เพียงช่วยพริบตา เวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึงตอนเย็นเสียแล้ว
ตอนนี้ผมกับอลิซกำลังนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศที่แสนผ่อนคลายในร้านคาเฟ่กันสองต่อสอง ใช่สองต่อสองแบบจริง ๆ เลยละเนื่องจากทางฝั่งนั้นไม่ต้องการให้เรื่องนี้ไปถึงหูของคนในตระกูล เธอจึงลงทุนเหมาซื้อร้านแห่งนี้ด้วยเงินที่สูงเกินกว่าที่จำเป็นทำให้คาเฟ่แห่งนี้นั้นกลายเป็นของคุณเธอไปโดยปริยาย เรียกว่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองสุด ๆ เลยละ แต่ถึงจะสิ้นเปลืองยังไงเรื่องเงินที่เธอจ่ายออกไปแทบจะไม่ระคายผิวของเธอแม้แต่นิดเดียว
ก็อีกฝั่งเป็นถึงตระกูลของฮันเตอร์ที่ติดหนึ่งในสิบตระกูลฮันเตอร์ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกละนะ ชักสงสารพระเอกแล้วสิ อย่างที่ผมเคยบอกไปเจ้าซากาจินะมันเป็นพระเอกฮาเร็มของเรื่องราวที่แฟนตาซี รอมคอม ฮาเร็ม คอมเมดี้ และต่อสู้ ดังนั้น การที่เขาจะคบกับนางเอกหลักได้นั้นจะต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ทั้งคู่หมั้นที่ชั่วร้าย คนรับใช้คนสนิทที่ต้องการขัดขวางความรักของทั้งสอง ตัวร้าย และลาสบอสของเรื่อง
หากอีกฝ่ายไม่สามารถผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้สุดท้ายก็คงต้องจากลากันตลอดกัน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีคำว่า ถ้า หรือ หาก นั่นก็เพราะเจ้าซากาจิมันต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน เจ้าหมอนั่นนะเป็นตัวเอกที่ยิ่งพบกับอุปสรรคก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งหากได้รับบัฟจากเหล่านางเอกในฮาเร็มแล้วด้วย เจ้าหมอนี่ก็จะไร้เทียมทานทันที หมอนั่นจะกลายเป็นตัวตนที่ไม่อาจจะมองข้ามได้อีกต่อไป
แต่นั่นก็ยังคงอีกยาวนานเลยละกว่าหมอนั่นจะไปถึงจุดนั้นได้ ดังนั้น ตัวประกอบแบบผมก็ควรโฟกัสกับการพูดคุยกับอลิซจะดีกว่า...นั่นจึงทำให้พวกเราในตอนนี้กำลังแลกเปลี่ยนข้อมูลของการทำอาหาร ถึงผมจะเป็นคนที่พูดอยู่คนเดียวก็เถอะ
“ เข้าใจรึเปล่า? ”
“ พอจะเข้าใจแล้วค่ะ...แต่เหลือเชื่อเลยนะคะ ”
“ เรื่องอะไรเหรอครับ? ”
ผมตอบกลับเธอพร้อมกับดูดมิลด์เชคปั่นในแก้วของตัวเองอย่างมีความสุขถึงแม้จะมีสายตาของอลิซจ้องมองอยู่ก็เถอะ ทว่ามันก็ไม่เปลี่ยนรสชาติของมิลด์เชคแต่อย่างใด อร่อยใช้ได้เลยนะเนี่ย
