ตกหลุมรักระดับหนึ่ง

ตกหลุมรักระดับหนึ่ง

บทที่ 1 อคติที่หนึ่ง

            ห้องเช่ารายเดือนคือแหล่งพักอาศัยยอดนิยมสำหรับคนพลัดถิ่นแต่อาจไม่ใช่สำหรับหอพักนี้

เครือวัลย์เป็นเจ้าของตึกสูงห้าชั้นแต่ละชั้นมีห้องเช่าสิบห้อง นอกจากนี้แล้วเธอยังเปิดร้านสะดวกซื้อขนาดเล็กเชื่อมต่อกับเคาน์เตอร์ต้อนรับไว้สำหรับบริการลูกค้าเป็นรายได้เสริมโดยตั้งใจยกมรดกตกทอดรุ่นสู่รุ่นนี้ให้ลูกชายซึ่งมีบุคลิกหน้าตาไม่เข้ากับงานบริการเอาเสียเลย

ดวงตาผ่านร้อนหนาวมาห้าสิบห้าปีของผู้เป็นแม่หลุบมองคนกำลังขะมักเขม้นกับการนั่งซ่อมท่ออ่างล้างมืออย่างพิจารณา

            อนัญมีรูปร่างสูงใหญ่ทั้งหน้าตาดุดันคล้ายพ่อ

เขารับมรดกเส้นผมจากพ่อแม่ซึ่งมีผมหยักศกมาอย่างเข้มข้นร่างกายจึงแสดงออกให้เขามีเส้นผมหยิกหย็องราวถูกดัดด้วยเครื่องดัดผมไฟฟ้า

ทั้งเจ้าตัวยังชอบปล่อยปละไม่มัดรวบ ผมยุ่งเหยิงรวมกับไรหนวดเหนือริมฝีปากช่วยเสริมให้ลูกชายดูโหดร้ายกว่าคนพ่อหลายขุม

ตอนสามียังมีชีวิตอยู่เธอไม่เคยคิดเรื่องนี้กระทั่งเขาตายแล้วลูกชายเข้ามาช่วยดูแลกิจการ

บางเวลาเธอแอบเห็นลูกค้ามองอนัญด้วยสายตาหวาดระแวง

            “เฮ้อ!” เครือวัลย์กระแทกลมหายใจพลางส่ายหน้าให้กับผลงานของตัวเองกับสามี

            “ถอนหายใจเป็นคนแก่” อนัญเงยหน้าจากกระป๋องกาวยาท่อ

            “เหนื่อยใจ” คนเป็นแม่ตอบพลางส่ายหัว พอเจ้าตัวเงยหน้ารัศมีโหดร้ายยิ่งเปล่งประกาย

            “เครียดอะไรอีกล่ะ”

            “ไม่แน่ใจว่านี่ลูกเจ้าของหอหรือว่าขอทาน...เอ๊ะหรือแกจะเป็นโจรป่า

ลุงยามยังแต่งตัวดีกว่าเป็นร้อยเท่า” พยักพเยิดมองไปด้านนอกซึ่งมีพนักงานรักษาความปลอดภัยจากบริษัทเดินวนเวียน

            “โห...อยู่ดีๆ

มาด่ากันได้” ตั้งแต่พ่อเสียเขาก็โดนแม่บ่นเรื่องนี้เรื่อยมาจนชินแต่ก็อยากต่อปากต่อคำ

            “เรื่องจริงทั้งนั้น” เครือวัลย์ละจากเคาน์เตอร์ต้อนรับเดินมายังจุดที่ลูกชายนั่งอยู่

เธอใช้นิ้วหนีบเส้นผมหยิกหย็องขึ้นเป็นการแสดงหลักฐาน “เมื่อไรจะเลิกปล่อยเนื้อปล่อยตัว

ผมฟูหัวยุ่งแถมยังใส่เสื้อขาดๆ อย่างกับคนเสียสติ”

            “มันเป็นสไตล์” คนอยู่ในชุดเสื้อกับกางเกงตัวเก่าตอบหน้าตายไม่ได้สำนึกเลยว่าเครื่องแต่งกายแบบนี้ส่งเสริมให้ตัวเองดูซอมซ่อไร้ราศีลูกชายเจ้าของหอมากเพียงไร

            “เดี๋ยวคนเขาก็กลัวจนไม่มีใครมาเช่าห้องหรอก”

            “เขาไม่ได้กลัวแม่เสียหน่อย” ปกติเครือวัลย์จะเป็นคนต้อนรับลูกค้าส่วนเขารับผิดชอบงานช่างแต่บางครั้งก็ช่วยทำความสะอาด

กิจกรรมเบื้องหลังไม่จำเป็นต้องอาศัยหน้าตา

            “อีกหน่อยก็ต้องมาดูแทน”

            “แค่มาช่วยซ่อมของเฉยๆ

ไม่ได้อยากฮุบสมบัติ”

            “แม่มีแกคนเดียว

ไม่ยกให้แกแล้วจะยกให้ใคร”

            “ตอนนี้ให้แม่ช่วยดูไปก่อน” อนัญรู้ความจริงข้อนี้ดีและรู้ด้วยว่าแม่รักหอพักแห่งนี้มากเพียงไร

นี่เป็นเหตุผลให้พอเรียนจบเขาก็กลับมาอยู่บ้าน

คนเป็นลูกเรียนรู้กิจการภายในหอพักจากแม่แต่ไม่มาวุ่นวายมากนักเพราะมีผักหลายแปลงให้ดูแล

            “ใครจะไปกล้าปล่อยคนหัวรุงรังรับแขก

ลูกค้าได้หนีเตลิดหมดน่ะสิ”

            “วันนี้รีบก็เลยยังไม่ได้อาบน้ำ” อนัญยังสวมชุดนอนทั้งที่ตอนนี้ใกล้เที่ยงเต็มที

ช่วยไม่ได้ที่ชายหนุ่มชอบสวมใส่เสื้อผ้าตัวเก่าเข้านอนเพราะมันบางเบาช่วยให้หลับสบาย

ตอนเครือวัลย์โทรหาเขากำลังง่วนอยู่กับการผสมสารน้ำสำหรับเลี้ยงผักไฮโดรโปรนิกส์รอบใหม่

แม้ไม่ใช่งานกลางแดดจ้าแต่ก็เรียกเหงื่อ เขาตั้งใจว่าเสร็จจากงานผักแล้วค่อยชำระล้างร่างกายแต่น้ำเสียงตื่นตกใจเรื่องท่อน้ำรั่วของแม่ก็ทำให้เขาต้องละทิ้งกิจวัตรประจำวันของตัวเองรีบหิ้วกล่องเครื่องมือช่างมานั่งโดนแม่ค่อนขอดตรงนี้

            “ถึงว่าเหม็นเปรี้ยว”

            “ได้ทีด่าใหญ่” คนเหม็นเปรี้ยวทำจมูกฟุดฟิดพิสูจน์กลิ่นตรงซอกรักแร้ของตัวเองแต่ไม่พบกลิ่นตุกระนั้นอนัญก็ตั้งใจไว้แล้วว่าเสร็จจากงานซ่อมท่อตนคงได้อาบน้ำ

            ปิ๊งป่อง...เสียงกริ่งหยุดการสนทนาของทั้งคู่ให้เหลือบมองไปตรงประตูทางเข้าซึ่งเป็นกระจกใส

หากไม่มีคีย์การ์ดของหอพักคนที่อยู่ด้านนอกจะไม่สามารถเปิดเข้ามาได้

หนึ่งคนเพ่งมองเพื่อพิจารณาผู้มาเยือนส่วนอีกคนกำลังทำตาหวานเชื่อมหัวใจเต้นผิดจังหวะ

                “อ้าว! แม่หนูคนนั้น” เครือวัลย์จำหน้าลูกค้าตัวเองได้แล้ว

                “ใคร...” ดวงตาคมดุไหวระริกยังคงจดจ้องร่างบอบบางที่ยืนชะเง้อชะแง้อยู่อีกฝั่งของประตู

                “เขาชื่อกาวางเป็นลูกค้าเรา” หญิงสาวคนนี้โทรมานัดแนะและสำรวจห้องกับเธอ

กาวางวางมัดจำกับเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้วโดยเธอจะมอบพวงกุญแจและคีย์การ์ดในวันแรกที่ลูกค้าย้ายเข้าพักซึ่งก็คือวันนี้

                “กาวางเหรอ...” ชื่อช่างสะดุดหูแต่ก็ชวนให้อยากรู้ความหมาย

แม่บอกว่าเป็นลูกค้าแสดงว่าเธอต้องอยู่ที่หอพักแห่งนี้ เช่าอยู่ห้องไหนกันนะ...อยู่คนเดียวหรือมีใคร...

