บทที่ 1 บุรุษผู้งดงาม
ณ เวลายามเว่ย แสงอาทิตย์เจิดจ้าท้องฟ้าปราศจากเมฆ
ขุนนางหนุ่มได้นั่งเกี้ยวมาถึงหน้าประตูเมืองฉือ
มือหนาแหวกม่านชำเลืองมองออกมานอกเกี้ยว
พลางกล่าว “นี่นะหรือเมืองฉือ?”
ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
บุรุษรูปงามค่อย ๆ
ก้าวลงจากเกี้ยวด้วยท่วงท่าที่สง่างาม รวมถึงรูปลักษณ์อันหล่อเหล่าของเขาที่ยากจะหาใครเปรียบ
ได้สะกดทุกสายตาให้จับจ้อง
เขาสวมอาภรณ์สีขาวทำจากผ้าเนื้องามราคาแพงเกินกว่าคนธรรมดาจะซื้อได้
เมื่อเห็นเช่นนั้น
ดวงตาเจ้าของโรงเตี๊ยมวัยราวห้าสิบได้ลุกวาว สาวเท้ารีบเร่งเดินเข้ามาต้อนรับ
“ยินดีต้อนรับคุณชาย ท่านมีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”
ทว่าก่อนที่เจ้าของโรงเตี๊ยมจะเดินเข้าประชิดตัว
บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งซึ่งถือดาบแนบไว้ข้างกายพลันเดินเข้ามาขวาง
“คุณชายของข้าต้องการเข้าพัก โรงเตี๊ยมของเจ้ายังมีที่ว่างหรือไม่?”
สายตาเจ้าของโรงเตี๊ยมได้จับจ้องไปที่ดาบสีดำเล่มนั้น
ใบหน้าเขาซีดลงพร้อมปรากฏหยาดเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ
“ฮ่า ฮ่า โรงเตี๊ยมของข้ายังมีที่ว่างขอรับคุณชาย
เชิญด้านในก่อน” สิ้นเสียง เหลาปั่นไม่รอช้ารีบเร่งเดินนำทางให้ขุนนางหนุ่ม
และบ่าวใช้สองคน
จนมาถึงด้านใน
เจ้าของโรงเตี๊ยมได้ยกมือขึ้นเหนือศีรษะ
ปรบมือเรียกสาวงามมาบริการพร้อมผายมือไปที่เก้าอี้ไม้แกะสลักพลางกล่าว
“เชิญนั่งก่อนขอรับคุณชาย”
สีหน้าบุรุษผู้นี้นิ่งเฉย
แววตาคมเหลือบมองเจ้าของโรงเตี๊ยมก่อนเดินเข้าไปนั่ง
“ท่านจะรับอะไรก่อนหรือไม่ขอรับคุณชาย
โรงเตี๊ยมของข้ามีพ่อครัวฝีมือดีอยู่มาก
รับรองว่าอาหารและเครื่องดื่มของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ต้องถูกใจท่านเป็นแน่”
ขุนนางหนุ่มหาได้สนใจไม่ เพียงกล่าว
“เจ้ารู้จักโรงน้ำชาอู่เฉวียนหรือไม่?”
“ขออภัยคุณชาย ข้าไม่เคยได้ยินชื่อโรงน้ำชานี้มาก่อน”
“หากเป็นเช่นนั้นเจ้ากับเสี่ยวเอ้อร์ไปได้แล้ว
ที่เหลือบ่าวของข้าจะจัดการเอง”
ทว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมพร้อมกับสาว ๆ
พวกนั้นยังคงดื้อดึงที่จะบริการให้ขุนนางผู้นี้ต่อเพื่อหวังผลประโยชน์
บ่าวทั้งสองจึงชักคมดาบออกจากฝัก ปลายดาบแหลมพุ่งจี้จรดคอหอยของอีกฝ่าย
“คุณชายของข้าบอกให้พวกเจ้าไปได้แล้วไม่ได้ยินหรือ?”
