หยกสีทองเปล่งประกายเรืองรอง ในหมู่หยกนับร้อยชิ้นในมิติเอกเทศนี้ เรียกว่าสดุดตาเป็นอย่างยิ่ง ยาวกับความหวังในความมืดมิดชั่วนิรันดร์
ร่างวิญญาณของไดนัสพุ่งเข้าไปหาหยกชิ้นนั้นทันที เพราะเขารู้ว่าอะไรที่เปล่งประกายยิ่งกว่าในหมู่เดียวกัน มันต้องเป็นของล้ำค่าแน่นอน
ร่างมาหยุดอยู่ข้างหน้าหยกชิ้นนั้น มือหนึ่งเอื้อมไปคว้ามาไว้ในกำมือ จากนั้นเด็กหนุ่มจึงส่งพลังชมปราณอันน้อยนิดออกตนเขาไปในหยกสีทองทันที
หยกเปล่งแสงสว่างวาบออกมา พอแสงเริ่มจางลงจึงได้เห็นเป็นวิญญาณรูปร่างมนุษย์ชายชราดวงหนึ่งที่'ลอย'อยู่เหนือหยกชิ้นนั้น มันหลับตาราวกับจมลงสู่ความคิดหรืออย่างอื่น
ตอนนั้นเอง วิญญาณปริศนาก็ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับกล่าวว่า"ลูกหลานของข้า ในที่สุดเจ้าก็ได้อาชีพเป็นผู้ฝึกตนเสียที ส่วนข้าในตอนนี้นั้นเป็นเพียงเสี้ยวจิตวิญญาณหนึ่งในพันของร่างต้นเท่านั้น"เหลือบดูปฏิกิริยาของทายาทตนเอง เมื่อเห็นแววตาที่ตื่นตระหนกของอีกฝ่ายชายชราก็ยังกล่าวต่อ"ลูกหลานของข้าเอ๋ย จงฟังข้าให้ดี เมื่อครั้งกระโน้นในตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าได้ทิ้งถุงพหุเซียนไว้ให้กับลูกหลานของข้า ข้าได้บอกกับพวกเขาไว้ว่ามีเพียงแค่ทายาทที่เป็นผู้ฝึกตนหรือมีอาชีพผู้ฝึกตนเท่านั้นจึงจะเปิดมันออกมาได้ และในที่สุดทายาทผู้มีอาชีพผู้ฝึกตนก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว นั่นก็คือเจ้า"
ตอนนี้ดวงตาของไดนัสเผยควาตกตะลึงออกไปอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตนลงไปคุกเข่าตอนไหน ที่เขาตกตะลึงนั้นก็เพราะว่าวิญญาณของหน้าตนนี้เป็นวิญญาณของบรรพบุรุษตน อีกเหตุผลก็คือ.....วิญญาณนี่ก็คือผีดีดีนี่เองน่ะสิ! แต่ก็ช่างเถอะ
ไม่เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มได้เอ่ยปาก เยาเจวี๋ยเทียนก็กล่าวต่อทันที"ในตอนที่เจ้าได้รับอาชีพผู้ฝึกตนมา เจ้าก็คงจะได้เห็นระดับบ่มเพาะของตนเองแล้ว นั่นก็คือตอนนี้เจ้าอยู่ในขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่หนึ่ง ซึ่งถ้าเทียบกันตามขีดขั้นพลังแล้วถือว่าต่ำที่สุด ถ้าอย่างงั้นข้าก็จะบอกเจ้าไปเลยแล้วกันว่าตอนนี้เจ้าควรจะรู้ว่าขอบเขตไหนสูงหรือต่ำก่อน"
"ตอนนี้เจ้าก็คงจะรู้แล้วว่าขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่หนึ่งนั้นเป็นระดับบ่มเพาะที่ต่ำที่สุด แต่เจ้าก็คงจะไม่รู้ว่ามันมีกี่ขั้นกันแน่? สำหรับขั้นย่อยของมันนั้นมีทั้งหมดเก้าขั้น เรียงกันหนึ่งถึงเก้า เอาล่ะสำหรับขอบเขตปราณเริ่มต้นก็จบแค่นี้"
เยาเจวี๋ยเทียนมองไปที่ลูกหลานของตนซึ่งยังคุกเข่าอยู่ข้างหน้าอยู่ เขาเอ่ยเสียงเรียบออกมา"ยืนขึ้น" เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยืนขึ้น และดูเหมือนว่าจะย่อยข้อมูลเสร็จแล้ว เขาก็กล่าวต่อทันที"สำหรับขอบเขตที่สูงกว่าขอบเขตปราณเริ่มต้นนั้นมี ขอบเขตแก่นแท้ปราณ ระดับย่อยก็คือแก่นชีพทั้งเจ็ดระดับ ต่อจากนั้นจะเป็นขอบเขตปราณวิญญาณ มีสามสวรรค์เป็นขั้นรองก็คือขั้นปราณแท้จริง,ขั้นวิญญาณแม้จริงและแท้จริงไร้ที่ติ ส่วนระดับย่อยนั้นแบ่งออกจากต่ำไปสูงคือ ระดับต่ำ กลาง สูง สูงสุด"องค์บรรพบุรุษหยุดเล่าไปครู่หนึ่งเพื่อให้ไดนัสได้ย่อยข้อมูลอีกครั้ง
ผ่านไปสักพัก เมื่อเห็นว่าไดนัสย่อยข้อมูลเสร็จแล้วก็กล่าวต่อทันที"ต่อจากขอบเขตวิญญาณก็คือขอบเขตกำเนิดแก่นแท้ ขอบเขตนี้จะแปลกแยกจากขอบเขตอื่น เนื่องจากว่ามันมีขั้นรองเป็นขอบเขตกำเนิดแก่นแท้ระดับต่ำ และขอบเขตกำเนิดแก่นแท้ระดับสูง ในระดับต่ำนั้นจะเรียกง่ายๆกันว่าราชา ส่วนระดับสูงคือมหาราช ระดับย่อยของขอบเขตนี้ก็คือช่วงต่ำ ช่วงกลาง ช่วงสูง ช่วงปลาย ระดับที่สูงขึ้นไปกว่าขอบเขตกำเนิดแก่นแท้ก็คือ ขอบเขตปราณศักดิ์สิทธิ์ ขั้นรองของมันก็คือยอดปรมาจารย์และมหาปรมาจารย์เหตุผลที่เรียกกันแบบนี้ก็เพราะว่า ขอบเขตนี้เป็นจุดสูงสุดของมนุษย์ก่อนจะเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและเทพ ด้วยเหตุนี้ปรมาจารย์ก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่มนุษย์ธรรมดายังไงละ"
"ตอนนี้เหลืออีกสองขอบเขตที่เจ้าควรจะนั่นก็คือนั่นก็คือขอบเขตเทวะแท้จริงและขอบเขตสู่เทวราชฟ้า ส่วนขอบเขตที่เหลือนั้น ในตอนนี้เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้ถึงมัน"เสี้ยววิญญาณบรรพบุรุษกล่าวจบคำ ไดนัสก็ร้องถามขึ้นมาทันที
"ท่านบรรพบุรุษขอรับ แล้วสายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์มันคือสิ่งใดกัน? ใช่สายเลือดที่สืบทอดกันมาตามตระกูล'เยา'หรือไม่ขอรับ อีกอย่างคือทำไมชื่อของข้าถึงมีสองชื่อ ชื่อแรกของข้าคือไดนัสอีกชื่อก็คือเยาหวังเล่อ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ขอรับท่านบรรพบุรุษ"
เสี้ยววิญญาณของเยาเจวี๋ยเทียนยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวตอบว่า"ใช่แล้วสายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์นั้นสืบทอดกันมาในตระกูลเยารุ่นสู่รุ่น พวกเราจะวัดความเข้มข้นของสายเลือดโดยการฝึกเคล็ดวิชา[กายาราพนาสูร] วิชานี้ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของตระกูลเยานั้น มันมีทั้งหมดสิบห้าขั้น วิชานี้เจ้าไม่ต้องไปฝึกฝนอะไรมาก เพราะว่ามันจะเลื่อนระดับตามระดับบ่มเพาะของเจ้าอยู่แล้ว ตัวอย่างก็คือเจ้าในตอนนี้อยู่แค่ขอบเขตปราณเริ่ทต้นเท่านั้น กายาราพนาสูรที่เจ้าฝึกก็จะเป็นแค่ขั้นหนึ่ง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เจ้าเลื่อนไปยังอีกขอบเขตได้แล้ว มันก็จะเลื่อนระดับเป็นขั้นที่สองตามไปด้วย ซึ่งไม่มีเคล็ดวิชาไหนที่เยี่ยมยอดเท่าวิชานี้อีกแล้ว อีกอย่างก็คือมันเป็นเคล็ดวิชาสำหรับคนที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์อย่างพวกเราจระกูลเยาอย่างไรล่ะ!"
"ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมเจ้าถึงมีอีกชื่อว่าเยาหวังเล่อนั้น มันก็เป็นเพราะว่าเจ้าเป็นคนของตระกูล มีสายเลือดของจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์ อีกสาเหตุสำคัญก็คือเจ้าเป็น[ผู้ฝึกตน]อย่างไรล่ะ!"
คำถามของเด็กหนุ่มได้รับการไขข้อสงสัยทันที แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แล้วโพล่งถามออกไปทันที"แล้วพวกบรรพชนของข้าละขอรับ อย่างท่านทวดหรือท่านปู่ของข้าพวกเขาไม่ได้มีอาชีพเป็นผู้ฝึกตนหรือเป็นผู้ฝึกตนโดยตรง ดังนั้นแล้วพวกเขาสามารถใช้แซ่เยาหรือไม่ขอรับ"ได้ยินคำถามนี้เข้าไป เยาเจวี๋ยเทียนก็อดที่จะรู้สึกชื่นชมทายาทตรงหน้าของตนคนนี้ไม่ได้ มันฉลาดอย่างแท้จริงที่ถามคำถามนี้ออกมา เพราะเด็กในวัยเดียวกันที่อายุห้าขวบก็คงไม่สามารถที่จะคิดคำถามแบบขึ้นมาได้
จากนั้นจึงตอบออกไปด้วยเสียงราบเรียบ"ลูกหลานของข้าที่ไม่ได้มีอาชีพเป็นผู้ตนอย่างนั้นหรือ? จริงๆแล้วพวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้แซ่เยาแม้แต่น้อย เนื่องจากว่าพวกเขาไม่มีใครที่สามารถบ่มเพาะพลังได้เลย แต่ถ้าหากว่าพวกเขามีความสามารถมากพอ การจะให้แซ่เยาแก่ลูกหลานที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนนั้นก็สามารถเป็นไปได้เช่นกัน"
ไดนัสทำหน้าละห้อยทันที เพราะว่าทวดและปู่ของเขาทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นแค่นักดาบธรรมดา และอีกคนก็ยังคงเป็นแค่พ่อครัวอัจฉริยะเท่านั้น เหตุผลแค่นี้คงจะไม่สามารถทำให้ทวดและปู่ของเด็กหนุ่มได้ใช้แซ่เยาอย่างแน่นอน
แต่ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็พลันปรากฏเข้ามาอยู่ในหัวของเด็กหนุ่ม เขาชั่งใจอยู่นานสองนานกว่าจะถามออกไปได้"เอ่อ...ท่านบรรพบุรุษขอรับ แล้วถ้าหากว่าพวกเขาสามารถปลุกสายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์ได้ล่ะขอรับ และถ้าว่าพวกเขากลายเป็นคนที่มีความอัจฉริยะสูงขึ้นมาแล้วพัฒนาตนเองอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ พวกเขา....สามารถที่จะใช้แซ่เยาได้ไหมขอรับ"
เสี้ยววิญญาณบรรพบุรุษนิ่งคิดเล็กน้อย จากนั้นตอบว่า"ที่เจ้าว่ามา ถ้าพวกเขามีความสามารถ การจะให้แซ่เยาไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่มีข้อกำหนดว่าต้องเป็นอาชีพที่มีประโยชน์เท่านั้น ตัวอย่างก็คือนักดาบ นักเวทย์ ปราชญ์ ผู้กล้า ช่างตีเหล็ก ผู้เชี่ยวในการตั้งค่ายกลเวทย์กับดัก ฯลฯ"จ้องมองไปทางเด็กหนุ่มที่ตอนนี้ตาเปล่งประกายออกมาแล้ว จากนั้นว่าต่อ"แต่การจะปลุกสายเลือดของผู้ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนนั้น ก็ยากมากสำหรับเจ้าในตอนนี้ ถ้าจะให้ข้าลองคิดดูล่ะก็.....คงจะต้องใช้กายการาพนาสูรที่ฝึกจนถึงขั้นแปดและมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตปราณศักดิ์สิทธิ์แล้วมากระตุ้นกระมัง"
ถึงได้นัสจะได้ยินเงื่อนไขที่อาจจะเป็นไปไม่ได้ในการปลุกสายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์เลยตอนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นแววตากลับหามีความลังเลหรือเผยความลำบากใจออกมาไม่