                “หนึ่ง...” คนเป็นแม่รู้สึกผิดสังเกตกับอาการตาเยิ้มหยดย้อยของลูกชายจึงลองสะกิด

ชื่อเล่นเรียกติดปากนี้มาจากช่วงวัยทารกเด็กชายอนัญชอบตื่นมาแหกปากเวลาหนึ่งนาฬิกาเป๊ะ “หนึ่ง...หนึ่ง”

                “...” ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง

                “หนึ่งเอ๊ะ!

...หรือว่า...ตายล่ะ” เครือวัลย์เข้าใจว่าอาการตาลอยสติหลุดของอนัญเป็นผลข้างเคียงจากการที่อีกฝ่ายสูดดมกาวยาท่อประปาเป็นเวลานาน

ลูกชายคนเดียวของเธอกำลังเมากาว!

                “หนึ่ง...หนึ่งๆๆๆ” สะกิดย้ำๆ แต่อีกฝ่ายยังเหม่อลอยเหมือนเดิม

เครือวัลย์ร้อนใจจำต้องละเลยลูกค้าไปก่อน

เธอตัดสินใจว่าหากสะกิดครั้งนี้แล้วอนัญยังไม่ไหวติงคงต้องโทรเรียกรถฉุกเฉิน “หนึ่ง! ไอ้หนึ่ง!”

                ป๊าบ!

เสียงเรียกดังก้องมาพร้อมฝ่ามืออรหันต์ดึงคนสติล่องลอยกลับสู่ห้วงปัจจุบัน

                “โอ๊ะ! โถ่แม่!

ตบมาได้” คนโดนตบกะโหลกเสยผมหยิกยุ่งแก้เก้อ “อยู่ใกล้แค่นี้ไม่เห็นต้องเสียงดัง”

                “ว่าได้เรอะ

คนตะโกนจนคอจะแตกอยู่แล้วแต่แกก็ทำเฉย นึกว่าเมากาวจนฟั่นเฟือนไปแล้ว”

                “เมาเมิวอะไรเล่า” คนฟั่นเฟือนโบกมือปัด เขาชินกับงานช่างมาแปดปีไม่มีทางเป็นดังคำกล่าวหา

ชายหนุ่มละสายตาจากการมองใครบางคนขณะเดียวกันก็ซุกซ่อนประกายบางอย่างในดวงตาเอาไว้แล้วลุกขึ้นเตรียมเสนอหัวฟูหน้ายุ่งออกไปนอกเคาน์เตอร์

                “นั่นแกจะไปไหน” คนเป็นแม่ร้องทัก

                “เปิดประตูให้เขา” พยักพเยิดไปทางประตู

                “เดี๋ยวแม่ทำเอง” ผลักลูกชายให้เบี่ยงหลบแล้วพาตัวเองออกมาจากคอกเคาน์เตอร์

กาวางยังไม่เคยเจอกับอนัญ

เครือวัลย์ห่วงว่ารูปลักษณ์ซอมซ่อของลูกชายจะทำให้ลูกค้าสาวตกใจกลัวจนหนีเตลิด

                “อืม” พยักหน้าขณะก้าวเท้าตามอย่างแข็งขัน

                “แล้วนี่จะไปไหนอีก” เครือวัลย์หยุดเดินและเหลือบมองอนัญอย่างนึกสงสัย ไม่บ่อยนักที่จะเห็นลูกชายกุลีกุจอต้อนรับลูกค้าเช่นนี้

                “ขอตามไปด้วย” เขาอยากเห็นหน้าลูกค้าคนนี้ใกล้อีกนิด

                “เออๆ” แม้รู้สึกผิดปกติแต่คนเป็นแม่ก็ไม่ได้ห้ามปรามให้มากความยืดเยื้อ

                เจ้าของหอพักแนะนำให้ลูกค้าสาวรู้จักกับลูกชายซึ่งถูกวางให้อยู่ในตำแหน่งผู้ช่วย

หลังจากมอบพวงกุญแจคีย์การ์ดแล้วเครือวัลย์ก็ช่วยหยิบจับของเล็กๆ น้อยๆ

สักพักก็แยกไปคุยโทรศัพท์ปล่อยให้อนัญเดินไปกลับระหว่างรถรับจ้างขนย้ายกับห้องพักของกาวาง

โชคดีที่ไม่ต้องใช้ลิฟต์เคลื่อนย้ายหลายต่อให้วุ่นวาย

ห้องของเธออยู่ชั้นล่างเยื้องกับร้านสะดวกซื้อ

                การขนของเข้าห้องดำเนินมาจนเสร็จสิ้น

ตอนนี้อนัญและกาวางกำลังยืนอยู่ตรงหน้าห้องของหญิงสาว

                “ขอบคุณมากนะคะ

ไม่ค่อยได้ช่วยคุณเท่าไรเลย” กาวางออกตัวขณะเดียวกันก็ทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง

เธอเพิ่งรู้ว่าเครือวัลย์มีลูกชายเป็นผู้ช่วย แม้อนัญมีท่าทีต้อนรับขับสู้ทั้งยังใจดีช่วยขนของแต่เธอกลับไม่สนิทใจกับเขาเท่าเครือวัลย์

อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์สะดุดตาของอีกฝ่ายและนี่คือการเจอกันครั้งแรก

กระนั้นเธอก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะพยายามไม่มีปัญหาให้ต้องรบกวนขอความช่วยเหลือจากเขา

                “กวาง” คนทำหน้าที่ราวกับเป็นพนักงานบริษัทขนย้ายเสียเองไม่ค่อยใส่ใจกับคำขอบคุณของเธอเท่าไรนัก

เขารู้สึกตงิดกับชื่อของเธอมากกว่า

ดวงตาคมกริบลอบมองกิริยาของคู่สนทนาอย่างพิจารณา

                “คะ?” เจ้าของดวงตากลมโตฉายแววฉงนกึ่งไม่แน่ใจ

คำที่เขาเปล่งออกมานั้นเกี่ยวข้องกับเธอหรือเปล่า

                “ชื่อกวางหรือกาวางกันแน่” อนัญลองเดาชื่อเล่นกับชื่อจริงของอีกฝ่าย

                “ชื่อกาวางค่ะไม่ใช่กวางไม่เกี่ยวข้องกันเลย

คนละความหมายกันด้วย เพื่อนบางคนที่ไม่ค่อยสนิทก็ชอบเรียกแบบนั้น” เจ้าของชื่อแก้ไขความเข้าใจผิดน้ำเสียงแข็งขัน

เธอภูมิใจในชื่อนี้เพราะเป็นชื่อที่แม่ตั้งให้แต่มีคนมากมายชอบรวบคำจนผิดเพี้ยน

อนัญคือหนึ่งในนั้น ดวงตากลมหวานวาววับแอบตวัดมองอีกฝ่ายคล้ายเคืองขุ่น

                “แล้วถ้าสนิทกันเรียกแบบไหน” อนัญไม่ทันได้เห็นสายตาหาเรื่อง กาวางไม่ได้ก้มหน้างุด

เธอกำลังมองตรงแต่ความแตกต่างทางสรีระทำให้เจ้าของร่างสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรเห็นเพียงศีรษะทุยสวยในทรงผมบ๊อบหน้าม้าของผู้หญิงที่เตี้ยกว่ากันนับฟุต

                “ก้อ...ก็เรียก” แม้มองอีกฝ่ายด้วยหางตาแต่สัมผัสได้ถึงกระแสบางอย่างจากดวงตาคู่คมจนรู้สึกอุ่นที่แก้ม

ระบบความคิดของเธอรวนไปวูบหนึ่ง

แต่เมื่อคิดได้ว่าคนมองอาจไม่ตั้งใจและไม่คิดอะไรเธอเองก็ไม่ควรปล่อยความรู้สึกเลอะเทอะนี้มาทำให้สมองปั่นป่วน

                “เรียกกาวางนี่แหละค่ะแต่คุณไม่ต้องซีเรียสนะจะเรียกแบบไหนก็ได้” เธอคงไม่ได้ยินเขาเรียกชื่อผิดเพี้ยนบ่อยนักหรอก