สีหน้าเจ้าของโรงเตี๊ยมพลันเปลี่ยนสีซีดเซียว
“ข้าแก่แล้ว หูของข้าไม่ค่อยได้ยิน”
เขาสะบัดมือให้พวกเสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังถอยไป
พลางกล่าว “พวกข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อพวกเขาเดินห่างออกไป
บ่าวทั้งสองจึงเสียบเก็บดาบกลับเข้าฝักไว้เช่นเดิม
“พวกเจ้า อย่าทำอะไรนอกเหนือสิ่งที่ข้าสั่ง
การที่ข้าออกเดินทางมาครั้งนี้ เพียงเพื่อออกตามหาชาเท่านั้น อย่าได้ก่อเรื่อง”
ขุนนางหนุ่มกล่าวตำหนิบ่าวทั้งสองของตน
บ่าวทั้งสองพลันคุกเข่าประสานมือขึ้นเหนือศีรษะ
“ขออภัยคุณชาย โปรดลงโทษ” ทั้งสองกล่าวพร้อมกัน
“ลุกขึ้น แล้วออกไปตามหาโรงน้ำชาแห่งนั้น
หากได้เรื่องให้รีบแจ้งข้าโดยเร็ว ข้าจะรออยู่ที่นี่”
“ขอรับคุณชาย” บ่าวใช้ทั้งสองรับคำ
เวลาผ่านล่วงเลยมาเพียงครึ่งชั่วยาม ขุนนางหนุ่มที่กำลังนั่งพักอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมรู้สึกเบื่อหน่าย
จึงได้เก็บของสำคัญพร้อมร่มหนึ่งคันติดตัวก่อนเดินออกจากห้องพัก เพื่อลงไปชั้นล่าง
เขาสวมใส่อาภรณ์สีขาวเนื้อผ้าละเอียด เพียงมองก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเป็นคนมีฐานะ
เจ้าของโรงเตี๊ยมเหลือบมองไปเห็นบุรุษรูปงามที่กำลังเดินลงมาจากบันได
จึงรีบสาวเท้าเข้าหาทันที “คุณชาย ท่านจะไปที่ใดหรือ?”
“ข้าจะออกไปข้างนอกสักพัก หากบ่าวของข้ากลับมา บอกพวกเขาให้รอข้าอยู่ที่นี่”
“รับทราบคุณชาย” เจ้าของโรงเตี๊ยมรับคำ
ในขณะออกตามหาโรงน้ำชาอู่เฉวียนอยู่นั้น
แสงจากดวงอาทิตย์ในตอนกลางวันที่ส่องลงมาโดยปราศจากเมฆขาวบดบัง
ทำให้อากาศร้อนเป็นอย่างยิ่ง
เขารู้สึกกระหายน้ำจึงได้แวะพักในเพิงร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองฉือ
“เถ้าแก่ ท่านรู้จักโรงน้ำชาอู่เฉวียนหรือไม่?” ขุนนางหนุ่มเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบพลางหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ เพียงลิ้มลองรสของชา
คิ้วทั้งสองข้างก็พลันขมวดเข้าหากัน
“โอ้! คุณชาย ท่านเพิ่งมาเมืองฉือเป็นครั้งแรกอย่างงั้นหรือ?”
“เป็นเช่นนั้น ข้าพึ่งเดินทางมาถึงเมื่อยามเว่ย”
เขาวางถ้วยชาลงเบา ๆ
“ฮ่า ๆ หากเป็นเช่นนั้น ท่านสนใจใช้บริการใหม่ของร้านข้าหรือไม่
เพียงสองร้อยเหวิน ข้าจะให้ลูกชายของข้าพาท่านเดินชมรอบเมืองฉือ”
เถ้าแก่เอ่ยถามพลางยิ้มร่า
ขุนนางหนุ่มหาได้ใส่ใจ
เขามองเถ้าแก่ร้านด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“ข้าเพียงถามท่านว่า
ท่านรู้จักโรงน้ำชาอู่เฉวียนหรือไม่”
เถ้าแก่เห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด
รอยยิ้มกว้างพลันหุบลงทันใด “คุณชาย หากท่านไม่พอใจกับราคานี้
ข้าสามารถลดให้ท่านได้สี่สิบเหวิน ท่านคิดเช่นไร?”
