ตอนที่ 4 กายาจักรพรรดิอสูรและบทบรรเลงแห่งจักรพรรดิอสูร , เจ็ดปีผ่านไป

บทบรรเลงแห่งจักรพรรดิอสูร!

ได้สดับฟังชื่อของวิชาที่ต้องฝึกฝนคู่กับกายาราพนาสูร ไดนัสก็นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัยว่า"ท่านบรรพบุรุษขอรับ แล้ววิชาบทบรรเลงแห่งจักรพรรดิอสูรมันเป็นวิชาประเภทไหนและมีกี่ขั้นกี่ระดับหรือขอรับ?"

เยาเจวี๋ยเทียนกล่าวตอบว่า"วิชานี้มันเป็นวิชาที่ใช้สำหรับเพิ่มศักยภาพของผู้ฝึก ประเภทของมันนั้นก็คือ'ปราณคลั่ง' วิชานี้มีทั้งหมดสิบเอ็ดด่านและสิบกระบวนท่า สำหรับเจ้าในตอนนี้ระดับบ่มเพาะอยู่เพียงแค่ขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่หนึ่งเท่านั้น ซึ่งถ้าเจ้าต้องการจะเปิดด่านที่หนึ่งของบทบรรเลงแห่งจักรพรรดิอสูร เจ้าจะสามารถเปิดมันได้แค่สิบวินาทีเท่านั้น ทว่าถ้าเจ้าอยากจะเปิดด่านแรกโดยไม่มีเวลาจำกัด เจ้าก็ต้องไปถึงขั้นที่เก้าขอบเขอบเขตปราณเริ่ทต้นให้ได้ก่อน นี่คือข้อมูลพื้นที่เจ้าควรจะรู้ไว้ แต่ถ้าเจ้าดันทุรังไปเปิดด่านแรกเกินสิบวินาทีแล้วล่ะก็ เส้นชีพจรลมปราณของเจ้ามันเริ่มเสียหายแล้วเปลี่ยนเจ้าเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาหรือคนพิการอย่างแน่นอน"

"ส่วนเรื่องการฝึกวิชานี้นั้นเจ้าก็ไม่ต้องไปฝึกมันเช่นกัน เพราะมันจะพัฒนาตัวเองตามระดับบ่มเพาะของเจ้าตามวิชากายาราพนาสูร"

ได้ฟังคำกล่าวเฉลยเกือบหมดไส้ของบทบรรเลงแห่งจักรพรรดิอสูรแล้ว ไดนัสก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที หนึ่งเพราะมันคือวิชาเพิ่มศักยภาพ สองเพราะมันคือวิชาที่ไม่ต้องฝึกอะไรให้ยุ่งยากอย่างไรล่ะ แค่ปล่อยให้มันพัฒนาตามระดับบ่มเพาะน่ะดีแล้ว

จากนั้นไดนัสก็ถามอีกข้อสงสัยออกไป"แล้วทั้งสิบเอ็ดด่านและสิบกระบวนท่า มันเรียกว่าอย่างไรและมีอนุภาพแบบไหนบ้างหรือขอรับ?"

เยาเจวี๋ยเทียนตอบ"ด่านแรกของบทบรรเลงแห่งจักรพรรดิอสูรนั้นเรียกว่าอสูรก้องกังวาล มันจะเพิ่มศักยภาพให้เจ้าสองเท่า กระบวนท่าก็คือพิฆาตนภา มันจะเพิ่มความเสียหายสิบเท่าในหนึ่งการโจมตี แต่เจ้าก็ต้องระวังให้ดี เพราะถ้าใช้มันเยอะเกินไป เส้นชีพจรของเจ้าอาจเสียหายได้"

"ด่านที่สองเรียกว่าอสูรแท้จริง มันจะเพิ่มศักยภาพให้เจ้าสามเท่า กระบวนท่าก็คือเกราะศักดิ์สิทธิ์แท้จริง ตามชื่อของมัน มันจะสร้างเกราะปราณขึ้นมาป้องกันรอบตัวเจ้า เจ้าสามารถขยายเกราะนี้ให้ใหญ่แค่ไหนก็ได้ตามแต่ใจ ทว่ามันก็จะแลกมาด้วยความแข็งแกร่งของเกราะที่ลดลง"

"ด่านที่สามเรียกว่าอสูรโลหิตเขมือบฟ้า มันจะเพิ่มศักยภาพให้เจ้าสี่เท่า กระบวนท่าคือคว่ำฟ้าล้างปฐพี กระบวนท่าในด่านนี้จะคล้ายคลึงกับกระบวนท่าในแรก นั่นก็คือระเบิดประทุขึ้นมาฉับพลัน ส่วนความเสียหายนั้นก็คือยี่สิบเท่า"

"ด่านที่สี่เรียกว่าอสูรนภาพิโรธ มันจะเพิ่มศักยภาพให้เจ้าห้าเท่า กระบวนท่า...ไม่สิมันควรจะเรียกว่าเขตแดนมากกว่า เขตแดนนี้ชื่อว่าเขตแดนแห่งโทสะ มันเป็นเขตแดนที่ทำให้ผู้ถูกกระทำมีอารมณ์ที่แปรปรวนขึ้นมาทันใด จนกระทั่งสามารถทำให้เป็นบ้าไปได้เลย"

"ด่านที่ห้าเรียกว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์เทียบฟ้า มันจะเพิ่มศักยภาพให้เจ้าหกเท่า กระบวนท่าคือเพลิงคลั่งล้างโลกา กระบวนท่านี้จะรีดเค้นประสิทธิภาพปราณของเจ้าออกมาให้มากที่สุด หรือก็คือเพิ่มศักยภาพให้เจ้าสิบเท่าภายในเวลาสามสิบนาที ส่วนผลค้างเคียงนั้นก็คือเจ้าจะอยู่ในสภาพอ่อนแอสามเดือนเต็ม"

"ด่านที่หกเรียกว่าเซียนอสูรเทวะ มันจะเพิ่มศักยภาพให้เจ้าเจ็ดเท่า กระบวนท่าคือฤทธิ์ฟ้าอสูรเทวะ กระบวนท่านี้มีความคล้ายคลึงกระบวนท่าของด่านที่หนึ่งและสาม นั่นก็คือระเปิดประทุในฉับพลัน พลังที่ระเบิดออกมานั้นก็คือสามสิบเท่า"

"ด่านที่เจ็ดเรียกว่ายอดราชันเซียนอสูร มันจะเพิ่มศักยภาพให้เจ้าแปดเท่า กระบวนท่าในด่านนี้เรียกได้ว่าท้าทายกฏธรรมชาติอย่างแท้จริง ชื่อของมันคือพลิกสวรรค์ท้าธรรมชาติ ผลของมันเพื่อใช้แล้วจะสามารถสะท้อนพลังออกไปได้ ไม่ว่าพลังนั้นจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าแค่ไหนก็ตาม แต่ขีดจำกัดของมันอยู่ที่สามารถสะท้อนพลังจนถึงขอบเขตของที่สิบเท่านั้น ส่วนขอบเขตในตำนานอย่างขอบเขตที่สิบเอ็ดมันไม่สามารถสะท้อนได้"

"ด่านที่แปดเรียกว่ามหาราชันจอมอสูร มันจะเพิ่มศักยภาพให้เจ้าเก้าเท่า กระบวนท่าในด่านนี้ก็พิเศษเช่นกัน เนื่องจากว่ามันสามารถสร้างแรงกดดันทางจิตใจให้กับผู้ถูกกระทำ จนกระทั่งผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอจิตดับสูญไปชั่วนิรันดร์มันก็ยังสามารถทำได้ ชื่อของมันคือบารมีจอมราชัน"

"ด่านที่เก้าเรียกว่าอสูรจักรพรรดิฟ้า มันจะเพิ่มศักยภาพให้เจ้าสิบเท่า กระบวนท่าในด่านนี้มันจะทำให้เจ้าไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน นั่นก็คือผู้ถูกกระทำจะโดนอำนาจบางอย่างสะกดข่มไว้อย่างสิ้นเชิง ชื่อของมันคือกึงก้องทั่วฟ้า"

"ด่านที่สิบเรียกว่าอสูรเต๋าอมตะ มันจะเพิ่มศักยภาพให้เจ้าสิบเอ็ดเท่า กระบวนท่าของด่านนี้มันแหกกฏธรรมชาติอย่างสิ้นเชิงเช่นกันกับกระบวนท่าของด่านที่เจ็ด เมื่อใช้มันเจ้าสามารถสร้างสรรค์สิ่งใดออกมาตามใจเจ้าปราถนา เจ้าสามารถที่จะสร้างสิ่งที่เล็กที่สุดจนกระทั่งใหญ่ที่สุดอย่างจักรวาลได้ เรียกได้ว่ามันคือการปูพื้นฐานก่อนที่เจ้าจะบรรลุขอบเขตที่สิบเอ็ด ชื่อของมันคือหนึ่งความคิดคือสรรพสิ่ง"

"และสุดท้านด่านทที่สิบเอ็ด มันเรียกว่าจักรพรรดิอสูรเหนือรังสรรค์ มันจะเพิ่มศักยภาพให้เจ้าสิบสองเท่า ทว่า มันกลับมีสิ่งที่น่าแปลกสำหรับด่านนี้ นั่นก็คือด่านนี้ไม่มีกระบวนท่าประจำด่าน มันอาจจะเป็นเพราะท่านบรรพชนเมื่อครั้งอยู่ในจุดสูงสุดนั้นก็คือครึ่งก้าวขอบเขตที่สิบเอ็ด ท่านก็เลยไม่สามารถสร้างกระบวนท่าของด่านนี้ออกมาได้ แต่นี่ก็เป็นแค่ทฤษฎีเท่านั้น"เสี้ยววิญญาณมองเข้าไปลึกข้างในดวงตาของไดนัส(เยาหวังเล่อ)อีกครั้งและกล่าวว่า"แต่บางที เจ้าก็อาจจะสร้างกระบวนท่าประจำด่านนี้ออกมาได้ก็ได้ ผู้ใดจะรู้กันล่ะ หึหึ"

ประโยคสุดท้าย ถึงจะพูดให้กำลังใจเด็กหนุ่มตรงหน้าไปแบบนั้น แต่มันหาได้มีความหวังในวาจาไม่

เยาเจวี๋ยเทียนเงียบไป ไดนัสก็ไม่ถามอะไรและกำลังย่อยความคิดเช่นกัน

จนกระทั่งผ่านไปได้สามสิบนาทีเด็กหนุ่มถึงได้ย่อยทั้งหมด จนจดจำได้แล้วจากนั้นก็ถามคำถามสุดท้านของวันนี้ออกมา"เอ่อท่านบรรพบุรุษขอรับ ข้าขอถามได้ไหมว่า อำนาจของตระกูลเยาในโลกแห่งการบ่มเพาะนั้นมีมากน้อยแค่ไหนหรือขอรับ อีกอย่างก็คือ'บรรพชน'ที่ท่านพูดถึงนั้น ใช่บรรพบุรษผู้ก่อตั้งตระกูลเยาหรือไม่ขอรับ"

"เจ้าถามได้ฉลาดมาก"จากนั้นเยาเจวี๋ยเทียนจึงตอบว่า"อำนาจของพวกเราตระกูลเยาในโลกแห่งการบ่มเพาะนั้นอยู่ในอันดับที่หนึ่งของโลกแห่งการบ่มเพาะ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าในโลกแห่งการบ่มเพาะนั้นแม้จะมีตระกูลอันดับที่สองนับล้านตระกูลก็มิอาจล้างบางพวกเราตระกูลเยาลงได้ ส่วนท่านบรรพชนนั้นเจ้าก็เดาถูกเช่นกัน ท่านเป็นผู้ก่อตั้งตระกูลเยาของเรา"หยุดไว้ตรงนี้แล้วจากนั้นน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจว่า"และที่สำคัญ ข้าเบาเจวี๋ยเทียนนั้นก็คือผู้นำตระกูลรุ่นที่สิบอย่างไรล่ะ"

****

"เอาล่ะ"เยาเจวี๋ยเทียนกล่าวขึ้น"ตอนนี้เจ้าก็รู้เรื่องของวิชาที่ใช้ฝึกคู่กันโดยใข้สายเลือดเป็นตัวกลางอย่างกายาราพนาสูรและบทบรรเลงแห่งจักรพรรดิอสูรแล้ว ดังนั้นก่อนที่เจ้าจะเริ่มฝึกมัน เจ้าก็ควรจะต้องรู้เรื่องพื้นฐานอีกอย่างหนึ่งก่อนว่า ขอบเขตปราณเริ่มต้นนั้นมีลักษณะอย่างไร เอาล่ะสามขั้นแรกของขอบเขตนี้เจ้าจะสามารถใช้ได้แค่พลังกาย หรือว่ากำลังภายนอกอย่างเดียว เมื่อเจ้าบ่มเพาะถึงขั้นที่สี่ขึ้นไปเจ้าก็สามารถใช้กำลังภายในได้แล้ว ซึ่งถ้าเทียบขั้นที่สามและสี่แล้ว ความแตกต่างของมันก็เหมือนกับเอาไข่ไปกระแทกกับหินเลย สุดท้าย เมื่อเจ้าบ่มเพาะถึงขั้นที่เจ็ดขึ้นไป เจ้าก็สามารถที่จะปลดปล่อยพลังปราณออกมาได้ มันจะออกมาในสภาพของคลื่นพลัง"

เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มรับรู้เรื่องที่ควรรู้แล้ว เยาเจวี๋ยเทียนก็ว่าขึ้น"เจ้าพร้อมที่จะเรียนรู้กายาราพนาสูรและบบรรเลงแห่งจักรพรรดิอสูรหรือยัง!?"

ไดนัสตอบกลับด้วยเสียงที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม"พร้อมแล้วขอรับท่านผู้นำตระกูลรุ่นที่สิบ!"

"กล่าวได้ดีทายาทแห่งตระกูลเยา!"

****

กาลเวลาราวกับสายน้ำไหลเชี่ยว เพียงไม่ทันไรก็ผ่านไปเจ็ดปี!

หลังจากที่ไดนัสเริ่มฝึกวิชาคู่ในวันนั้นมันก็ผ่านมาเจ็ดปีแล้ว

มันเป็นจริงตามที่ท่านบรรพบุรุษกล่าวไว้ นั่นก็คือไม่ต้องไปฝึกอะไรมากมายมันก็จะพัฒนาเอง ตอนนี้เด็กหนุ่มมีระดับบ่มเพาะที่ขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่เก้าแล้ว! ซึ่งที่ผ่านมาเขาไม่ได้ใช้ทรัพยากรในการช่วยบ่มเพาะเลย สามารถเรียกได้ว่าพึ่งแต่พรสวรรค์ตามธรรมชาติล้วนๆ

เขาใช้เวลาแค่หนึ่งเดือนก็สามารถเลื่อนเป็นขั้นที่สองได้แล้ว ซึ่งเมื่อเขามาถึงขั้นที่สอง เยาเจวี๋ยเทียนก็ได้บอกเขาว่า เมื่อเจ้ามาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าก็สามารถที่จะล้มพวกสไลม์ ก็อบลินและโคบอลต์ลงได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเขาก็ลองไปทำตามสิ่งที่เยาเจวี๋ยวเทียนพูด สถานที่น่ะหรือ? ก็รอบหมู่บ้านและป่าหลังหมู่บ้านน่ะสิมีเยอะจะตายไป

เมื่อเด็กหนุ่มมาถึงขั้นที่สี่ การจะล้มพวกออร์คก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ในขั้นที่เจ็ดจนถึงขั้นที่เก้า......ในรอบหมู่บ้านนี้ก็ไม่มีมอนสเตอร์ตัวอะไรที่เขาล้มไม่ได้อีกแล้ว

และเมื่อมาถึงจุดนี้เยาเจวี๋ยเทียนก็ได้บอกว่า เด็กหนุ่มได้สร้างรากฐานที่ดีแล้ว ตอนนี้ก็คงสามารถออกไปเผชิญโลกกว้างได้อย่างไม่ติดขัดอะไร แต่เสี้ยววิญญาณก็ได้ย้ำหนึ่งข้อควรระวังไว้ว่า อย่าได้หลงละเลิงกับความสามารถในตอนนี้ของเจ้านัก เพราะเมื่อไหร่ที่เจ้าไปเล่นแล้วไม่ดูรุ่นล่ะก็ เมื่อนั้นชีวิตของเจ้าก็คงจะจบลงเพียงแค่นี้

และถ้าจะถามว่าไดนัสจัดการกับมอนสเตอร์รอบหมู่บ้านยังไง? ก็คงต้องตอบตรงนี้เลยว่า....มือเปล่ายังไงล่ะ!!

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!