CHANGE YOU PART 2 ร้านหนังสือประหลาด
หลังจากผ่านเหตุการณ์เกือบเอาชีวิตไปทิ้ง
ไม่รู้ว่าเพราะปากหมาๆ หรือเพราะความมั่นหน้ามั่นโหนก
พกเงินไปเยอะเกินจำเป็นของฉันกันแน่ ฉันก็ได้เพื่อนต่างวัยที่เปลี่ยนจากคู่กัดมา 1
คน
เพราะเห็นว่าฉันเบื่อหน่ายและอยากพักสมอง
พี่เอกจึงพยายามชวนออกไปเที่ยวทริปต่างประเทศ
แต่เนื่องจากฉันเป็นคนไม่ค่อยชอบการเดินทางนานๆ จึงปฏิเสธนางไปอย่างไร้เยื่อใย
และสุดท้ายนางก็ขอลาพักร้อนเป็นเวลา 2 อาทิตย์
เพื่อที่จะไปเที่ยวมันซะเอง ด้วยความที่ฉันจิตใจดีมีน้ำใจ (เหรอ?)
จึงอนุญาตให้นางไป พร้อมกับแถมเงินให้อีกจำนวนหนึ่ง
เป็นค่าใช้จ่ายทุกอย่างในทริปนี้
ไงล่ะ สวย สปอร์ต ใจดี พึ่งพาได้
แถมยังเปย์เก่ง เจ้านายอย่างฉันหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วแหละ
เมื่อพี่เอกตีปีกออกบิน
ฉันก็กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ที่มีเพียงแค่การกิน นอน
และสไลด์ไอแพดอยู่ร่วมอาทิตย์ แล้วก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย อนาถจิตอนาถใจกับตัวเอง
เมื่อมองเห็นสภาพบ้านหนักยิ่งกว่ากองขยะ จึงตัดสินใจเรียกแม่บ้านให้เข้ามาทำความสะอาดให้
วันนี้จึงเป็นวันบิ๊กคลีนนิ่ง
ที่ฉันต้องเนรเทศตัวเองออกมาข้างนอก แล้วให้ทีมทำความสะอาดได้ขจัดสิ่งสกปรก
ออกจากบ้านได้อย่างถนัดถนี่
ด้วยความที่ไม่รู้จะไปไหน
ฉันจึงเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวตรอกซอกซอย ไม่ไกลจากละแวกบ้าน
ซึ่งมีร้านขายของกระจุกกระจิกอยู่เต็มสองฟากข้าง
โซนหน้าๆ เป็นพวกของใช้แฟชั่นน่ารักๆ
ลึกเข้าไปหน่อยก็เป็นร้านเสื้อผ้ามากมายทั้งชายหญิง
ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่านเนื่องจากไม่ใช่วันหยุด
อากาศก็ไม่ได้ร้อนเท่าไหร่เพราะยังอยู่ในช่วงต้นปี
ทำให้ฉันรู้สึกเอนจอยกับการเดินเล่นในครั้งนี้พอสมควร
แต่พอเดินไปเดินมา
กลับมาโผล่โซนที่มีกลิ่นอายของความโบราณคร่ำครึ ซึ่งอยู่ลึกเข้ามามากของตรอกนี้
ร้านค้าแต่ละร้านขายของเก่าๆ สมัยพระเจ้าเหา หน้าตาแปลกๆ
ที่ฉันรู้จักบ้างไม่รู้บ้าง
และยิ่งเมื่อเดินลึกเข้าไปข้างใน
เลเวลหน้าตาพวกของที่วางขายก็เริ่มอัพเกรด จนสุดท้ายฉันตัดสินใจที่จะหันหลังกลับ
เพื่อออกไปโซนที่ดูเจริญหูเจริญตากว่านี้
แต่ในขณะที่กำลังกลับหลังหัน
พลันสายก็ไปสะดุดเข้ากับร้านหนังสือมือสอง ที่สภาพภายนอกร้านดูทรุดโทรม
ราวกับว่าจะพังแหล่มิพังแหล่ แต่เมื่อมองผ่านเข้าไปในบานกระจกหน้าต่างขุ่นมัว
กลับเห็นว่าภายในตกแต่งได้อย่างทันสมัยมาก
ด้วยความสนใจ ฉันจึงตัดสินใจสาวเท้าตรงไปทันที
บางทีการหาหนังสืออ่าน มันอาจช่วยฆ่าเวลาในการรอได้ดีก็ได้
เมื่อสองขาพามาหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูกระจกสีขุ่นแล้ว
ฉันจึงยกมือขึ้นเตรียมจับลูกบิดเพื่อหมุนเข้าไปภายใน ทว่ากลับต้องตกใจ
เมื่อประตูเก่าๆ บานนี้ กลับเปิดออกเองคล้ายใช้ระบบออโต้เซนเซอร์
“โอ้โห ล้ำไปอีก”
ฉันเอ่ยอย่างตกตะลึงกับตัวเองเบาๆ
ก่อนจะก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไปด้านในร้าน บอกได้คำเดียวว่าราวกับคนละโลก
ข้างนอกอย่างเก่า แต่ข้างในอย่างกับคาเฟ่ล้ำสมัย
เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นสีขาวสะอาดตา การจัดตกแต่งแนวมินิมอลสุดๆ
ไม่มีแม้ฝุ่นไรให้ระคายผิว อากาศก็เย็นฉ่ำทั้งๆ ที่มองหาแอร์คอนดิชั่นไม่เจอ
มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งฉันไม่อาจเดาได้ว่าเป็นกลิ่นอะไร แต่เมื่อสูดดมเข้าไปแล้ว
กลับรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างแปลกประหลาด
การจัดเรียงหนังสือดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
แถมยังดูเงียบสงบไร้ซึ่งลูกค้าคนอื่นๆ อยู่ภายในร้าน มีเพียงคุณลุงหน้าตาใจดี
ที่ดูแล้วอายุน่าจะราวๆ หกสิบ ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ต้อนรับเท่านั้นเอง
“สวัสดีครับคุณลูกค้า” เขาเอ่ยทักทายฉัน พร้อมส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น ฉันจึงยิ้มตอบและขยับเข้าไปใกล้ๆ
“สวัสดีค่ะ ร้านตกแต่งสวยดีนะคะ”
เพราะรู้สึกประทับใจกับการจัดแต่งร้านมาก
ฉันจึงเอ่ยชมไปหนึ่งกรุบ และยังคงกวาดตามองไปรอบๆ
เพื่อชื่นชมบรรยากาศโดยรอบต่ออีกนิด
“ขอบคุณครับ
ว่าแต่คุณลูกค้าสนใจหนังสือประเภทไหนครับ ผมจะได้แนะนำถูก” ฉันละสายตากลับมามองหน้าลุงแกอีกครั้ง ก่อนครุ่นคิดตามสิ่งที่เขาเอ่ยถาม
“อืม...ขอดูเป็นนวนิยายละกันค่ะ
พอจะแนะนำได้ไหมคะ? ไม่เอาแนวการตลาดที่ดูซ้ำซากน่าเบื่อ
นิยายรักน้ำเน่าก็ไม่เอานะคะ หนูเอียนแล้ว”
เพราะผลงานของฉันที่ผ่านมานั้นมีแต่แนวๆ นี้
ทำให้รู้สึกขยาดที่จะต้องกลับไปอ่านมันซ้ำอีก
“มีครับ เดี๋ยวคุณลูกค้าเดินตรงไปสุดทางนั้น
แล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปจนสุดอีกที
จะเจอชั้นหนังสือหมวดนวนิยายที่คุณลูกค้าน่าจะชอบอยู่ ลองเลือกๆ ดูก่อนนะครับ”
คุณลุงผายมือไปตามทางที่ต้องการจะให้ฉันเดินไป
ฉันจึงมองตามมือเขาเข้าไปจนเห็นด้านในสุด ที่มีแต่ชั้นหนังสือวางเรียงเต็มไปหมด
แต่ร้านไม่ได้ใหญ่อะไรมาก เดินๆ คลำทางไปก็น่าจะเจอเอง
เพราะที่เขาบอกก็ดูไม่ได้ไปยากเท่าไหร่นัก
“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“ครับ มีอะไรก็เรียกได้ตลอดนะครับ
ผมยืนอยู่ตรงนี้”
“ได้ค่ะ”
จบบทสนทนาฉันก็เดินตรงไปตามทางที่ลุงแกบอกเมื่อครู่
เข้าล็อกนี้เดินตรงจนสุด แล้วก็เลี้ยวซ้ายก่อนเดินจนสุดอีกที
และแล้วก็มายืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ ที่มีป้ายขนาดพอเหมาะเขียนติดไว้ว่า ‘วรรณกรรม/นวนิยาย’
เมื่อกวาดสายตาดูหนังสือที่เรียงรายกันอยู่
ก็เจอแต่ชื่อเรื่องธรรมดาดูน่าเบื่อ ไม่เห็นเหมือนที่ฉันร้องขอให้แนะนำเลยสักเล่ม
ฉันใช้มือแหวกๆ ดูหน้าปกเล่มแล้วเล่มเล่า ก็ยังไม่เจอสิ่งที่ถูกใจสักที
จนกระทั่ง...เล่มล่าสุดที่กำลังจะผ่านไป
ฉันสะดุดตากับหน้าปกที่ดูเหมือนไม่มีอะไร
แต่กลับให้ความรู้สึกดึงดูดอย่างแปลกประหลาด จึงหยิบมันขึ้นมาดูดีๆ
หนังสือเล่มนี้มีสีเทาทั้งเล่ม มีร่องรอยเหมือนเปื้อนอะไรบางอย่าง กระจายเป็นจุดๆ
สีน้ำตาลอ่อน
บนหน้าปกมีรูปวาดของผู้ชายคนหนึ่ง
กำลังยืนหันหลังมองดวงดาว ที่ส่องแสงสว่างเพียงดวงเดียวบนท้องฟ้าซึ่งมืดสนิท
ให้ความรู้สึกเหงาได้อย่างจับจิตจับใจ รอบกายเขาไร้ซึ่งผู้ใด
มีเพียงแต่ต้นหญ้าบนพื้นที่ว่างเปล่า และยิ่งเลื่อนสายตาไปอ่านชื่อเรื่อง
ฉันยิ่งรู้สึกหน่วงหัวใจเข้าไปอีก
‘เมื่อโลกใบนี้มีแต่คนใจร้ายกับผม’
ฉันไม่รอช้ารีบพลิกไปอ่านคำโปรยด้านหลังอย่างไว
มีเพียงข้อความคำพูดสั้นๆ ที่อ่านแล้วสะเทือนอารมณ์จนรู้สึกจุกอกเท่านั้น
‘ในเมื่อทุกคนใจร้าย ผมก็ไม่ควรใจดี...ใช่ไหม?’
ฉันกวาดสายตามองหาชื่อผู้แต่ง
แต่กลับไม่พบแม้จะพลิกหาทั้งหน้าและหลังแล้วก็ตาม
จึงตัดสินใจเปิดเข้าไปอ่านเนื้อหาภายใน
การเกริ่นเรื่องดูน่าหลงใหลและติดตามให้อ่านไปเรื่อยๆ
มันรู้สึกเพลินอย่างบอกไม่ถูก
หน้าแล้วหน้าเล่าจนฉันรู้สึกเริ่มเมื่อยที่จะยืนอ่านต่อไป
จึงหันมองรอบกายและพบเข้ากับเก้าอี้ญี่ปุ่นแบบนั่งพื้น
อยู่มุมหนึ่งของร้านห่างจากฉันไม่ถึง 5 ก้าว
ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อเล่มนี้กลับบ้าน
แต่เนื่องจากยังวางไม่ลง เพราะอยากรู้เรื่องราวของเด็กชายน่าสงสารผู้นี้
จึงเลือกที่จะอ่านมันต่อให้จบ ไม่รอช้า
ฉันดิ่งตรงไปยังเก้าอี้และทรุดกายนั่งลงอ่านต่อ
อย่างไม่มีอะไรมาฉุดรั้งให้หยุดอ่านได้
มันเป็นเรื่องราวของ ‘ดิน’ เด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่ชีวิตสุดแสนจะอาภัพ
เกิดในครอบครัวร่ำรวยทรัพย์สินและมีอำนาจ แต่กลับถูกสลับตัวกับลูกของ ‘แก้วตา’ ชู้รัก ที่ ‘เดชา’ ผู้เป็นพ่อแอบเอาเข้ามาอยู่ในบ้าน
และปิดบังไม่ให้ใครรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอ
สุดท้ายแล้วก็ไม่รอดพ้นหูตาของ ‘นับดาว’ ผู้เป็นเมียหลวง ที่แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าผัวนอกใจ
แต่ก็ยอมแสร้งโง่ทำเป็นไม่รู้เรื่องราว และคอยเฝ้าดูอยู่เงียบๆ
ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด รอเวลาที่จะเอาคืนหญิงโฉดชายชั่วในสักวันหนึ่ง
ดินถูกสลับตัวและเติบโตมา
โดยคิดว่าแก้วตาเป็นแม่แท้ๆ เขาไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร เพราะหล่อนไม่ได้บอกอะไรเขา
หนำซ้ำยังปฏิบัติกับเขาเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน รังเกียจเดียดฉันท์ ทุบตีสารพัด
แม้จะถูกทารุณและถูกคนในบ้านชิงชัง แต่เขาก็ยังรักและเทิดทูนบุพการี
และยังมีจิตใจที่ดีงามมาโดยตลอด
กระทั่งวันหนึ่ง ‘ตะวัน’ คุณชายน้อยของบ้านประสบอุบัติเหตุตกลงไปในสระน้ำ ไม่มีใครสักคนอยู่แถวบริเวณนั้นนอกจากดิน
แม้ตัวเองจะว่ายน้ำไม่เป็น
แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนเดียวที่มองเขาเป็นเพื่อน และยอมเล่นด้วยมาโดยตลอด
ทำให้ดินเลือกที่จะกระโดดลงไป
เพื่อหวังจะช่วยชีวิตเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาไว้ให้ได้
และมันก็สำเร็จ ตะวันถูกผลักให้ร่างเข้าใกล้ขอบสระ
ประจวบเหมาะกับที่แก้วตาผ่านมาเห็นเหตุการณ์พอดี
เธอรีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาคว้าตัวของตะวันเอาไว้ ก่อนลากเขาขึ้นบนด้านบน
ทว่า...กลับไม่ช่วยดิน
ที่กำลังตะเกียกตะกายพยายามเอาตัวรอดจากผืนน้ำ
ที่พยายามฉุดรั้งร่างของเขาให้ดิ่งลงสู่ก้นสระ
แก้วตายืนมองดินที่ค่อยๆ หมดแรง
และเริ่มจมลงใต้ผิวน้ำด้วยสายตาเรียบเฉย แม้ใบหน้าจะนิ่งสนิทไร้อารมณ์ใดๆ
แต่มุมปากหยักกลับมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏ ก่อนหันหลังเดินจากไปพร้อมกับตะวัน
ที่ยืนตัวสั่นเพราะกำลังรู้สึกหวาดกลัว จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อครู่
ภาพสุดท้ายที่เด็กชายผู้อาภัพเห็นก่อนสติจะรางเลือน
คือคนที่เขาคิดว่าเป็นแม่แท้ๆ กำลังเดินห่างออกไป โดยไม่หันกลับมาแลเขาอีกเลย
ความรู้สึกเศร้า น้อยใจ และเสียใจ
ก่อกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ดินคิดว่าถ้าเขาตายๆ ไปซะ
ก็จะไม่ต้องทนอยู่กับเรื่องแย่ๆ อีก ทว่า...ลึกๆ ภายในใจ เขากลับยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
เพื่อแก้แค้นทุกคนที่ใจร้ายกับเขา
ดั่งพระเจ้าได้ยินเสียงสะท้อน
จากก้นบึ้งในจิตใจของเด็กชายผู้น่าสงสาร
ดินถูกช่วยขึ้นฝั่งมาได้โดยฝีมือของบุคคลปริศนา เขาลำลักเอาน้ำออกมา
และสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนพยายามลืมตามองหาผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต
แต่กลับไม่พบเงาของใครสักคน
รอดชีวิตมาได้ก็ต้องถูกลากตัวไปทำโทษ
เพราะเดชาที่รักลูกหวงลูกดั่งกับไข่ในหิน เข้าใจว่าดินทำตะวันตกน้ำ
เด็กชายวัย 12 ขวบ
ถูกโบยด้วยไม้หวายเนื้อเหนียวหลายสิบที จนผิวเนื้ออ่อนๆ แตกแยะเป็นแผลฉกรรจ์
มีเลือดไหลซึมออกมาจนดูน่าหวาดเสียว
โดยมีตัวต้นเหตุของเรื่อง ยืนมองดูเงียบๆ
ด้วยใบหน้าสำนึกผิด แต่กลับไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดของผู้เป็นพ่อ
นอกจากตะวันจะไม่คิดช่วยเขาขึ้นมาจากน้ำแล้ว
ยังปล่อยให้เขาโดนเฆี่ยนตีราวกับสัตว์อีก
แก้วตาก็ไร้ซึ่งท่าทีจะเข้ามาปกป้อง
เธอนั่งดูเล็บมือที่พึ่งทาสีเสร็จหมาดๆ ของตัวเองอย่างอารมณ์ดี
ในขณะที่ดินร้องด้วยความเจ็บปวดเจียนจะขาดใจอยู่ตรงหน้า
ไฟแห่งโทสะและความคับแค้น
ลุกโหมไหม้ในจิตใจของดิน ความเกลียดชังครอบครัวนี้ที่ใจร้ายกับเขา ทำร้ายเขา
และปฏิบัติกับเขาอย่างเลวทรามต่ำช้า ราวกับว่าเขาไม่ใช่มนุษย์
บ่มเพาะอยู่ภายในใจมาตลอดตั้งแต่วันนั้น ยิ่งความเกลียดที่มีให้กับตะวัน
คนที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็น ‘เพื่อนกัน’ ตอนนี้เหลือเพียงแค่คำว่า ‘ศัตรู’
มันกัดและกลืนกินตัวตนของเด็กชายผู้แสนดี
เปลี่ยนให้เขากลายเป็นเด็กหนุ่มแข็งกระด้าง ดินกลายเป็นคนเย็นชา
ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ อารมณ์ร้ายรุนแรง และมองโลกนี้เลวร้ายไปซะทั้งหมด
เมื่อเริ่มกลายเป็นหนุ่มดูแลตัวเองได้
ดินตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ที่เขามองว่ามันเป็นนรกบนดิน
ไปอยู่กับแก๊งอันธพาลที่มีอำนาจ แต่ไม่เท่าอำนาจของครอบครัวเขา
หลายปีผ่านไป ดินค่อยๆ กระเสือกกระสนดิ้นรน
จนในที่สุดก็ผลักตัวเองขึ้นมาอยู่จุดสูงสุดของแก๊ง ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี
แม้จะมีอายุเพียงแค่ 20 ต้นๆ แต่ลูกน้องทุกคน กลับให้การยอมรับในความสามารถของเขา
ดินสามารถล้มผู้ทรงอิทธิพลของแก๊งอื่นๆ
ได้อย่างง่ายได้ จนสุดท้ายทำให้แก๊งของตัวเองมีอำนาจมากเกือบที่สุด
จะเหลือก็แค่เดชาเท่านั้นที่เขายังล้มไม่ได้
แต่นั่นก็ไม่เกินความสามารถ
หนึ่งเดือนก่อนวันเกิดอายุครบ 29 ดินสามารถทำให้ธุรกิจของครอบครัวที่เขารังเกียจ
และแค้นนักแค้นหนาย่อยยับลงได้
ตระกูลของเดชาสิ้นชื่อ ตกอยู่ในสถานะล้มละลาย
ทรัพย์สินเงินทองที่มีถูกดินยึดมาได้ทั้งหมด
บรรดาลูกน้องใต้บัญชาพากันกระจายตัวหนี บางส่วนย้ายฝั่งมาอยู่แก๊งดิน
จนจำนวนคนที่มีในตอนนี้ สามารถสร้างกองทัพย่อมๆ ไปออกรบแนวชายแดนได้เลย
เดชากับนับดาว
ต้องคลานเข่ามาอ้อนวอนขอความเมตตาจากเขา ให้เว้นการคร่าชีวิตของทุกคนในครอบครัว
ดินจึงยื่นข้อเสนอ 1 ชีวิต
แลกชีวิตของทุกคนทั้งหมด เขาต้องการเพียงชีวิตของตะวัน
เพื่อนวัยเด็กที่แย่งทั้งความรักจากแม่ของเขา และทรยศมิตรภาพ
สิ่งเดียวที่ดินมองว่ามันสวยงามที่สุด ตะวันทำลายมันจนย่อยยับในวันนั้น
ไม่มีใครยอมรับข้อเสนอนี้
นั่นทำให้ดินโกรธเกรี้ยว และเลือกที่จะปฏิบัติกับครอบครัวนี้เยี่ยงทาส
เขาส่งทุกคนไปเหมืองแร่ เพื่อทำงานชดใช้หนี้ที่ไม่มีปัญญาจ่ายให้กับเขา
เหลือเพียงแค่คนที่เขาเกลียด
กับผู้หญิงที่เขาทั้งรักทั้งเกลียดในเวลาเดียวกัน
แก้วตากับตะวันหลบหนีไปได้
ไม่รู้ว่าตอนนี้ทั้งคู่ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่ดินยังคงไล่ล่าตามหาตัวไม่เลิก
เขาพลิกแผ่นดินหาเพื่อนวัยเด็ก กับผู้หญิงที่เข้าใจว่าเป็นแม่มาโดยตลอด
จนในวันเกิดอายุครบ 29 ปีบริบูรณ์ ตะวันก็โผล่หัวออกมา
ดินได้รับแจ้งข่าวจากลูกน้อง
ว่าพบเจอตะวันอยู่แถวโกดังร้างของเดชา แต่ยังหาตัวของแก้วตาไม่พบ
เพราะความเร่งรีบและร้อนใจเขารีบบึ่งรถไปทันที
โดยไม่ทันคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง
และเมื่อมาถึงก็พบเข้ากับตะวันที่สภาพดูทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด จากการกินอย่างอดๆ
อยากๆ เพราะต้องคอยหลบซ่อน ทำให้ออกไปหาอาหารไม่ได้ บวกกับเงินก็ไม่มีเหลือติดตัวอีกแล้ว
เมื่อ 2 อดีตเพื่อนรักในวัยเด็กเผชิญหน้ากัน
จึงเกิดการปะทะฝีปากอย่างดุเดือดขึ้น ดินเกิดโทสะขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
หยิบปืนที่พกมาขึ้นเล็งตะวันซึ่งยืนห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว
ระยะนี้สำหรับดิน
ไม่มีพลาดเป้าอย่างแน่นอนหากเขาเหนี่ยวไก
คำถามสุดท้ายถูกเอ่ยออกไปก่อนจะตัดสินใจลั่นกระสุน
‘วันนั้น...ทำไมถึงไม่คิดจะช่วยฉัน?’
ตะวันนิ่งเงียบก้มต่ำมองลงพื้น
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และในขณะที่กำลังยืนนิ่งค้างกันอยู่ในท่านั้น
เสียงปืนก็ดังขึ้นหนึ่งนัด แต่จุดกำเนิดเสียงกลับไม่ได้มาจากปากกระบอกปืนของดิน
มันมาจากมือของบุคคลปริศนา ที่ยืนแอบอยู่หลังกำแพงใกล้ๆ มาตั้งแต่แรก
ร่างของดินเอนเอียงและล้มลงนอนกองกับพื้น
เลือดสีสดค่อยๆ ซึมออกมาจนเปื้อนเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา
ก่อนกระจายเป็นวงบนพื้นปูนขรุขระ
ดวงตาคมที่ลืมค้างเพราะยังไม่ทันสิ้นสติ
เหลือบมองร่างระหงของแก้วตา ที่เดินนวยนาดออกมาจากหลังกำแพง
เธอก้าวช้าๆ ไปหาตะวันอย่างไม่เร่งรีบ
ก่อนยกมือข้างที่ว่างเช็ดหยาดน้ำตาซึ่งซึมออกมาให้กับเขา ในมืออีกข้างของเธอ
ถือปืนกระบอกที่พึ่งลั่นไกเอาไว้หลวมๆ
ดินรู้สึกเจ็บลึกในอก
จนร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่ได้ น้ำตาหยดแรกในรอบ 14 ปีที่ไม่เคยมีใครได้เห็น
ไหลออกมาเมื่อรับรู้ว่าผู้เป็นแม่ เป็นคนส่งกระสุนให้มาคร่าชีวิตเขา
จนวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ
ดินก็ยังไม่รู้ถึงสาเหตุของความเกลียดชัง
ที่แก้วตามีให้กับเขาถึงขั้นอยากให้ตายไปพ้นๆ ชีวิต
ภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็น คือแม่ของเขากำลังยืนโอบประคอง
คนที่เขาเกลียดอย่างอ่อนโยน ทั้งๆ ที่สายตาซึ่งมองมาทางร่างเขา
เต็มไปด้วยความสะใจที่เขากำลังจะตาย
“ห๊ะ! ทำไมจบงี้อ่ะ?”
ฉันลั่นออกมาอย่างเสียงดังด้วยความรู้สึก ‘อิหยังวะ’ กับตอนจบที่ดูไม่ค่อยจะเป็นธรรมกับตัวเอก ก่อนพลิกหน้ากระดาษเพื่อเปิดหาส่วนที่เหลือ
ที่คิดว่าอาจจะขาดหายไปแต่กลับไปพบแม้รอยฉีกขาด
มันไม่ยุติธรรมเลยหากนิยายเรื่องนี้จะจบแบบนี้
ไม่ใช่ว่าตัวเอกห้ามตายนะ แต่ดินควรจะต้องได้รู้ก่อนไหมว่าแก้วตาไม่ใช่แม่
ไม่ใช่ปล่อยให้เขาตายไป ทั้งๆ ที่ยังคิดว่านังงูพิษนั่นเป็นแม่แท้ๆ และตัวเองก็ยังรู้สึกน้อยใจหล่อน
จนลมหายใจสุดท้ายหมดลง
คนเขียนใจร้ายชะมัด!!
“นี่ถ้าสามารถแก้ไขผลงานของคนอื่นได้นะ
ฉันจะรีบทำเลย คนอะไรไร้หัวใจชะมัด เนื้อเรื่องก็สนุกดีนะ แต่ตอนจบโคตรแย่!!”
บ่นเสร็จฉันก็พลิกหน้ากระดาษเตรียมปิด และตั้งใจว่าจะไม่ซื้อกลับไปแล้ว
เพราะรู้สึกไม่ประทับใจตอนจบสักเท่าไหร่
แต่ในขณะกรีดนิ้ว
แผ่นกระดาษที่เก่าแล้วและค่อนข้างมีความคม กลับบาดนิ้วฉันจนเลือดซึมออกมาเล็กน้อย
ฉันไม่ได้สนใจอะไรและลุกขึ้นเดินจะเอาไปวางไว้ที่ชั้น
ทว่า...ตอนที่กำลังจะเสียบหนังสือกลับจุดที่มันเคยอยู่
จู่ๆ ก็เกิดความร้อนขึ้นบริเวณที่ฉันจับ มันร้อนมากจนฉันไม่สามารถทนถือต่อไปได้
และปล่อยให้หนังสือนิยายตกลงสู่พื้น
ความนิ่งสงบที่มีมาตั้งแต่แรกค่อยๆ หายไป
แทนที่ด้วยกระแสลมรุนแรงจากไหนก็ไม่รู้ พัดหมุนให้มั่วไปหมด
ผมเผ้าของฉันกระเซอะกระเซิง จนต้องรวบเอาไว้ไม่ให้มันปรกใบหน้า
สายตาฉันเริ่มสังเกตเห็นว่าหนังสือที่กางอยู่บนพื้น
ถูกลมพัดกระพือจนไปถึงหน้าสุดท้าย ซึ่งเป็นตอนจบเฮงซวยที่ฉันไม่ปลื้มเอาเสียมากๆ
ก่อนจะมีแสงประหลาดสว่างวาบขึ้นมา ทำให้ฉันแสบตาจนต้องหลับตาปี๋
ไม่นานนักก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของร่างกาย
มันคล้ายๆ มีแรงดึงดูดบางอย่าง ดึงฉันให้ก้าวเดินไปข้างหน้าทีละนิดๆ
ทว่าเมื่อพยายามลืมตาขึ้นไปดู กลับทำไม่ได้เพราะแสงที่ยังคงส่องอยู่นั้น
มันจ้าเกินกว่าจะมองอะไรเห็น
และก่อนที่ทุกอย่างจะดับสนิท
รวมถึงสติสัมปชัญญะของฉันด้วย ฉันก็แอบได้ยินเสียงของคุณลุงเจ้าของร้าน
คล้ายเอ่ยกระซิบอยู่ข้างหูว่า
‘ลุงฝากด้วยนะ’
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 27
Comments