ขุนนางหนุ่มค่อย ๆ เก็บของพลางลุกขึ้น
ทว่ากลับมีมืออันหนักแน่นของชายหนุ่มรูปร่างกำยำสองคนมากดทับไว้บนบ่าของเขาให้นั่งลง
“คุณชายท่านจะรีบไปไหนอย่างงั้นหรือ?” มุมปากของเถ้าแก่ยกยิ้มอย่างพอใจ
“ท่านจะทำสิ่งใด?” ขุนนางหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบพร้อมใบหน้านิ่งเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ข้าเพียงเห็นว่าท่านพึ่งมาถึงเมืองฉือ
ข้าเลยกลัวว่าท่านจะเหนื่อย หากเพียงเพราะข้าเป็นห่วงท่านเสียมากกว่าจึงอยากให้ท่านนั่งพักเสียหน่อย”
“เจ้าคิดว่าข้ามองเจ้าไม่ออกอย่างงั้นหรือ?”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรกันคุณชาย?”
“จากสิ่งที่ข้าเห็น
ตอนนี้พวกเจ้าพยายามรีดไถเงินจากข้าอยู่” ขุนนางหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ พลางล้วงหยิบห่อขนมที่เก็บไว้ด้านในอาภรณ์ขึ้นมากิน
“มิกล้า มิกล้า
ข้าน้อยเป็นเพียงพ่อค้าขายอาหารธรรมดาข้างทาง มีเพียงเพิงร้านเล็ก ๆ เป็นที่พักพิง
ข้าจะกล้าทำสิ่งนั้นได้อย่างไรกัน” เถ้าแก่กล่าวพลางหรี่ตาลงพร้อมฉีกยิ้มกว้าง
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าว่าเจ้าบอกให้ลูกทั้งสองของเจ้าเลิกเอามือสกปรกมาแตะต้องตัวข้าได้หรือไม่”
น้ำเสียงขุนนางหนุ่มยังคงนิ่งเรียบ
ลูกชายทั้งสองของเถ้าแก่ร้านต่างไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งกับคำพูดของขุนนางหนุ่มที่กล่าวออกมาเมื่อครู่
มือหยาบหนากำแน่นพร้อมง้างเข้ามาใกล้ใบหน้าอันหล่อเหลา หากทว่ากลับมีเสียงแหลมของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นมาหยุดไว้เสียก่อน
“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! พวกเจ้ากำลังจะทำสิ่งใดกัน? เถ้าแก่ชาง เจ้าอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
“คุณหนูจางลี่!!!”
เถ้าแก่ชางเรียกชื่อของจางลี่พร้อมท่าทีตกใจ
“ฮ่า ฮ่า” เถ้าแก่ชางหัวเราะแห้ง
“เรื่องมันมีที่มาอย่างนี้ขอรับคุณหนูจาง
บังเอิญว่าคุณชายท่านนี้เขากินแล้วไม่ยอมจ่าย ข้าเลยบอกให้ลูก ๆ
ของข้าสั่งสอนเขาเพียงเล็กน้อย” เถ้าแก่ชางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทียำเกรง
“เป็นอย่างงั้นหรือ คุณชาย” จางลี่เอ่ยถามหนุ่มรูปงาม
เถ้าแก่ชางยิ้มหรี่ตามองขุนนางหนุ่ม
แววตาของเขาดุดัน พยายามข่มให้อีกฝ่ายคล้อยตามตน ทว่าขุนนางหนุ่มหาได้สนใจไม่
เขาเหลือบมองไปยังจางลี่ ก่อนเอ่ยถาม “แล้วแม่นาง คิดเช่นไร?”