ต่างคนก็คงต่างใช้ชีวิตตามทางของตัวเอง

                “กาวาง” เสียงทุ้มชัดถ้อยชัดคำ

                “คะ?” แหงนมองคนที่เรียกชื่อแล้วเงียบอย่างนึกฉงน เธออยากรู้ว่าเขาต้องการอะไรทำไมเรียกแล้วนิ่งไป

                “เรียกกาวางไงจะได้หันมาคุยกัน

ถ้าเรียกอย่างอื่นเดี๋ยวไม่หัน” เขาอยากเป็นคนสนิท

                “...” คนฟังเลิกคิ้วสูงกับเหตุผลไร้สาระ

กาวางคิดว่าตัวเองกำลังถูกลูกชายเจ้าของหอพักกวนประสาท

                “อยู่คนเดียวเหรอ” แม่เป็นคนจัดการเรื่องสัญญาเช่า เขาไม่ได้อยู่ตอนที่ทั้งคู่เจรจากัน

                “เอ่อ...” เธอมีคำตอบอยู่แล้วแต่ลังเลว่าควรพูดออกมาดีหรือไม่

สำหรับผู้หญิงการป่าวประกาศว่าตัวเองพักอาศัยอยู่คนเดียวย่อมไม่ปลอดภัย

แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นลูกชายเจ้าของหอพักแต่ก็ยังถือว่าเป็นคนแปลกหน้าห่างไกลจากคำว่าสนิทใจ “ตอนนี้อยู่คนเดียวค่ะแต่บางวันก็อาจจะมีคนมาค้างด้วย

ฉันบอกป้าไว้แล้วนะคะ”

                “...” อนัญสะอึกไปวูบหนึ่ง

ดวงตาคู่คมมีแววอยากรู้อยากเห็นเจือรอยหมองหม่น

                “คุณ...คุณคะ…คุณ” เขานิ่งไปนานให้เธอต้องเรียกอยู่หลายทีแต่ก็ยังเฉย

จากเรียกในเสียงระดับปกติจึงเปลี่ยนเป็นตะโกน “คุณอนัญ!”

                “ฮะ!

เอ้อ...มีอะไรเหรอ” ไหล่พึ่งผายไหวเล็กน้อยขณะพยายามกลบเกลื่อนพิรุธ

เขาอาจคิดมากไปเอง

แม้อยากได้ความแน่ใจแต่ชายหนุ่มก็ไม่กล้าละลาบละล้วงมากไปกว่านี้

                “ฉันเห็นคุณนิ่งไปนึกว่าเป็นอะไร” ลูกตากลมโตกลิ้งขึ้นลงสำรวจความผิดปกติจากร่างสูงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแบบรวดเร็ว

                “ไม่มีอะไรหรอก” โบกมือแก้เก้อ

                “ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปจัดของก่อนนะคะ” กาวางรู้สึกว่าตัวเองยืนคุยกับอนัญนานเกินไปแล้ว

                “อืม...” เขาไม่รู้จะชวนเธอคุยเรื่องอะไรจึงจำต้องพยักหน้ามองส่งฉับพลันก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาจึงยื่นมือไปขวางทางประตู

                “อะไรคะ!” คนกำลังปิดประตูทับนิ้วอีกฝ่ายทำเสียงตื่นเต้น

เธอมองคนทะเล่อทะล่าด้วยสายตาตำหนิแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เดือดร้อนกับท่าทีขุ่นข้องของเธอเลยสักนิด

                “เมื่อกี้ที่เรียกอนัญมันทางการไปเรียกแค่หนึ่งก็พอ”

                “ค่ะ” รับปากแล้วปิดประตูทันที

                “...” คนชื่อหนึ่งขมวดคิ้วกับกิริยาของกาวางที่ตอบรับแบบขอไปทีราวกับการสนทนากันคือเรื่องเปล่าประโยชน์

เขาคงวุ่นวายกับเธอมากไป

หากมีโอกาสอนัญก็อยากพิสูจน์ว่ากาวางใส่ใจกับคำขอของเขาหรือแค่รับปากส่ง

                ชายหนุ่มยืนมองบานประตูห้องที่ปิดสนิทสลับกับร้านสะดวกซื้ออย่างใช้ความคิด

                ห้องของกาวางอยู่ห่างจากเคาน์เตอร์เพียงหนึ่งช่วงทางเดิน

                คนที่แต่ไหนแต่ไรเห็นการปลูกผักกางมุ้งดีกว่านั่งขายของและต้อนรับลูกค้าหยุดมองเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์อย่างพิจารณา...

                ท่าทางชวนสงสัยของอนัญทำให้กาวางไม่แน่ใจว่าตนเลือกที่พักอาศัยถูกต้อง

คนเป็นลูกมีกิริยาและรูปลักษณ์แตกต่างจากคนเป็นแม่ลิบลับ แม้มีความเป็นกันเองเหมือนกันแต่เครือวัลย์ไม่เคยถามถึงเรื่องส่วนตัวต่างจากอนัญที่ละลาบละล้วง

เขาอาจแค่ชวนคุยแต่มันเชิงลึกเกินไปสำหรับเธอ

ทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกก็มาถามว่าอยู่กับใคร

ใช้ได้ที่ไหน...แต่เห็นแก่ความดีที่เขาช่วยยกของเธอจะไม่เก็บมาเป็นอารมณ์กระนั้นก็ตั้งใจไว้แล้วว่าต้องใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท

                หญิงสาวสลัดความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับผู้ชายชื่อหนึ่งออกไปจากหัว

ภายในห้องพักแห่งนี้มีกิจกรรมมากมายให้เธอทำ

แม้ตัวคนเดียวแต่กาวางก็เป็นผู้หญิงจึงมีข้าวของกระจุกกระจิกตามประสาให้ต้องจัดการ

                กาวางเคยมีพ่อแม่

ภาพในหัวตั้งแต่จำความได้คือมักเห็นพ่อใช้ควานรุนแรงกับแม่เสมอไม่ว่าจะยามสร่างหรือเมามาย

แม่มีชีวิตไม่ต่างจากกระสอบทราย

บางครั้งเด็กหญิงตัวน้อยก็โดนลูกหลงให้คนเป็นแม่ที่สะบักสะบอมต้องรีบอุ้มไปซ่อนในที่ปลอดภัย

บางทีแม่รู้ตัวว่าจะถูกซ้อมก็รีบพาเธอไปหลบในห้องแต่พ่อก็ตามมาทุบประตูให้สำนึกถึงอารมณ์เดือดดาล

                เวลาผ่านไปหลายปีจากเด็กหญิงกลายเป็นเด็กสาว

ภาพความรุนแรงในครอบครัวแบบเดิมยังคงฉายซ้ำ

หูคุ้นเคยแต่ความรู้สึกของคนเป็นลูกไม่เคยชินชา

กระทั่งความอดทนของแม่มาถึงขีดสุดเตรียมหอบลูกหนีแต่เรื่องรู้ถึงหูพ่อให้เกิดความโมโห

เธออยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่สามารถช่วยอะไรแม่ได้เลย

พอเข้าไปขวางก็โดนทำร้ายร่างกายไม่แตกต่างกัน

รอยแผลเป็นยาวหนึ่งนิ้วบริเวณลูกผมคือเครื่องเตือนความจำ

                วันนั้นคนเป็นพ่อกระชากกาวางออกจากอ้อมกอดแม่

เธอถูกพ่อเหวี่ยงอย่างแรงจนร่างกายถลาไม่อาจควบคุมพาศีรษะไปโขรกกับเหลี่ยมโต๊ะแล้วสลบ

เหตุการณ์หลังจากนั้นคือพ่อทุบตีแม่จนฝ่ายถูกกระทำเลือดตกช้ำในตาย  ฆาตกรถูกคุมขังทิ้งเด็กสาวอายุสิบเจ็ดให้ต้องใช้ชีวิตลำพัง

                แม้เจ็บปวดแต่คนเป็นลูกไม่อาจละทิ้งความทรงจำทั้งไม่รู้ว่าจะมีที่ไหนให้ความปลอดภัยเท่าถิ่นตน

หลังจบมัธยมกาวางเลือกเรียนต่อในมหาวิทยาลัยประจำจังหวัดโดยใช้เวลาว่างระหว่างเรียนทำงานพาร์ทไทม์เพื่อให้สมองไม่หวนคิดถึงภาพความรุนแรง

ตลอดห้าปีที่ผ่านมากาวางจึงยังอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาหลังเดิมด้วยเงินประกันชีวิตของแม่