“ ที่นายรู้เรื่องการใช้วัตถุดิบพวกนี้เป็นอย่างดีเลยนะ แม้แต่เชฟระดับโลกยังทำเรื่องแบบเธอได้ยากเลย ”
นี่เธอกำลังชมผมอยู่รึเปล่า? แต่ว่ามันไม่เกินจริงไปหน่อยเหรอ เมนูของผมก็ออกจะง่ายแท้ ๆ อีกทั้งวัตถุดิบยังหาได้ง่าย แต่เธอกลับชมผมว่าเก่งกว่าเชฟระดับโลกซะอย่างนั้น ดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อสุด ๆ ในฐานะตัวประกอบละนะ
“ ชมเกินไปแล้ว...ถึงจะเป็นการแกล้งก็เถอะ ”
“ นายรู้ด้วยเหรอว่าฉันแกล้งชมนะ ”
“ รู้สิครับ ไม่ใช่เรื่องยากเสียหน่อย ”
หลังจากหยอกล้อกันสักพักพวกผมก็ได้ตัดสินใจกลับบ้านของแต่ละคนทันที ทำยังไงได้ละในเมื่อคุยธุระกันเสร็จแล้วก็ต้องแยกย้ายกันกลับบ้านสิถึงจะถูก แม้ในความเป็นจริงผมไม่ต้องรีบกลับก็ได้
ในเมื่อที่บ้านไม่มีใครรอให้ผมกลับอยู่แล้ว พ่อแม่ก็ทิ้งผมกับน้องสาวเอาไว้แค่สองคนก่อนที่จะพากันไปทำงานอยู่ต่างประเทศแบบไม่ดูดำดูดีอะไรเลย เรียกได้เลยว่าเป็นพวกที่ไร้ความรับผิดชอบแบบสุด ๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังดีที่พวกเขาไม่ลืมส่งเงินมาให้พวกเราสองพี่น้องละนะ ส่วนน้องสาวของผมเธอนั้นเรียกว่าแทบจะย้ายไปอยู่ในบ้านของซากาจิแล้วด้วยซ้ำ ไม่สิ พูดให้ถูกคือเก็บของย้ายออกไปแล้วต่างหาก ตอนนี้ในบ้านหลังนั้นนะมีผมอาศัยอยู่แค่คนเดียวเท่านั้นแหละ
สงสัยสินะว่าผมเคยโทรบอกพ่อแม่เรื่องนี้รึเปล่า?
คำตอบผมเคยแล้วแต่พวกท่านไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว หนำซ้ำผมก็เคยห้ามปรามเธอแล้วเหมือนกันแต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ จนหลัง ๆ ผมก็เลิกสนใจเธอไปแล้วเหมือนกันเรียกว่า สัมพันธ์พี่น้องของพวกเราแทบจะตัดขาดกันอย่างสมบูรณ์ เธอยุ่งกับผม ผมไม่ยุ่งกับเธอ ชีวิตนี้พวกเราแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปแล้ว แต่ที่น่าตลกคืออะไรรู้มั้ย?
เรื่องตลกที่ว่าก็คือแม้ผมจะพยายามเมินเฉยน้องสาวของตัวเองมากแค่ไหน ความคิดถึงที่ผมมีต่อเธอก็มากยิ่งขึ้นเหมือนกัน ในคืนที่ผมคิดถึงเธอผมแทบจะไม่หลับไม่นอนเลยด้วยซ้ำ ผมได้แต่นอนกกรูปครอบครัวของตัวเองแล้วร้องไห้ออกมาอยู่แบบนั้นจนกว่าวันถัดไปจะมาถึง
น่าสมเพชดีมั้ยละ?