“นี่ท่าน!!! ข้าถามท่าน
มิใช่ให้ท่านถามข้ากลับเช่นนี้ ครอบครัวสอนมาเช่นไรกัน”
ขุนนางหนุ่มนิ่งเงียบก่อนที่จะเก็บห่อขนมของเขากลับเข้าไปไว้ในอาภรณ์สีขาว
“เอาละ ในเมื่อเจ้าไม่มีอะไรจะกล่าว
ข้าจะถือว่าสิ่งที่เถ้าแก่ชางกล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริง”
ขุนนางหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนที่จะล้วงมือเข้าไปในถุงอาภรณ์ของเขาเพื่อนำเงินออกมาหนึ่งตำลึงเงิน
กระแทกลงบนโต๊ะไม้อย่างแรงจนขาโต๊ะได้หักไปข้างหนึ่งแล้วเดินจากไป ขณะนั้น
เถ้าแก่ร้านและลูก ๆ ของเขารวมถึงจางลี่ ต่างพากันนิ่งเงียบเพราะความตกใจ
จางลี่เมื่อหาเสียงตนเจอก็พลันตะโกนกล่าวถามตามหลังขุนนางหนุ่มซึ่งเดินออกไปได้ครู่หนึ่ง
“นะ...นี่ท่าน ท่านจะไปที่ไหนกัน ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!? ”
ขุนนางหนุ่มเดินแวะเวียนตามซอกซอยต่าง
ๆ
และไต่ถามผู้คนมากมายเพื่อตามหาร้านน้ำชาตามข่าวลือที่ตนได้รับมาจากเมืองฉินจนถึงยามที่พระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า
หากกลับไม่พบสิ่งใดที่เชื่อมโยงถึงโรงน้ำชาอู่เฉวียนเลยแม้เพียงน้อย
“ดูท่าข้าคงจะมาเสียเที่ยวเสียแล้ว นี่เป็นสิ่งผิดพลาด
ข้าไม่ควรหลงเชื่อคำพูดของคนเมา” ขุนนางหนุ่มกล่าวกับตนเอง
ระหว่างที่เขากำลังทอดถอนใจ
พลันได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชาโชยเข้าจมูก ใต้แสงสีทองระยิบระยับของดวงอาทิตย์
“นี่มันกลิ่นชา? ช่างเป็นกลิ่นที่หอมอะไรถึงเพียงนี้”
ขุนนางหนุ่มไม่รอช้ารีบเดินตามกลิ่นหอมที่ลอยมาตามสายลมไปอย่างใจจดใจจ่อ
ยามนี้ขุนนางหนุ่มได้เดินมาถึงต้นตอของกลิ่นหอมละมุน
ภาพตรงหน้าของเขาคือโรงน้ำชาที่เพียงมองก็รู้ได้ทันทีว่าพึ่งเปิดมาได้ไม่นานนัก
มีเพียงป้ายขนาดเล็กที่มีเพียงตัวอักษรเขียนว่า ‘โรงน้ำชา’ ไร้สิ่งเติมแต่งใด ๆ ตั้งอยู่หน้าร้าน
“ที่นี่หรือ? ต้นตอของกลิ่นหอมนั้น
ถึงแม้จะพึ่งเปิดได้ไม่นาน ก็ไม่คิดว่าจะเรียบง่ายอะไรถึงเพียงนี้”
ขุนนางหนุ่มเลิกม่านไม้ไผ่ตรงหน้าขึ้น
พลางก้มหน้าก้าวข้ามวงกบประตูไม้ล่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นมา
สายตาพลันกระจ่างจ้าดุจคนตาบอดได้พบแสง
แสงตะวันสาดส่อง สารทฤดูพัดโชย
กลีบใบต่างร่วงโรย ใจข้ามิอาจต้านทาน
บทกวีพลันผุดขึ้นมาในใจทันทีเมื่อได้เห็นผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
คนผู้นั้นสวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ กำลังยืนทัดเกศาดำขลับยาวสลวย ซึ่งพลิ้วไหวด้วยสายลมที่พัดผ่านเข้ามา
ขับเน้นความงามเจ้าของโรงน้ำชาประหนึ่งเทพธิดาบนสรวงสวรรค์
ขุนนางหนุ่มคล้ายตกในห้วงภวังค์
มิอาจละสายตาจากรูปลักษณ์อันงดงามนั้น
“คุณชาย ท่านอยากดื่มอะไรหรือไม่? ร้านใกล้จะปิดแล้ว”
เสียงไพเราะดุจพญาหงส์เอ่ยถาม
พร้อมด้วยแววตาเคลือบความสงสัย
“คุณชาย ท่านได้ยินที่ข้าถามหรือไม่?”
“...”
เจ้าของโรงน้ำเห็นท่าทีอีกฝ่ายก็แปลกใจ
พลางเดินมายังเบื้องหน้าของบุรุษหนุ่มด้วยการทิ้งระยะห่างเพียงเล็กน้อย
“หากเอาแต่ยืนขวางประตูเช่นนี้ ข้าจะปิดร้านได้อย่างไร?”
ขุนนางหนุ่มพลันได้สติ
รีบปั้นหน้ากลับ
“ขออภัยแม่นาง มิทราบว่าท่านมีนามใดหรือ?”
“ข้ามีนามว่าอู่เฉวียน แต่ได้โปรดอย่าเรียกข้าว่าแม่นาง
เนื่องจากข้าเป็นบุรุษ”
ขุนนางหนุ่มเพ่งพินิจไปบนดวงหน้าของอีกฝ่ายซึ่งงดงามราวกับมิใช่คนบนโลกมนุษย์
พลางยิ้มขำ
“แม่นางรู้จักล้อเล่นนัก ในโลกไหนเลยจะมีบุรุษงามถึงเพียงนี้”
“ท่านมิเชื่อ” อู่เฉวียนเลิกคิ้วเล็กน้อย
ขุนนางหนุ่มยังคงยิ้มพลางส่ายหน้า“หากเจ้าของร้านน้ำชาเบื้องหน้าเป็นบุรุษ ในโลกก็ไม่จำเป็นต้องมีสตรีแล้ว”
“มิว่าผู้ใดต่างไม่เชื่อว่าข้าเป็นบุรุษ
แม้แต่ท่านก็ด้วย ช่างเถิด ข้าชินเสียแล้ว”
“แม่นาง ท่านโกรธหรือ?”
“ข้าจะโกรธท่านได้อย่างไร
ท่านมิใช่คนแรกที่เห็นข้าเป็นสตรี” อู่เฉวียนหลบสายตาอีกฝ่ายชั่วครู่
ก่อนหันมากล่าวต่อ “คุณชาย ร้านใกล้จะปิดแล้ว
ท่านต้องการสั่งสิ่งใดโปรดว่ามา”
“แม่นางจะไม่เชิญข้านั่งหน่อยหรือ?”
อู่เฉวียนได้ยินเช่นนั้นจึงเชิญอีกฝ่ายนั่งลง
ขุนนางหนุ่มเอ่ยขึ้น“ในเมื่อที่นี่เป็นโรงน้ำชา ก็ยกน้ำชามาให้ข้า”
“ตกลง” อู่เฉวียนรับคำพลางเลิกม่านเข้าหลังร้าน
ไม่นานก็มีกลิ่นหอมโชยมา ทำให้ผู้ได้รับกลิ่นรู้สึกสดชื่น
ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทั้งวันของขุนนางหนุ่มมลายสิ้น
เสียงฝีเท้าดังมาจากในครัว
อู่เฉวียนเลิกม่านยกถาดน้ำชาออกมา แสงตะวันสีทองซึ่งส่องมาทางหน้าต่าง
ย้อมอาภรณ์ขาวเปล่งประกายทอง สะกดสายตาขุนนางหนุ่มจนมิอาจกะพริบ
ถาดน้ำชาวางลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา
พร้อมดวงตาที่งามซึ้งดุจดวงดาราจับจ้องมายังบุรุษเบื้องหน้า
รอยยิ้มงามปานบุปผาเผยออก
“คุณชาย ชานี้มีชื่อว่าอู่หลง เชิญดื่มแก้กระหาย”
ขุนนางหนุ่มพยักหน้าอย่างลืมตัว
เขาเอื้อมมือไปที่กาน้ำชา ทว่าอู่เฉวียนกลับคว้าไปเสียก่อน
“ท่านคือลูกค้าคนสุดท้ายของวันนี้
ให้ข้าได้ดูแลท่านเถิด” เขารินน้ำชาลงถ้วยอย่างช้า ๆ ด้วยกิริยาอ่อนละมุน
นิ้วเรียวงามดุจดอกกล้วยไม้ มือขาวผ่องดั่งผ้าขาวซึ่งราวกับไม่เคยแปดเปื้อนเศษธุลี
สะกดขุนนางหนุ่มให้หลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 32
Comments