กระทั่งเรียนจบจึงมีโอกาสได้พาตัวเองออกมาจากกรอบ

                กาวางได้งานเป็นผู้จัดการร้านฝึกหัดเมื่อฝึกประสบการณ์การแล้วทางบริษัทก็ให้กาวางมาประจำที่ร้านซึ่งมีสาขาอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองของจังหวัดที่ได้ฉายาว่าเป็นประตูสู่ภาคเหนือ

สาวเหนือจึงปล่อยบ้านให้คนเช่าและย้ายตัวเองจากจุดเหนือสุดของประเทศสู่พื้นที่ภาคกลางด้วยบริการรถรับจ้างขนย้ายสิ่งของ

เธอยังไม่มีเงินเก็บมากพอสำหรับซื้อรถยนต์แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าหากหน้าที่การงานมั่นคงเพียงพอก็ต้องหายานพาหนะคู่ใจสักคัน

                หอพักของเครือวัลย์อยู่ใกล้ที่ทำงานของกาวาง

ตัวอาคารห่างจากหน้าห้างสรรพสินค้าราวหนึ่งกิโลเมตรเมตรหากเดินเท้าจะผ่านหนึ่งปากซอยและข้ามสะพานลอยซึ่งมีระยะทางเท่าถนนสี่เลนใหญ่ใช้เวลาเดินทางประมาณสิบนาที

                นอกจากทำเลดีเหมาะสำหรับพนักงานที่ไม่มียานพาหนะส่วนตัวบางครั้งต้องเข้ากะเช้าหรือเลิกงานดึกแล้ว

ราคายังเหมาะสมสำหรับชีวิตมนุษย์เงินเดือน สำคัญที่สุดคือมีเหล็กดัดกั้นแน่นตั้งแต่ช่องลมในห้องน้ำและหน้าต่างไปจนถึงระเบียงห้องซึ่งมีเหล็กปักลึกเข้าไปในเนื้อปูนตั้งแต่ราวระเบียงสูงจรดเพดานให้ความรู้สึกคล้ายถูกขังแต่ก็มั่นใจว่างัดแงะไม่ง่าย

ถ้าเกิดเหตุร้ายก็จะมีกล้องวงจรปิดหลายตัวทั้งมุมเปิดและมุมอับคอยเป็นพยาน

สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คนพลัดถิ่นรู้สึกว่าชายคาตึกสูงห้าชั้นหลังนี้ปลอดภัยต่อร่างกายและทรัพย์สินในระดับหนึ่ง...เว้นเสียแต่ว่าเหตุร้ายจะเกิดจากคนข้างใน...

                ทั้งที่ไม่อยากสนใจแต่ส่วนสำนึกก็ดันผุดภาพร่างสูงหน้าดุหัวฟูหยิกหย็องไม่เข้าท่าและน่าสงสัย

หากเครือวัลย์ไม่แนะนำว่าอนัญเป็นใครเธอคงจัดให้เขาเป็นบุคคลไม่น่าเข้าใกล้แห่งปี

ความจริงเธอก็อยากรู้ว่าแม่ลูกเขาคุยกันบ้างไหม

เครือวัลย์ได้เตือนเรื่องรูปลักษณ์ของลูกชายบ้างหรือเปล่า...

                เอ๊ะ!

หรือจะเป็นตัวเธอที่อคติ

คนเผลอคิดไม่ดีสะอึกไปวูบหนึ่ง...แล้วนี่มันเรื่องอะไรที่เธอต้องไปคิดถึงไม่ใช่สิ!

คิดเลอะเทอะถึงอนัญด้วย

                แม้รู้ดีว่าไม่สามารถตัดสินคนจากภายนอกทั้งชายหนุ่มยังช่วยขนย้ายข้าวของมากมายจนเสร็จกระนั้นกาวางก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับอนัญมากเกินความจำเป็น

ชายหนุ่มอาจเป็นคนดีคนหนึ่งที่เธอสามารถเป็นเพื่อนได้และทุกคนบนโลกใบนี้ไม่ได้ใจร้ายแต่เธอก็ยังไม่อยากเอาใจไปผูกไว้กับใคร

โดยเฉพาะผู้ชายแปลกหน้าพูดจาขัดหูท่าทางชวนรำคาญลูกตาแบบนั้น!

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!