“ กลับมาแล้ว ”
ไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มีกลิ่นของอาหารที่หอมกรุ่น มีเพียงแต่ความเงียบเชียบ และความปวดร้าวที่อยู่ภายในบ้านแห่งนี้ มันช่างต่างกับเมื่อสามปีที่(ช่วงม.ต้น)แล้วเหลือเกิน ช่วงเวลาเพียงไม่นานความทรงจำสามปีที่แสนสุขของผมกลายเป็นความทรงจำที่ทรมาณที่สุดจนยากจะรับไหว ในช่วงเดือนแรกผมนั้นคิดจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำไป แต่สุดท้ายแล้วผมนั้นก็ไม่ตายอีกทั้งยังตื่นรู้อีกต่างหาก
ตื่นรู้ในฐานะตัวประกอบที่ต้องถูกเหยียบย่ำนะน่ะ
“ ข้าวเย็นเอาเป็นพิซซ่าก็แล้วกัน ”
ผมกล่าวออกมาเพราะยังไงซะวันนี้ก็เป็นวันศุกร์ อีกทั้งยังไม่มีใครคอยคุมด้วย ผมจึงมักปล่อยตัวเป็นประจำในช่วงสามวันนี้ ซึ่งกิจกรรมที่ผมทำส่วนใหญ่ ถ้าไม่เล่นเกม ก็ดูอนิเมะ หรือไม่ก็นั่งมองรูปครอบครัว รูปน้องสาว รูปเพื่อนสนิท รูปเพื่อนสมัยเด็กที่เคยถ่ายกันเอาไว้ แล้วร้องไห้ออกมาอย่างน่าสมเพช
“ โซดาหมดแล้วอย่างนั้นเหรอ? ”
ผมเปิดตู้เย็นเช็คเสบียงที่ผมตุนเอาไว้ก่อนช่วงหยุดสุดสัปดาห์ ปรากฏว่าโซดารสดปรดของผมมันหมดเสียแล้ว แม้ในความเป็นจริงผมอยากจะกินเบียร์ก็ตามที่เถอะ แต่ทว่าด้วยความกลัวร่างกายทรุดหหนักเพราะขาดการดูแล ผมจึงเลือกที่จะกินโซดาแทนเบียร์ละนะ
อะไรเล่า? คิดว่าผมปอดแหกไม่กล้าดื่มเบียร์รึไงกัน ผมนะอยากดื่มมันมากเลยนะแต่ว่าเจ้าพวกดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลายน่ะพอเข้าปากปุ๊บ นิสัยคนกินก็เปลี่ยนไปทันที ถึงจะเจ็บช้ำมากแค่ไหนผมก็ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นหรอกนะ
แอดดด แอดดด เสียงกริ่งหนาบ้านที่ลากยาวได้ดังขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็ได้แต่แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาเมื่อพบว่าพิซซ่าที่ผมสั่งไปมาส่งแล้ว ปกติมันต้องใช้เวลามากกว่านี้ละนะ แต่ว่าวันนี้ไม่ค่อยมีคนที่ร้านรึเปล่านะถึงทำให้ส่งเร็วแบบนี้ ผมจึงเดินออกไปเปิดประตูทันที แต่ทว่าภาพเบื้องหน้าผมนั้นทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของผมเบิกตากว้างออกมาด้วยความตกใจ
“ พิ พิซ พิซซ่ามาส่งแล้วค่า...ขอโทษที่ทำให้คุณลูกค้าที่เป็นเพื่อนคนแรกของดิฉันต้องรอคอยนะคะ ”
“ทำไม? ”
ในหัวของผมมีแต่คำว่าทำไมอยู่ตลอดเวลา ทำไมคุณนางเอกหลักถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละ อีกทั้งยังใส่ชุดพนักงานร้านพิซซ่าด้วย อีกทั้งด้านหลังก็ยังมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่วางอยู่ด้วย สีหน้าของเธอนั้นแสดงออกถึงความสุขที่ได้มาเซอร์ไพร์สผม นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“ ฮะ ฮะ ก็หลาย ๆ เรื่องละนะ ขอเข้าบ้านของ A คุงได้รึเปล่า? ”
“ ช เชิญ ”
ผมผายมือเชิญเธอเข้าบ้านของตัวเองแบบงง ก่อนที่เธอจะวางถาดพิซซ่าในมือของตัวเองลงบนโต๊ะในห้องครัว ก่อนจะย้ายกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาวางเอาไว้ในห้องรับแขก แล้วนั่งลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า แต่ทว่าด้วยความอยากรู้ของผมคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ถามอีกฝ่ายละนะ
“ แล้วไหงมาที่บ้านผมได้ละ ”
“ คือว่า...ฉันหนีออกจากบ้านละค่ะ เฮ เฮะ ”
“ อย่างนี้นี่เองหนีออกจากบ้านสินะ...ห่ะ!! หนีออกจากบ้าน ”
ผมได้ตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึงจนถึงกับแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมา
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ทำไมยัยนางเอกหลักถึงได้หนีออกจากบ้านกันละเนี่ย
แล้วทำไมจะต้องเป็นบ้านตัวประกอบอย่างผมด้วยเนี่ย!!!
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments