Sunless World (การเดินทางแห่งโลกสิ้นแสง)

Sunless World (การเดินทางแห่งโลกสิ้นแสง)

Moonlight Sonata - Part 1

คริส โคลัมบัส ได้พาเหล่าผู้ตั้งถิ่นฐานจากโลกเก่าที่กำลังจะตายมายังดินแดนแห่งนี้

ดินแดนที่เพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากร, แผ่นดินอันสมบูรณ์ และความปลอดภัย

เขาได้ตั้งชื่อให้ดินแดนแห่งโลกใหม่ที่จะเป็นจุดกำเนิดของยุคใหม่อันรุ่งโรจน์ของพวกเรา

“อันเดอร์ริกา”

- Prologue\, History of Underrica

...

เอสเธอร์ตื่นนอนตามเพลงมาร์ชของประเทศที่ดังอย่างน่าหนวกหูดังที่เป็นทุกวันในตอนเช้า

ไม่ใช่ว่าเธออยากตื่นเช้าขนาดนี้ทุกวัน แต่เสียงเพลงแบบนี้น่าจะปลุกได้กระทั่งคนที่ขี้เซาและหลับลึกที่สุดในเมือง

“ไอ้เพลงเฮงซวย” เอสเธอร์ก่นด่าขณะพยายามเอาหมอนอุดหู แต่เธอรู้ดีว่าคงไม่สามารถหลับต่อได้แล้ว เพราะเพลงนี้จะเล่นต่อไปอีกห้ารอบ

ดังนั้นพอเพลงเริ่มเล่นรอบที่สามเธอก็ลุกจากเตียงและเดินไปยังห้องน้ำพร้อมกับคำสบถอีกเป็นชุด

เธอใช้เวลาอาบน้ำเพียงสามนาทีซึ่งถือว่าเร็วมากในมาตรฐานของประชากรส่วนใหญ่ในเมืองนี้ แต่นั่นคงเป็นเพราะปริมาณน้ำที่สภาเมืองอนุญาตให้ใช้เพียงสองถังต่อวัน ซึ่งเอสเธอร์ไม่เคยบ่นเรื่องนี้ เธออยากเอาเวลาไปใช้กับเรื่องอื่นๆ มากกว่า

ตอนที่เธอกำลังเช็ดผมอยู่นั่นเองที่เสียงทำนองใสคล้ายกระจกดังมาจากชั้นล่างและเธอก็รู้ว่าพ่อของเธอตื่นแล้ว

อาเธอร์ แอร์รินเป็นชายหนุ่มผมบลอนด์ตัดสั้น (สีเดียวกับเอสเธอร์) ในวัยสี่สิบปลายๆ เขาเป็นชายที่มีหน้าตาจริงจังแต่การใส่แว่นตากรอบกลมตลอดเวลาทำให้เขากลายเป็นคนหน้าตาใจดีแทน เขาเป็นนักวิชาการ, นักวิจัย และนักประวัติศาสตร์ (ตามที่เขาอ้างอยู่ตลอด) เอสเธอร์ค้านทุกครั้งว่าไม่มีใครเป็นทั้งหมดนั่นได้อย่างเชี่ยวชาญหรอก เธอคิดเสมอว่าพ่อของเธอเป็นคล้ายๆ กับนักสะสมของเก่าและพวกคลั่งไคล้ประวัติศาสตร์โบราณเท่านั้น

แต่แม้จะค้านอยู่ตลอด เธอเองก็ชื่นชมในสิ่งที่เขาทำเช่นกัน พ่อของเธอมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณมากกว่าทุกคนในเมืองนี้ และเธอก็พยายามตักตวงความรู้จากเขาอยู่เสมอ เพราะเรื่องของโลกเก่ามันช่างน่ามหัศจรรย์สำหรับเธอถ้าเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกสิ้นแสงที่พวกเธอใช้ชีวิตอยู่

“ไมเคิล แจ็คสันเหรอคะ?” เอสเธอร์ถามขณะไต่ลงบันไดที่เชื่อมระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสองของบ้าน

พ่อของเธอกำลังยืนอยู่ในครัวซึ่งเป็นแค่โซนแยกในห้องเดียวกับห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นห้องเดียวในชั้นล่างของบ้าน เนื้อที่ระหว่างครัวกับห้องนั่งเล่นถูกคั่นด้วยโซฟาโบราณกับตู้หนังสือขนาดใหญ่ที่มีหนังสืออยู่อัดแน่น

“นี่มันบีโทเฟน และมันก็เป็นดนตรีคนละแนวกันเลยนะลูกรัก”

เอสเธอร์ยิ้ม เธอชอบกวนโมโหพ่อในตอนเช้ามากที่สุด

“หนูรู้น่า หนูแยกระหว่างเสียงกีตาร์กับไวโอลินออกนะ”

“นี่เขาเรียกว่าเปียโนต่างหาก” พ่อของเธอตอบขณะพลิกไข่ในกระทะ

“มันชื่อว่าโซนาตาแสงจันทร์”

เอสเธอร์เดินฝ่ากองหนังสือและโบราณวัตถุหลากหลายชิ้นที่ตั้งขวางทางอยู่ทั่วห้องราวกับเขาวงกตไปนั่งที่โต๊ะอาหารริมหน้าต่างระหว่างคิดว่าเธอคงต้องบังคับพ่อจัดห้องใหม่สักหน่อยแล้ว

“สำคัญด้วยเหรอคะว่ามันเรียกว่าอะไรในเมื่อเราไม่มีเปียโนสักตัวในอันเดอร์ริกา”

อาเธอร์เดินออกจากครัวมาวางจานสองใบลงบนโต๊ะ เขาหนีบกระดาษแผ่นหนามาด้วยสองแผ่น

“นั่นแหละคือความสำคัญ” เขาว่าพร้อมกับกางกระดาษแผ่นแรกลงบนโต๊ะ “พ่อคิดว่าพ่อร่างแบบแปลนเพื่อสร้างเปียโนตัวแรกในโลกสิ้นแสงได้สมบูรณ์แล้ว”

เอสเธอร์ไม่ชำเลืองมองด้วยซ้ำขณะตักไข่เข้าปาก

“เครื่องดนตรีคลาสสิคชิ้นแรกของโลกใหม่เลยนะ?” พ่อของเธอขมวดคิ้วเป็นเชิงถามเมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

“พ่อก็รู้ว่าประธานาธิบดีคนนี้ไม่อนุญาตให้สร้างของแบบนี้หรอก”

เอสเธอร์รู้ว่าเปียโนเป็นเครื่องดนตรีขนาดใหญ่และนั่นทำให้ต้องใช้ไม้จำนวนมากในการสร้าง น่าเสียดายที่ไม้เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในโลกใหม่ที่จำเป็นต้องเอาไปใช้สร้างบ้าน, เรือ และอุปกรณ์ดำรงชีพหลากหลาย ซึ่งประธานาธิบดีเป็นคนเดียวที่จะอนุมัติในการใช้มันเพื่อสร้างอะไรสักอย่าง และอะไรสักอย่างนั้นมันต้องทำได้มากกว่าการเล่นเสียงทำนองเพราะๆ ออกมา

“แล้วอีกใบนั่นคืออะไรล่ะคะ?” เธอใช้ส้อมชี้ใส่กระดาษอีกแผ่นที่ดูเหมือนจะเป็นซองจดหมายที่พ่อของเธอยังหนีบอยู่ใต้แขน

“นี่น่ะเหรอ?” พ่อของเธอดูเหมือนจะลืมเกี่ยวกับกระดาษแผ่นนั้นไปเสียสนิทเพราะเขาดูตกใจมากเมื่อเธอพูดถึงมันขึ้นมา “เรื่องงานน่ะ ไม่สำคัญอะไรหรอก”

เอสเธอร์ทำหน้าไม่เชื่อมากกว่าตอนที่เขากางแบบแปลนเครื่องดนตรีชนิดใหม่ในโลกซะอีก “พ่อมีคนที่จะติดต่อเกี่ยวกับเรื่องงานด้วยเหรอคะ?”

“นั่นหยาบคายมากเลยนะเอสเธอร์ พ่อไม่ใช่คนว่างงานซะหน่อย” พ่อใช้ส้อมชี้สวนใส่เธออย่างโกรธๆ

“แต่หนูนึกว่าพ่อทำงานที่พิพิธภัณฑ์อย่างเดียวนี่?” จริงๆ แล้วต้องบอกว่าพ่อเธอเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์แห่งเดียวของสหรัฐอันเดอร์ริกาเลยมากกว่า เพราะเขาเป็นพนักงานคนเดียวในสถานที่ที่ดูเหมือนจะเป็นที่เก็บของเก่าฝุ่นจับนั่น และถึงแม้พ่อของเธอจะคอยพูดเกี่ยวกับความสำคัญของมันอยู่ตลอดว่ามันเป็นที่ให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้เกี่ยวกับอดีต แต่นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครอื่นในเมืองอีกเลยที่จะเสียเวลาไปกับการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์นั่น

อาเธอร์ขมวดคิ้วราวกับลำบากใจที่จะตอบ “นั่นก็ใช่... แต่นี่เป็นเรื่องคำขอร้องให้ไปช่วยงานนอกอะไรทำนองนั้นน่ะ”

“งานประเภทไหนคะ?”

“เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านน่ะ เขาขอร้องให้พ่อไปให้ข้อมูลในการสำรวจนอกสถานที่”

เอสเธอร์กระแทกช้อนส้อมลงกับโต๊ะอย่างแรงจนทำให้พ่อของเธอสะดุ้ง

“งั้นพ่อก็จะได้ออกไปนอกเมืองงั้นเหรอ!? เมื่อไหร่กันคะ?” ไม่แน่ฉันอาจจะได้ไปด้วย เธอคิดอย่างลิงโลด การได้ออกจากอันเดอร์ดีซีถือเป็นเรื่องที่เธออยากทำทุกเมื่อหากมีโอกาส แถมเธออาจจะได้ช่วยงานโบราณคดีกับพ่อของเธอด้วย

“ที่ไหนคะ? อันเดอร์นิวยอร์ค? นิวไอโอวา? หรือเป็นที่ประเทศฝั่งตะวันออก?”

เอสเธอร์หยุดพูดเมื่อเห็นว่าพ่อของเธอมีสีหน้าลำบากใจแค่ไหน “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”

อาเธอร์เอามือก่ายหน้าผาก ดูเหมือนว่าเขากำลังคิดหนักว่าจะบอกเรื่องนี้กับเธอดีหรือไม่ “พ่อคิดว่างานนี้ลูกคงไปกับพ่อไม่ได้”

เอสเธอร์ไม่โต้แย้งอะไรมากไปกว่าการขมวดคิ้ว “เหตุผลล่ะคะ?”

อาเธอร์ย้ายมือขวาจากที่หน้าผากมาเคาะกับโต๊ะเป็นจังหวะพร้อมกับเงยหน้ามองเพดาน

เขาเลียริมฝีปากก่อนจะเริ่ม “พ่อไม่แน่ใจว่าพ่อควรบอกลูกหรือเปล่านะ...”

เอสเธอร์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับคว้าจานของตัวเองที่กินหมดไปเพียงครึ่งเดียว พยายามปั้นหน้าให้ดูเหมือนไม่ใส่ใจเต็มที่ “อ้อ งั้นโอเคค่ะ”

“อ...โอเคงั้นเหรอ?” อาเธอร์ถึงกับอึ้ง นี่มันผิดปกติแล้ว นี่มันผิดวิสัยของเอสเธอร์จอมตื๊อเกินไป “ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ?”

“ทำไมพ่อพูดเหมือนหนูเป็นไอ้ตัวแสบจอมตื๊อแบบนั้นล่ะคะ?” เอสเธอร์ถามขณะเดินผ่านพ่อของเธอไปทางครัว

“ก็ทีตอนพ่อต้องไปดูซากเรือที่อ่าวนิวเม็กซิโก ลูกยังตามตื๊ออยู่เป็นเดือนเลยนี่?” อาเธอร์เงียบไปกลางคันเมื่อได้ยินเสียงกระดาษเสียดสีกันดังมาจากในครัว และนั่นเป็นตอนที่เขาเห็นว่าซองจดหมายหายไปจากใต้แขนตัวเองแล้ว

“เอสเธอร์!!” อาเธอร์ตะโกนอย่างโกรธๆ ขณะลุกเดินไปที่ครัวแต่นั่นก็เพียงพอที่เอสเธอร์จะอ่านจดหมายฉบับนั้นจนจบแล้ว เธอเบิกตากว้างกับเนื้อหาในจดหมาย

“สำรวจใต้ทะเลงั้นเหรอคะ!?” เอสเธอร์อุทานอย่างไม่อยากเชื่อขณะที่พ่อของเธอคว้าจดหมายกลับไป “แถมเป็นคำขอร้องจากประธานาธิบดีเองเลยด้วย!?”

อาเธอร์เดาะลิ้นอย่างหัวเสียที่เสียเหลี่ยมให้กับลูกสาวอีกจนได้ “ใช่ พ่อเองก็ยังประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่คอร์นีเลียสตัดสินใจทำอะไรแบบนี้”

เป็นที่รู้กันว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมาประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอันเดอร์ริกา จอห์น คอร์นีเลียส มุ่งเน้นนโยบายไปที่การขยายเมืองด้วยการขุดอุโมงค์เพื่อเพิ่มพื้นที่อยู่อาศัยและเพื่อหาแหล่งทรัพยากรน้ำมันกับแร่เหล็ก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเพื่อแข่งขันกับสหภาพโซเวียตใหม่ แต่นั่นอาจเป็นเหตุผลหลักที่เขาไม่เคยอนุมัติโครงการอื่นใดนอกเหนือจากนี้ทั้งสิ้น ดังนั้นเอสเธอร์จึงประหลาดใจมากที่รู้ว่าประธานาธิบดีของเธอสั่งอนุมัติโครงการสำรวจที่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลอย่างการสำรวจใต้ทะเล

“เขาต้องการอะไรกันคะ? ใต้ทะเลไม่น่าจะมีอะไรที่ใช้ประโยชน์ได้ไม่ใช่เหรอ?”

พ่อเธอยักไหล่แทนการบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้ “คงเป็นแหล่งน้ำมัน ไม่ก็แหล่งแร่ใต้ทะเลล่ะมั้ง?”

เอสเธอร์เอานิ้วหัวแม่มือข้างขวามาแตะที่คางอันเป็นท่าที่เธอชอบทำเวลาใช้ความคิด “แต่แหล่งน้ำมันใต้ทะเลจำเป็นจะต้องใช้เหล็กจำนวนมากเพื่อเอามาสร้างแท่นขุดเจาะซึ่งแม้กระทั่งตอนนี้ประเทศเราก็มีเพียงแค่สองแท่นเท่านั้นในนิวอะแลสกา และการขุดแร่ใต้ทะเลก็จำเป็นต้องใช้คนสวมชุดดำน้ำ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนและนั่นทำให้จำเป็นต้องมีฐานปฏิบัติการเหนือผิวน้ำ ซึ่งโดยรวมแล้วนั่นสิ้นเปลืองกว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันเสียอีก...”

“และนั่นหมายความว่า...” พ่อของเธอรับช่วงความคิดนั้นต่อ เอสเธอร์ยิ้มเพราะรู้ว่านั่นหมายความว่าพ่อของเธอหายโกรธเธอเรื่องจดหมายแล้ว

“ซากอารยธรรมโบราณ!!” สองพ่อลูกจบประโยคด้วยคำตอบที่ต่างคิดในหัวไว้พร้อมกัน

“หนูพนันเลยว่าต้องเป็นซากเรือดำน้ำยูเอสเอส โอไฮโอแน่ๆ!” เอสเธอร์พูดถึงตำนานเรือดำน้ำลำแรกที่พาชาวอันเดอร์ริกาทุกคนมายังดินแดนสิ้นแสงแห่งนี้

อาเธอร์ย่นหน้า เขาไม่เคยชอบความคิดที่ว่ายูเอสเอส โอไฮโอมีอยู่จริง “แต่พ่อคิดว่าน่าจะเป็นพวกฐานวิจัยเก่าใต้น้ำซะมากกว่า”

“โหพ่อ จินตนาการได้น่าเบื่อมากเลยอะ” เอสเธอร์ลองแหย่เมื่อเห็นว่าพ่อหายโกรธแล้วแต่ดูเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจพลาดเมื่อพ่อของเธอกลับมาทำหน้าบูดใส่เธออีกครั้ง

“ไม่ต้องมาตีซี้เลยนะเอสเธอร์ ยังไงพ่อก็พาลูกไปไม่ได้ แค่เนื้อหาในจดหมายนั่นก็เป็นความลับมากพอแล้ว อีกอย่างนี่เป็นโครงการของรัฐบาล ไม่ใช่การจ้างงานนอกสถานที่และไม่ใช่การไปเที่ยวเล่นด้วย เข้าใจใช่ไหม?”

เอสเธอร์พยายามตีหน้าเศร้าเพื่อเรียกคะแนนสงสาร “อย่างน้อยถามเผื่อให้หนูหน่อยไม่ได้เหรอคะ? ยังไงซะโครงการสำรวจใต้ทะเลก็จำเป็นต้องใช้เรือลำใหญ่อยู่แล้ว หนูแน่ใจว่าพวกเขาต้องมีที่เหลือให้ผู้ช่วยนักโบราณคดีประจำเมืองอยู่แล้วแหละ” เธอรู้ว่าพ่อของเธอชอบให้เรียกว่านักโบราณคดี ดังนั้นเธอจึงไม่ลืมที่จะหยอดมันลงไปในประโยคด้วย

“เอาเป็นว่าพ่อจะลองถามดูให้ก็แล้วกัน” อาเธอร์ว่าพลางถอนหายใจอย่างยอมแพ้

เอสเธอร์ยิ้มหวานขณะเดินเข้าไปกอดพ่อ “หนูรักพ่อที่สุดเลยค่ะ!”

“แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ” อาเธอร์ว่าพลางกลอกตา “ตอนนี้ก็รีบไปโรงเรียนได้แล้ว เดี๋ยวจะสายเอานะ”

เอสเธอร์ผละจากพ่อก่อนจะเดินไปคว้ากระเป๋าบนที่แขวนข้างประตู

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยังไงหนูก็ที่หนึ่งของชั้นทุกปีนะ” เธอไม่ได้คุยโว ความรู้ที่เธอซึมซับจากพ่อและการรักในการอ่านหนังสืออยู่เสมอทำให้เธอฉลาดกว่าเด็กคนอื่นในชั้นเรียน

และนั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่วันนี้เธอจะโดดเรียน

เพราะวันนี้เอสเธอร์มีที่ที่จำเป็นต้องไปแล้ว

เลือกตอน
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 3

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!