เด็กหนุ่มถามออกไปอีกครั้ง"ท่านบรรพบุรุษ แล้วทำไมเสี้ยววิญญาณหนึ่งในพันของท่านถึงมาอยู่ในโลกแห่งเวทมนตร์และดาบแห่งนี้ได้? หรืออาจจะเป็นเพราะสาเหตุบางอย่างที่ท่านต้องมาในที่แห่งนี้"
เยาเจวี๋ยเทียนจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของไดนัส ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า"เจ้าในตอนนี้ ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรับรู้ถึงเรื่องนั้น จริงๆแล้วที่ข้าต้องมาสร้างทายาทในโลกแห่งนี้มันก็มีเหตุและผลเช่นกัน แต่เจ้าในตอนนี้รับรู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ หนำซ้ำถ้ารู้ไปอาจจะเป็นอันตรายต่อตัวเจ้าเองก็ได้"
เห็นบรรพบุรุษปฏิเสธเสียงแข็งเช่นนี้ เด็กหนุ่มก็ไม่ซักไซ้เรื่องเมื่อครั้งเยาเจวี๋ยเทียนยังมีชีวิตอยู่อีก แต่เปลี่ยนเป็นถามเรื่องอื่นแทน
"ท่านบรรพบุรุษ แล้วข้าจะสามารถฝึกกายาราพนาสูรได้อย่างไรขอรับ"
เยาเจวี๋ยเทียนหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นจึงโบกมือแล้วหนึ่งในแผ่นหยกนับร้อยก็ลอยออกมา ได้มาแล้วก็ยื่นให้กับเด็กหนุ่มทันที"นี่คือวิชากายาราพนาสูร ตามชื่อของมัน มันเป็นวิชาสำหรับเอาไว้ฝึกร่างกายของคนที่ฝึกให้แข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และอดทนขึ้น ถึงแม้ในตอนนี้เจ้าจะฝึกได้ถึงแค่ขั้นที่หนึ่งของมันเท่านั้น แต่อนุภาพของมันเจ้าก็ไม่อาจจะมองข้ามไปได้เช่นกัน เพราะถึงจะเป็นแค่ขั้นที่หนึ่ง แต่อาวุธมีคมในระนาบของขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่หนึ่งถึงเก้าก็ไม่อาจจะทำร้ายเจ้าได้แม้แต่น้อย เรียกง่ายๆก็คือ ร่างกายของเจ้าจะไร้เทียมทานในขอบเขตบ่มเพาะเดียวกัน"
"ส่วนข้อมูลความเป็นมาของวิชานี้นั้น เล่าไปครึ่งสันก็คงจะไม่มีวันจบเป็นแน่ ดังนั้นข้าจะสรุปให้เจ้าฟังคงจะดีกว่า"เกริ่นเสร็จแล้วก็เริ่มเล่าต่อเมื่อนานมาแล้วหลายปีจนมิอาจนับได้ บรรพบุรุษท่านไดเถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับสายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์ สายเลือดนี้มิมีวันที่สวรรค์ที่จะให้มาแน่นอน แต่ท่านบรรพบุรุษได้สันนิษฐานไว้ว่าคงจะเป็นธรรมชาติที่ประทานสายเลือดนี้มาให้ ถ้าเจ้าจะถามว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวยังไงกับวิชากายาราพนาสูร ข้าคงต้องตอบอย่างชันเจนตรงนี้ว่ามันเกี่ยวข้องเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าวิชานี้ต้องมีสายเลือดของจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์เท่านั้นที่จะฝึกได้ แม้แต่คนที่มีสายเลือดเข้มข้นน้อยที่สุดก็สามารถที่จะเรียนรู้มันได้เช่นกัน วิธีการก็คือใช้สายเลือดจักรพรรดิอสูรฯเป็นตัวกลางในการฝึก"
"ทั้งนี้ท่านบรรพบุรุษได้กล่าวไว้ว่า ถึงมันจะเป็นวิชาสายเลือด แต่วิชานี้มันไม่ได้'ติดตัว'มากับท่านบรรพบุรุษในตอนที่ท่านถือกำเนิดขึ้นมาเลย"
"หลังจากที่ท่านได้สร้างวิชานี้โดยใช้สายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์หยดลงไปบนตัววิชาเพื่อเชื่อมต่อกับสายเลือดนี้ชั่วนิรันดร์แล้ว ท่านก็ยังสร้างอีกหนึ่งวิชาที่ควบคู่ไปกับวิชานี้ด้วย นั่นก็คือ[บทบรรเลงแห่งจักรพรรดิอสูร]"
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments