีความลับกับเพื่อนฝูงจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง หวังคลายความเครียดลงได้บ้าง เมื่อคืนก็นอนไม่หลับ ขืนเป็นแบบนี้มีหวังแย่แน่ๆ

"ซวยมาก บอกแล้วให้ไปแก้ชง" เทียนหอมว่า เจ้าแม่สายมูที่พยายามชักจูงเพื่อนให้มาเข้าร่วมด้วยกันแต่ไม่มีใครสนใจสักคน

"อย่างน้อยก็ดีกว่าการหาเงินเป็นแสนเป็นล้านภายในเดือนเดียวนะเว้ย" เรนนี่คิดว่าทักษกรยังมีความใจดีอยู่บ้าง

"ไอ้คนนั้นมันก็เหลือเกินจริงๆนะ ไม่รู้จะรีบไปตายห่าที่ไหน" พิงกี้หมายถึงคนขับรถส่งอาหารตัวต้นเรื่อง

ทุกคนต่างบอกให้ทานตะวันก้มหน้ายอมรับชะตากรรม แค่สามเดือนอดทนไหวอยู่แล้ว มันคงไม่เลวร้ายไปกว่านี้หรอก อย่าไปกลัว ใจดีสู้เสือเข้าไว้!

สำหรับคนอื่นมันก็แค่สามเดือนไง แต่สำหรับหญิงสาวที่ได้ยินกิตติศัพท์และเคยเห็นความโหดมากับตา... มันตั้งสามเดือนเชียวนะ! และอีกฝ่ายเองก็น่าจะกำลังอดทนกับเธออยู่เช่นกัน หมดความอดทนเมื่อไหร่เธอตายแน่

ปกติช่วงพักกวางวันจะเป็นช่วงเวลาแสนสุขสำหรับทานตะวันเสมอ หญิงสาวผู้มีความสุขกับการกินบัดนี้กำลังวิ่งหน้าตั้งไปยังลานจอดรถของคณะอีกครั้ง

ร่างสูงใหญ่ดูดีของคุณเจ้าหนี้ยืนรออยู่ข้างรถหรู ใบหน้าเรียบนิ่งมองตรงมาที่เธอ แค่นั้นก็สะท้านไปทั่วแผ่นหลัง

"มาแล้วค่ะ" หอบแฮ่กแบบไม่มีอะไรกั้น ทานตะวันเหนื่อยมาก ตามประสาคนไม่ชอบออกกำลังกาย

"ขับรถเป็นไหม"

"เป็นค่ะ"

"ดี ขับให้ที ไปที่xxx"

ทักษกรจึงโยนกุญแจรถให้ ทานตะวันรู้ว่าต้องทำยังไงจึงรีบเปิดประตูรถให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่ง จากนั้นตัวเธอก็ขึ้นมาประจำที่คนขับ

สถานที่ที่คุณเจ้าหนี้ให้ขับไปส่งนั้นคือโรงพิมพ์ เขาไปไหนเธอก็ต้องไปด้วย เดินตามเข้ามาด้านในใครเห็นต่างก็ทำหน้าขยาด

"สวัสดีครับคุณแท็ค"

เจ้าของตรงมาทักทายอย่างน้อบน้อมทั้งที่อายุมากกว่า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล

"เลยกำหนดมาเป็นอาทิตย์แล้วนะคุณกิจ ถ้าผมไม่มาคุณก็ไม่คิดจะไปหาพ่อผมที่บริษัทเลยใช่ไหม" เสียงทุ้มดุกล่าว แค่ยืนพูดเฉยๆคนฟังก็ตัวสั่นแล้ว

"ไม่ใช่นะครับ พอดีงานเข้ามาเยอะมากเลยไม่มีเวลาไปไหนเลย" อีกฝ่ายละล่ำละลักบอก

"งั้นก็คงมีเงินจ่ายหนี้พอสมควร"

"เอ่อ... ขอเวลาอีกหน่อยได้ไหมครับ เงินที่มีผมยังต้องใช้หมุนต่อ"

"คุณกิจ รู้ใช่ไหมว่าถ้าพ่อผมมาเองคุณกับโรงพิมพ์ของคุณจะเป็นยังไง อย่างน้อยก็จ่ายดอกเบี้ยมา ผมมีที่อื่นต้องไปต่อ"

ทานตะวันยืนฟังเงียบๆ มองคนนั้นทีคนนี้ที หายใจไม่ค่อยทั่วท้องเท่าไร หิวข้าวด้วย ปกติจะมีคนทำหน้าที่ทวงหนี้ไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงต้องมาทำแทน

"ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่ครับ" เจ้าของรีบวิ่งไปหลังโต๊ะทำงาน เปิดเก๊ะหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา

ทักษกรรับเงินมานับแล้วเก็บใส่ซองดังเดิม พยักหน้าพอใจแล้วหันหลังเดินออกมา แต่มิวายทิ้งท้ายไว้ว่าหาเงินไปจ่ายให้ตรงเวลา ยิ่งช้ายิ่งเลี่ยงที่โรงพิมพ์อันเป็นที่รักจะถูกยึด

"แวะหาอะไรกินก่อนแล้วกัน" เขาสั่งหลังจากกลับมาขึ้นรถกันแล้วเรียบร้อย

"ให้ไปที่ไหนดีคะ"

"ห้างxxxแล้วกันทางผ่านพอดี"

เบ๊คนดีขับรถตรงไปยังห้างสรรพสินค้าที่ว่า ใช้เวลาไม่นานก็มาถึง คุณเขาเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นเป็นมื้อกลางวัน ทานตะวันนั่งรออยู่หน้าร้าน คร่ำครวญชีวิตในใจ ท้องก็ร้องหิวช่างน่าสงสารอะไรอย่างนี้

แต่แล้วอยู่ๆคนที่เพิ่งเดินเข้าไปได้เดินวนกลับออกมาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ ทานตะวันเห็นก็รีบเด้งตัวยืนขึ้นทันที มีอะไรทำให้เขาไม่พอใจกันนะ

"เกิดอะไรขึ้นคะ"

"ทำไมไม่เดินตามเข้าไป"

อ้าว... ใครมันจะรู้ว่าให้เดินตามเข้าไปด้วย หญิงสาวหน้าเหวอขณะที่คนตรงหน้าเริ่มมีน้ำโหนิดๆ

"ก็คุณไม่ได้บอก"

"แล้วต้องให้ฉันบอกเธอทุกอย่างเลยหรือไง!"

ทานตะวันอยากร้องไห้ ย่นคอหนีเมื่ออีกฝ่ายกึ่งว่ากึ่งตะคอก คนเดินผ่านไปมาเขาก็มองกันใหญ่ ไม่รู้ต้องทำยังไงเลยเอ่ยขอโทษไป

"ไป! เข้าไป"

คนโดนดุก้มหน้าเดินตามต้อยๆเข้าไปในร้าน จิตใจห่อเหี่ยวแบบอยากกลับบ้านไปฟ้องแม่

"อยากกินอะไรก็สั่ง"

ไหนๆก็หิวมาก ทานตะวันสั่งของที่อยากกินโดยไม่สนใจราคา ถือเป็นการเอาคืนเล็กๆที่หาเรื่องดุเธอตั้งแต่เช้ายันตอนนี้

เวลาต่อมา

อิ่มหนำสำราญเบิกบานใจ เงินไม่กระเด็นออกจากกระเป๋าสักบาท ขณะที่คนเลี้ยงกินเพียงข้าวหน้าเนื้อ ทงคัตสึ แล้วก็ซุปหัวไชเท้า

"ตอนบ่ายมีเรียนอีกไหม" เขาถามขณะเดินกลับไปที่รถ

"มีตอนบ่ายสองค่ะ" เลิกประมาณบ่ายสี่โมง

"น่าจะทัน เดี๋ยวไปกันต่ออีกที่ก็เสร็จ"

"ที่ไหนคะ"

ทักษกรบอกสถานที่ที่ต้องไป งานตามหนี้หรือทวงหนี้ถ้าเป็นเจ้าใหญ่ๆพ่อจะให้ลูกน้องคนสนิททำ แต่ช่วงนี้ลูกน้องที่ว่าต้องเข้าผ่าตัดลำไส้และพักฟื้นอีกหลายสัปดาห์ พ่อเลยให้เขาทำหน้าที่นี้แทนไปก่อน ส่วนเจ้าเล็กๆจะมีลูกน้องคนอื่นคอยดูแล

บริษัทเงินกู้รายใหญ่ทำอย่างถูกกฏหมายก็จริงแต่ไม่ได้ใสสะอาดขนาดนั้น เบื้องหลังมีให้กู้แบบดอกเบี้ยสูงอยู่ด้วย จ่ายไหวก็ดีจ่ายไม่ไหวก็ยึดทรัพย์ขายเอาเงินเข้ากระเป๋า แถมยังปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์อย่างคอนโด บ้าน อาคารพาณิชย์ อาคารสำนักงาน ตึกแถว และยังให้เช่าที่ดินทำนั่นทำนี่ แค่ฝั่งพ่อก็ทำเงินได้ไม่รู้ตั้งเท่าไร ยังไม่นับรวมฝั่งแม่ที่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชน เจ้าของบริษัทผลิตเครื่องมือทางการแพทย์

ทานตะวันดูกลายเป็นมดตัวเล็กๆไปเลย ใหญ่โตออกปานนั้นจะเอาอะไรสู้ แค่เงินในกระเป๋าก็ต่างกันแล้ว

กลับมาทันเข้าคลาส ลูกหนี้ผู้น่าสงสารถูกเฉดหัวลงจากรถเพื่อวิ่งขึ้นตึกไปเรียน ส่วนเจ้าหนี้เองก็มีเรียนเช่นกัน วันนี้น่าจะไม่มีอะไรต้องใช้ยัยนั่นอีกแล้วล่ะมั้ง

ร่างสูงใหญ่ดูดีเดินเข้ามาในห้องเรียน เพื่อนฝูงต่างพากันพยักหน้าทักทาย เป็นอันรู้กันว่ามันกลับมาแล้ว

"เป็นไง เบ๊ส่วนตัวทำงานได้ดีไหม" จอชถามพลางยิ้มล้อเลียนเพราะเห็นสีหน้าของเพื่อนไม่สบอารมณ์

"ก็ต้องดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ร้อยวันพันปีมันเคยให้โอกาสใครที่ไหน ยิ่งทำลูกรักเป็นรอยยาวขนาดนั้นมึงเห็นมันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไหมล่ะ" ทีปต์แทบไม่อยากเชื่อสายตาด้วยซ้ำ คนอารมณ์ร้อนที่พยายามไม่อารมณ์ร้อนเพียงเพราะไม่อยากให้ใครบางคนกลัว

แต่ก็กลัวอยู่ดี...

ตลกชะมัด

"ทำเขาร้องไห้ไปกี่ครั้งแล้ววันนี้" เฉียงออกจะเห็นใจอยู่หน่อยๆ ...เห็นใจใครบางคนน่ะนะ

"พวกมึงหุบปากไปเลย ไม่ร้องไห้แต่ก็กลัวกูตลอดเวลา ห่าเอ๊ย! กวนอารมณ์ชิบหาย"

ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เพื่อนร่วมชั้นเรียนต่างก็มองอย่างหวาดๆ มองจากคนภายนอกรู้สึกว่าหัวเราะอะไรกันวะน่ากลัวชิบหายเลย เหมือนกำลังวางแผนจะกินหัวใครสักคน

"มึงมันไม่อ่อนโยน" จอชขำจนปวดท้อง

"ว่าแต่กู มึงดูตัวเองด้วย"

เป็นการรวมตัวของความเลวร้ายอย่างไม่น่าให้อภัย หากจะถามถึงจุดเริ่มต้นมันก็คงมมาจากเหล่าพ่อแม่ของพวกเขานั่นแหละที่เป็นเพื่อนกันรักกัน ความหายนะมันก็เลยเริ่มมาจากจุดนั้นแหละ

//

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!