*ชี้แจงเล็กน้อย:ในตอนที่ 4 ที่บอกว่าไดนัสได้เลื่อนระดับบ่มเพาะจากขั้นที่ 1 ไป 9 ในเวลา 7 ปีโดยใช้แค่พรสวรรค์ตามธรรมชาตินั้น ผมลืมเขียนอย่างหนึ่งไปครับ นั่นก็คือสภาพแวดล้อมเช่นกันที่มีมานาไม่ค่อยหนาแน่น ถ้าเปรียบเทียบกับนิยายกำลังภายในละก็ มันก็จะเหมือนปราณที่หนาแน่นน้อยในแถบชนบทน่ะนะ จบชี้แจง
\=\=\=\=\=\=\=\=
ตอนนี้ไดนัสอายุได้สิบสองปีแล้ว จากการเลื่อนระดับบ่มเพาะที่ผ่านนั้น ทำให้รูปร่างของเด็กหนุ่มค่อนข้างที่จะโตกว่าวัย
ส่วนเรื่องของเฟนนี่นั้น หลังจากที่นางได้รับพรเป็นอาชีพผู้กล้า นักบวชวัยกลางคนก็ได้นำตัวเฟนนี่ไปที่เมืองหลวงของอาณาเอ็กซ์เซนต์ทันที ซึ่งก่อนที่จะไปนักบวชก็ได้บอกเรื่องนี้ให้พ่อและแม่ของเฟนนี่ฟังแล้วเรียบร้อย และดูเหมือนว่าทั้งสองสามีภรรยาดูจะภาคภูมิถึงขีดสุดเสียด้วยที่บุตรีของพวกตนคือผู้กล้า
ทางฝั่งของเด็กหนุ่มในตอนนี้นั้น เขาได้แสดงความสามารถของขอบเขตปราณเริ่มขั้นที่เก้าให้กับพ่อและแม่ดูแล้ว เขายังได้บอกอีกด้วยว่าจะออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ แล้วไปเผชิญโลกกว้างที่ข้างนอก ตอนแรกดีกัสและลีน่าก็ยังค้านหัวชนฝาอยู่หรอก เพราะอย่างไรซะไดนัสก็ยังอายุแค่สิบสองปี แต่เมื่อได้เห็นดวงตาอันมุ่งมั่นของเด็กกนุ่มและศักยภาพแล้ว ทั้งสองก็ได้แต่ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้มีความคิดเป็นของตนเอง
ซึ่งก่อนที่เด็กหนุ่มจะออกหมู่บ้านหนึ่งเดือน เยาเจวี๋ยเทียนก็ได้ให้กระบี่หนึ่งเล่แก่เด็กหนุ่ม นามของมันคือ[กระบี่จ้าวจันทรามายาทมิฬ] พร้อมกันนั้นก็ยังมีเคล็ดวิชากระบี่[คัมภีร์จ้าวกระบี่จันทรามารอเวจี] ซึ่งวิชานี้ก็มาจากโลกแห่งการบ่มเพาะเช่นกัน
ที่สำคัญก็คือ มีแต่ผู้ตระกูลเยาเท่านั้นที่สามารถแตะต้องสองสิ่งนี้ได้!
ซึ่งการที่ไดนัสได้รับสองสิ่งนี้มา มันก็เปรียบเสมือนการว่าการสร้างตระกูลเยาในโลกแห่งเวทมนตร์และดาบนี้กำลังเริ่มขึ้นแล้ว
ใช้เวลาแค่หนึ่งเจ็ดวันไดนัสก็สามารถมาถึงระดับที่หนึ่งเคล็ดวิชาได้แล้ว ซึ่ง'คัมภีร์จ้าวกระบี่จันทรามารอเวจี'นี้มีทั้งหมดสิบสี่ระดับเจ็ดขั้น กล่าวง่ายๆคือทุกๆสองระดับก็คือหนึ่งขั้น
และทุกขั้นที่ฝึกถึงก็จะมีกระบวนท่าให้ผู้ฝึกได้ใช้สอย อย่างตอนนี้ที่เด็กหนุ่มยังฝึกถึงระดับที่หนึ่ง หรือก็คือครึ่งขั้นแรกอยู่ แต่เมื่อไหรที่เข้าฝึกไปจนถึงระดับที่สองได้ เขาก็สามารถที่จะใช้กระบวนท่ามารพิโรธคำรามได้ ซึ่งลักษณะของมันก็คือการจ้วงแทงสิบครั้งภายในหนึ่งวินาที!
เอาจริงๆแล้ว แค่รังสีของเคล็ดวิชาก็สามารถเพิ่มความแหลมคมและดุดันให้กระบี่ได้แล้ว ง่ายเลยก็คือแม้ไม่มีกระบวนท่า แต่ไดนัสก็ยังสามารถใช้ปราณกระบี่ของวิชามาเสริมความแข็งแกร่งได้
และในเวลาสามวันก่อนออกเดินทาง เด็กชายก็สามารถฝึกจนถึงระดับที่สองหรือขั้นที่หนึ่งจนได้ ซึ่งมันก็ยังมีวิชาเดี่ยวอย่างดัชนีดาราทมิฬเช่นกันที่ไดนัสได้ฝึกมาตั้งแต่บรรบุขั้นที่สามของขอบเชตปราณเริ่มต้นแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็ฝึกมาถึงขั้นที่เจ็ดที่เป็นขั้นสุดท้ายแล้ว ส่วนอานุภาพของมันนั้น ขอแค่ใช้ออกมา ออร์คที่ยืนเรียงกันสามตัวต้อง
ตายอย่างแน่นอน และบางทีตัวที่สี่ที่ยืนเรียงก็นังอาจได้รับาดเจ็บสาหัสด้วย
****
บุพการีทั้งสองของไดนัสตอนนี้รู้แล้วว่าห้ามไว้ก็คงไม่ได้แล้ว เพราะอย่างนั้น ก่อนที่เด็กหนุ่มจะออกเดินทาง พ่อของเขาก็ได้หลอมชุดเกราะเบาให้กับเขาหนึ่งตัว พร้อมกันนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะตีมีดเพิ่มให้อีกด้วย ทว่า ก่อนจะได้ตีมีดขึ้นมาได้น๊าได้บอกว่าในถุงเก่าแก่ที่ตกทอดมาจากท่านบรรพบุรุษนั้นมียุทธภัณฑ์อยู่มากมาย ดังนั้นไม่จำต้องหลอมขึ้นมายังจะดีเสียกว่า ส่วนทางแม่ของเขานั้นได้ให้เงินจำนวนหนึ่งพันเหรียญเงินกับเขาไว้แทนค่าเดินทางและค่าอาหาร
เมื่อถึงวันออกเดินทาง ไดนัสก็ได้จัดเตรียของทุกอย่างลงไปในถุงพหุเซียนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นถึงจะดูจากภายนอกแม้สัมภาระจะไม่ค่อยมี แต่แท้จริงแล้วกลับแน่นตึ๊บเลยล่ะ
เด็กหนุ่มบอกลาพ่อกับแม่ แล้วเดินออกจากหมู่บ้านไป.....ส่วนวิธีการเดินทางไปนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นการนั่งรถม้าไป
****
เมืองที่ใกล้ที่สุดกับหมู่บ้านที่เด็กหนุ่มอาศัยอยู่นั้น แน่นอนว่าต้องเป็นเมืองเมอร์เฟ็คท์ ซึ่งระยะทางถ้าเดินทางไปด้วยรถม้านั้นต้องใช้เวชาอย่างน่อยก็สามวัน ถ้าเร็วสุดก็หนึ่งวันครึ่ง ทว่าสำหรับหนึ่งวันครึ่งนั้นก็มีเพียงรถม้าของชนชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถเดินทางได้เร็วขนาดนั้นได้
สองวันครึ่งผ่านไป ในช่วงบ่ายของวัน
รถม้าคันหนึ่งมาถึงหน้าประตูเมือง ประตูเปิดออก ร่างของเด็กชายวันสิบสองสิบสามปีก็กระโดดลงมา เขาหันหน้าไปถามสายรถี
"ท่านลุง เที่ยวนี้ราคาเท่าไหร่รึ?"
"สองเหรียญเงิน"
หลังจากจ่ายค่าเดินทางเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มก็มุ่งหน้าไปที่ประตูทางเข้าเมืองทันที
เมื่อเกือบจะมาถึงหน้าประตู ก็ปรากฏเป็นแถวยาวเหยียดนับร้อยคนที่กำลังเรียงคิวเข้าไปในเมืองอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าทหารเฝ้าประตูเมืองกำลังตรวจสอบสัมภาระอยู่
ถึงจะเห็นแถวยาวเหยียดแบบนั้น แต่ไดนัสกลับไม่ได้ไปเข้าแถวรอคิว สิ่งที่เขาทำนั้นก็คือการเดินไปที่หัวแถวตรงๆ
ผู้คนรอบข้างที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีคนเคยทำแล้วถูกไล่ตะเพิดกลับมา หรืออาจเป็นผู้ร่ำรวยที่แค่จ่ายเงินไปส่วนหนึ่งก็สามารถที่จะเข้าเมืองไปได้แล้ว
ในตอนที่เด็กหนุ่มเดินไปถึงหัวแถวด้วยท่าทางอุกอาจเช่นนั้น พวกทหารเฝ้าหน้าประตูก็เริ่มสังเกตุเห็นแล้วเช่นกัน แต่ก่อนที่พวกเขาจะพูดอะไร ไดนัสกลับเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบที่เปี่ยด้วยแรงกดดันของขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่เก้า
"เท่าไหร่"
เสียงนี้ราวกับมวลหมู่อัสนีนับพันคำรณ พวกทหารต่างพากันหน้าถอดสี เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่เปล่งรัศมีพลังของขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่สองเท่านั้น
ในตอนที่ไดนัสเริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะอย่างเป็นทางการ เยาเจวี๋ยเทียนได้บอกกับเด็กหนุ่มไว้ว่า ในขอบเขตปราณเริ่มต้นอันซึ่งเป็นขอบเขตที่อ่อนด้อยที่สุดนั้น ในแต่ละขั้นถึงจะห่างกันเพียงขั้นเดียว ก็สามารถแบ่งระดับความแข็งได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างก็คือขั้นที่สองนั้นมีความแข็งแกร่งมากกว่าขั้นที่หนึ่งถึงสองเท่า
นี่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ได้อย่างดีว่าถึงจะห่างกันเพียงแค่ชั้นเดียว ใช่ว่าจะห่างกันเพียงแค่หนึ่งก้าว แต่แท้จริงแล้วกลับห่างกันมากถึงสองเก้า
ในแต่ละขั้นที่สูงขึ้น ความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นสองเท่าเรื่อยๆตามลำดับ ถ้าจะถามว่าขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่สองกับขั้นที่เก้านั้นมีระดับความแข็งแกร่งที่ห่างกันกี่เท่านั้น....ก็สามารถบอกได้อย่างชัดเจนในสถานการณ์ตรงนี้เลยว่า!
ห่างกันมากถึง สองร้อยห้าสิบหก(256)เท่า!
นั่นก็หมายความว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่เก้านั้น มองขั้นที่สองไม่ต่างไปจากใบไม่แห้งที่สามารถจะขยี้ตอนไหนก็ได้
แรงกดดันที่กล่าวออกไปตามเสียงของได้นัสนั้น
ไม่ได้เจาะจงที่ใดที่หนึ่ง แต่เขากลับปล่อยให้มันกระจายออกไปทั่วทั้งประตูหน้าทางเข้าเมืองเมอร์เฟ็คท์ และนั่นก็ทำให้มนุษย์ธรรมดานับร้อยต้องก้มลงไปคุกเข่าด้วยความหวาดกลัวทันที!
ทหารเฝ้าประตูในตอนแรกจากจะกล่าวออกมาอย่างไม่ไยดี พลันต้องกลืนคำพูดลงคอ แล้วกล่าวด้วยถ้อยคำอันขลาดกลัวว่า
"ขะ...ข้ามิจะรับค่าเข้าเมืองขอรับคุณชาย เชิญท่านเข้าเมืองได้เลยขอรับ"
หืม? ในตอนแรกไดนัสคิดว่าหารอันอ่อนแอตรงด้านนี้ยังจะพอมีความกล้ามาขอค่าเข้าเมืองได้เลยแบบไม่ได้ต้องต่อแถมรอคิวบ้าง แต่เขากลับตาดไม่ถึงว่า พวกมันจะกลัวหัวหดจนไม่กล้าทำอะไรทั้งสิ้นแบบนี้
เด็กก็ไม่ว่าอะไรเช่นกัน จากนั้นจึงเดินเข้าเมืองไปทันที
หลังผ่านประตูทางเข้ามาแล้ว สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้านั้นก็คือฝูงชนหลากหลายเผ่าพันธุ์ที่กำลังทำธุระของตัวเองอย่างกระตือรือร้น ตามถนนแต่ละสายมีแฝงลอยขายของอยู่มากมายจนสิ้นสุดทางเดินของถนนเส้นนั้นนั้น แววตาของแต่ละคนนั้นมีชีวิตชีวาไม่น้อย ปราศจากความทุกข์ทั้งปวง ส่วนตึกรามบ้านช่องนั้นจะมีหนึ่งชั้นหรือสองชั้นเรียงตามกันไป
เด็กหนุ่มเดินไปหาคนผู้หนึ่ง แล้วถามทางไปทางโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้กับกิลด์ของเมืองมากที่สุด
ครั้นได้พิกัดจองสถานที่มาแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมด้วยความรวดเร็ว
เมื่อมาถึงแล้ว โรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็ดูมีชีวิตชีวาเช่นกัน ภายนอกตกแต่งตามสไตล์ยุคกลาง มีป้ายแปะไว้ที่หัวอาคารว่า"โรงเตี๊ยมซาบอนเน่"
ในตอนนี้เป็นช่วงเวลากลางวันพอ ข้างในโรงเตี๊ยมซาบอนเน่ก็เลยคับคั่งไปด้วยนักผจญภัยของกิลด์ บ้างเป็นนักเวทย์ บ้างเป็นนักรบ(นักรบในที่นี้หมายถึงพวกกล้ามโตน่ะนะ) ทั้งยังมีนักดาบ ฮีลเลอร์ ซอมมอนเนอร์ เทมเมอร์ และอาชีพอื่นๆอีกเล็กน้อย ซึ่งอายุหน้าตาของแต่ละคนดูไปแล้วประมาณสิบเจ็ดสิบแปดจนถึงสามสิบกว่าปี และมีส่วนน้อยที่เป็นพวกนักผจญภัยที่เริ่มย่างเข้าสู่วัยชรา
ในตอนที่ประตูโรงเตี๊ยมเปิดออกมานั้น ทุกคนที่กำลังกินมื้อเที่ยงและสังสรรค์กันอยู่ก็หันมามองเป็นตาเดียวที่ประตู
แน่นอนว่าคนที่เดินเข้ามาก็คือไดนัสนั่นเอง
เมื่อฝูงชนในโรงเตี๊ยมเห็นว่าเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบสองสิบสามปีเดินเข้าเท่านั้น พวกเขาก็เลิกให้ความสนใจและหันไปทำธุระของตนเองต่อ
เด็กหนุ่มมองไปทั่วห้องอาหารของโรงเตี๊ยมจนทั่วด้วยความสนใจเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินเข้าไปเช็คอินกับพนักงานที่เคาท์เตอร์
พนักงานสาวเมื่อเห็นเป็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามาเช็คอิน ในแววตาก็ปรากฏความสนใจเล็กน้อย แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น จากนั้นจึงถามตามปกติว่า
"สนใจจะเช็คอินกี่วันกันเจ้าค่ะ"
ไดนัสตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ครั้งนี้ไม่ได้แฝงแรงกดดันเหมือนเมื่อทางเข้าของเมือง
"สองวัน"
"เข้าพักสองวัน....ราคาทั้งสิ้นสี่สิบเหรียญเงินเจ้าค่ะ"
ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อซึ่งข้างในเป็นถุงพหุเซียนที่ซ่อนไว้ หลังจากตบไปที่ถุงก็มีเหรียญเงินสี่สิบเหรียญลอยออกมา เด็กหนุ่มกฎเหรียญไว้ แล้วยื่นมือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วยื่นให้กับพนักงานสาวตามลำดับ
พนักงานสาวรับเงินไป แล้วยื่นกุญแจห้องให้
"นี่ค่ะกุญสำหรับห้องของท่าน"
เด็กหนุ่มรับมา แล้วเดินไปที่บันไดเพื่อขึ้นไปชั้นสองของโรงเตี๊ยม แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ขึ้นไปนั้น กลับมีกลุ่มคนสามสี่คนเดินเข้ามาหา หนึ่งในนั้นที่ดูจะเป็นหัวหน้ากล่าวขึ้นมาด้วยเสียงเข้ม
"นี่เจ้าหนู ยังตัวเล็กอยู่เลยแท้ๆ แต่กลับมาที่นี่คนเดียว ดูเหมือนว่าจะมีฝีมือใช้ได้นี่ แล้วก็เกราะเบาของแกนั่นด้วย ดูแล้วถ้าเอาไปขายคงจะได้ราคาที่งามน่าดู ฮ่าฮ่าฮ่า!"
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments