CHANG YOU เปลี่ยนเธอที่ร้าย ให้กลายเป็นที่รัก
INTRO…CHANGE YOU ความในใจของนักเขียน
ณ. ปารีส ประเทศฝรั่งเศส
งานมหกรรมหนังสือระดับโลก
‘ดิฉันเชื่อว่านักอ่านทุกท่าน
จะต้องมีนิยายในดวงใจกันอย่างน้อยคนละ 1 เรื่อง
แม้แต่ตัวผู้ประพันธ์ผลงานเองก็ตามที ไม่อาจเลี่ยงได้ในสัจธรรมข้อนี้
ก่อนที่คุณจะเริ่มเขียนได้
คุณต้องผ่านการอ่านมาก่อนอย่างโชกโชน
และโดยส่วนใหญ่ของคนที่เริ่มผันตัวมาเป็นผู้ผลิตผลงาน
แทนการเป็นผู้บริโภคอย่างเดียวนั้น หลักๆ
เลยคือพบเจอเนื้อเรื่องที่ไม่เป็นไปดั่งใจ
เราไม่สามารถแก้ไขผลงานของคนอื่นได้
แต่...เราสามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ด้วยมือของเราเอง
คุณสามารถรังสรรค์ผลงานของตนขึ้นมา
ด้วยมือเล็กๆ ทั้งสองข้างของคุณ กับอีก 1 สมองที่ต้องใช้ในการจินตนาการขั้นสูงสุด
ไหนจะคิดพล็อต กำหนดคาแรกเตอร์ตัวละคร วางโครงเรื่องอย่างละเอียด
ผูกปมให้ซับซ้อนน่าติดตาม
มีเท่านี้ใช่ว่าจะเขียนมันออกมาได้จนจบ
คุณยังต้องมีความมานะพยายาม มีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัยในตัวเองอย่างมาก
และไหนจะต้องต่อสู้กับสภาวะอารมณ์ที่แปรปรวนของตัวเองอีก
เชื่อว่านักเขียนทุกคนต้องเจอกับเหตุการณ์นี้...สมองตัน
เมื่อคลอดผลงานที่กว่าจะเคี่ยวเข็ญจนจบได้ออกมาแล้ว
ต้องมาลุ้นอีกว่าผลงานของคุณจะดังเป็นผลุแตก หรือจะแป่กเหมือนเป่าสาก
ไม่มีใครรู้จุดจบถ้าเรายังเดินไปไม่ถึง
และการเขียนนิยายจบ
ไม่ได้การันตีว่าคุณจะประสบความสำเร็จ
หรือสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดของอาชีพนักเขียนได้ในเรื่องแรกทันที
นอกเสียจากว่าคุณจะพกดวงมาเต็มปริบ
หรือมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เรียกง่ายๆ ว่าปลดล็อกสกิลมือทองคำ
ตั้งแต่ตอนที่ออกมาจากท้องแม่นั่นแหละ
คุณยังคงต้องฝึกฝีมือ เก็บเกี่ยวประสบการณ์
น้อมรับเสียงสะท้อนจากนักอ่าน และนำมาประยุกต์ใช้กับผลงานเรื่องต่อๆ ไป
การวางพล็อตจะต้องน่าสนใจ หากแนวเรื่องซ้ำซาก
คุณต้องมีวิธีการถ่ายทอดออกมา ให้คนอ่านมองเห็นถึงความแตกต่างของนิยายเรา
ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่ใช้บรรยาย มุกต่างๆ
ที่สอดแทรกระหว่างการดำเนินเรื่อง เล่าความรู้สึกของตัวละครนั้นๆ ได้อย่างเห็นภาพ
จนคนที่นั่งอ่านตัวหนังสือที่คุณเขียนหรือพิมพ์มันขึ้นมา
ดำดิ่งไปกับความรู้สึกที่เราบรรยาย
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยใช่ไหมคะ
กว่าจะมีผลงานแต่ละเรื่องออกมา ให้ท่านนักอ่านได้รื่นรมย์กัน
ส่วนเป้าหมายสูงสุดของนักเขียนนั้น มันก็คือ ‘เงิน’ นั่นแหละค่ะ ไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆ หรอก ทุกคนต้องกินต้องใช้ และเงินคือปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต
แต่ก่อนที่เราจะได้รับเงิน
เราจะต้องได้รับความชื่นชอบเสียก่อน
การที่เราสามารถทำให้คนอ่านอินไปกับเรื่องราวของเราได้
และเมื่อไหร่ที่เขารู้สึกชื่นชอบผลงานของเราแล้ว เงินจะตามมาทีหลังเองค่ะ
วันนี้อิมก็ขอจบการกล่าวเปิดงานไว้เพียงเท่านี้
ขอให้ทุกท่านเลือกสรรหนังสือที่ชื่นชอบ ของนักเขียนในดวงใจกันตามสบายเลยนะคะ
ขอบคุณค่ะ’
แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือดังกระหึ่มลั่นฮอลล์
พร้อมเสียงโห่ร้องชื่นชมในคำกล่าวสุนทรพจน์ เปิดงานมหกรรมหนังสือระดับโลก
ที่มาจัดแสดง ณ ประเทศฝรั่งเศส
ซึ่งฉันต้องถ่อสังขารบินไกลจากประเทศไทยมาถึงที่นี่
ในฐานะนักเขียนซึ่งเป็นดาวรุ่งที่สุดอยู่ในขณะนี้
และได้รับคำเชิญจากผู้จัดงานโดยตรง ทำให้ฉันที่ค่อนข้างรักสงบและไม่ค่อยชอบเดินทาง
ปฏิเสธคำร้องขอนี้ไม่ได้
เอาตรงๆ นะ เหตุผลหลักๆ เลยคือตัวเลขที่แสดงในข้อความแจ้งเตือนเงินเข้า
มันบีบบังคับให้ฉันต้องมา
“ตายแล้วน้องอิม พูดได้ดีมากเลยค่า
พี่เอกกี้รู้สึกจับใจมาก”
พี่เอกที่ชอบเรียกตัวเองว่าเอกกี้
แต่ฉันชอบเรียกเขาว่าพี่อักลี่ (UGLY) หนุ่มออกสาววัย 30 ต้นๆ ที่ บก. ฉันลงทุนจ้างมาในราคาค่าตัวซึ่งแพงหูดับ
ให้มาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของฉัน เดินเข้ามาขนาบข้างพร้อมทั้งอวยกันยกใหญ่
หลังจากที่เท้าฉันก้าวลงจากเวที
ความจริงชีวิตนักเขียน
ไม่จำเป็นต้องมีผู้จัดการส่วนตัวก็ได้ แต่เนื่องจากช่วง 1 ปีที่ผ่านมานี้
ฉันออกงานอีเวนท์ มากกว่าการนั่งเคาะนิ้วอยู่หน้าคอมตัวเก่งเสียอีก
บางวันมีมากถึง 3 งาน
ซึ่งฉันเองเป็นคนที่ไม่ค่อยเก่ง เรื่องการสนทนากับคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่
ขนาดคุยกับรู้จัก ฉันยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรด้วยซ้ำ
ทำให้พี่เอกถือกำเนิดขึ้นในฐานะผู้จัดการส่วนตัว
“อย่าแสดงค่ะพี่อักลี่ อิมรู้ว่าพี่ตอแหล” ฉันหันไปเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอย่างรู้ทัน
ก่อนโยนไมค์ที่ถือลงมาด้วยให้เขา โดยไม่สนใจว่าเขาจะรับมัน
หรือปล่อยให้มันร่วงหล่นลงพื้น
ก็อย่างที่เห็น...ฉันเป็นคนค่อนข้างปากหมา
พูดจาไม่เอาหน้าใครทั้งนั้น จะหัวดำหัวขาว ถ้าทำตัวไม่ถูกใจหรือพูดจาไม่เข้าหู
ปากหมาๆ ของฉันก็จะไล่เห่าไม่เลือกหน้า
แต่ฉันก็ยังรู้จักกาลเทศะนะ ไม่ด่าคนอื่นไปทั่ว
ถ้าไม่มีใครมาทำอะไรให้ฉันไม่สบอารมณ์ก่อน
รอยยิ้มกว้างอย่างเสแสร้งเมื่อครู่หุบลงทันที
พี่เอกเหลือกตามองบนพร้อมเบะปากเล็กน้อย ก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติ และเดินตามหลังฉันมาติดๆ
“จะกลับโรงแรมเลยไหมคะคุณน้องอิม
หรือจะอยู่เดินชมงานก่อน?” ถึงจะไม่อยากเสวนากับฉันสักเท่าไหร่ แต่เพราะเงินตอบแทนที่ถูกเสนอให้สูงลิบลิ่ว
เขาจึงจำใจต้องทำหน้าที่นี้ต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ทำอย่างกับไม่รู้สันดานกันนะคะ
ทนอยู่ด้วยกันมาร่วมปีแล้วแท้ๆ น่าจะต้องเดาได้แล้วว่าอิมอยากกลับ”
ฉันชักสีหน้าใส่อย่างหงุดหงิด
แม้อากาศจะกำลังเย็นสบายไม่ได้ร้อนเหมือนบ้านเรา
แต่เพราะผู้คนที่มาร่วมงานในวันนี้ล้นหลามมาก ทำให้ฉันรู้สึกเวียนหัว
และอยากออกไปหาพื้นที่โล่งๆ เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์
“ค่ะๆๆๆ กลับค่ะกลับ เดี๋ยวน้องอิมรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ
พี่เอกกี้ขอไปตามหาคนขับรถก่อน พอดีไม่ได้ขอเบอร์ติดต่อเขาเอาไว้”
ประโยคแกมคำสั่งถูกเอ่ยออกมาจบ
ร่างสูงโปร่งค่อนไปทางผอม ก็สาวเท้าเดินลิ่วหายไปในดงผู้คน
ในขณะที่ฉันไม่คิดจะทำตามในสิ่งที่เขาบอก
ก้าวยาวๆ ตามแบบฉบับสาวสูง 168 เซนติเมตร ออกไปทางประตูด้านข้าง
เพื่อหามุมสงบให้ตัวเองได้พักผ่อน
เมื่อออกมารับลมเย็นๆ ด้านนอกได้
ฉันก็หายใจเข้าลึกๆ และผ่อนออกอย่างแรงจนสุด สองขาพาร่างกายไปประชิดกำแพงคอนกรีต
ที่สูงเลยช่วงเอวมาเล็กน้อย
ฉันวางมือบอบบางที่ใช้ทำเงินหลักหลายล้านมาแล้ว
ลงบนราวเหล็กที่มีอุณหภูมิเย็นเฉียบ
ก่อนหลับตาซึมซับความสงบที่ชื่นชอบหนักหนาอย่างเพลิดเพลิน
จนกระทั่งมีเสียงไม่พึงประสงค์ดังขึ้น ในกระเป๋าเสื้อสูทสีขาวพอดีตัว
ฉันเปิดเปลือกตาลืมขึ้นและถอนหายใจแรงๆ
มีน้อยคนนักที่จะรู้จักเบอร์ส่วนตัวของฉัน และกล้าพอจะเสี่ยงโทรหาได้ โดยไม่กลัวโดนฉันแหวใส่
พ่อเสียไปตั้งแต่ฉันยังไม่เรียนไม่จบมัธยมต้น
ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ส่วนแม่พึ่งจากไปตอนที่ฉันเรียนจบใหม่ๆ ด้วยโรคร้าย
พี่น้องไม่มีใครนับญาติ
เพราะสันดานฉันเสียจนพวกเขาเอือมระอา เพื่อนสนิทมิตรสหายยิ่งแล้วใหญ่
เติบโตขึ้นมาจนอายุ 28 ปีเต็ม ยังไม่เคยรู้จักคำว่ามิตรภาพ
ชีวิตนี้จึงโดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิง
และตัวฉันเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกโหยหามันเลยสักนิด
แม้แต่ความสัมพันธ์แนวรักๆ ใคร่ๆ
ที่มักจะเข้ามาหาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ถูกฉันเหวี่ยงออกไปจนไกลสุดขอบโลก
และสุดท้ายพวกผู้ชายรอบๆ ตัว ก็เริ่มรู้ฤทธิ์เดชของฉันกันจนหมด
ไม่มีใครกล้าเสี่ยงแบกหน้ามาให้ฉันแหกอีกเลย
จนกระทั่งได้มารู้จัก ‘คุณอร’ บรรณาธิการสำนักพิมพ์ที่ฉันเซ็นสัญญาร่วมงานอยู่ในขณะนี้ เขาเป็นหญิงวัย
40 ปีปลายๆ ที่มองเห็นศักยภาพในตัวฉัน
หลังจากที่เทียวส่งต้นฉบับไปนับสิบที่
แต่กลับไม่มีใครสนใจผลงานของฉันเลยสักคน จนสำนักพิมพ์สุดท้ายที่คิดมาดีแล้ว
ว่าถ้าหากแห้วอีกฉันจะจบความฝันลมๆ แล้งๆ ของตัวเอง
และกลับไปเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาๆ เหมือนเดิม คุณอรเธอก็ปรากฏตัวขึ้น
เธอส่งเมลล์กลับมาหากันในวันนั้นเลย
เอ่ยชมผลงานอย่างที่ฉันไม่เคยได้รับจากใคร และเสนอให้เซ็นสัญญาเป็นนักเขียนในการดูแลของเธอ
และนั่น...คือจุดเริ่มต้นของการก้าวเดินตามความฝัน
จนในที่สุดฉันก็ได้รับสมญานามว่า ‘นักเขียนมือทอง’ ในวันนี้
“ว่าไงคะคุณ บก. ที่รักยิ่ง”
ฉันล้วงมือเข้าไปหยิบมือถือขึ้นมากดรับ
และกรอกเสียงอย่างแดกดันลงไป ขนาดผู้มีพระคุณฉันยังไม่เว้นที่จะทำนิสัยแย่ๆ ใส่
[ไม่ต้องมาแดกดันฉันเลยนะ วันนี้เป็นไงบ้าง
ราบรื่นดีไหม?]
คุณอรยังคงรู้ใจกัน
และรู้วิธีในการรับมือกับเจ้าแม่สายวีนอย่างฉันเสมอ
“อิมเคยทำให้คุณผิดหวังด้วยเหรอคะ?”
ฉันหันกายกลับมาเผชิญหน้ากับผนังกระจกอาคาร
และใช้สะโพกกลมกลึงของตัวเอง อิงราวเหล็กเอาไว้ด้วยท่วงท่าสบายๆ
สายลมเย็นๆ พัดผ่านร่างกาย
ทำให้เส้นผมยาวสลวยซึ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
ปลิวมาคลอเคลียอยู่ข้างแก้มจนฉันเกิดความรู้สึกรำคาญ
จึงต้องยกมืออีกข้างที่ว่างขึ้นจับผมทัดใบหู
[ตอนนี้เธออาจจะยัง แต่ในอนาคตเธอทำแน่]
“อิมไม่เข้าใจ คุณกำลังจะสื่ออะไรคะคุณอร?”
ฉันรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่คุณอรกำลังสื่อคืออะไร
แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราว และแกล้งถามไปอย่างนั้น
[อย่ามาแกล้งโง่ ฉันรู้ว่าเธอรู้
ว่าฉันพูดถึงเรื่องอะไร]
ไม่เคยมีสักครั้งที่จะโกหกเธอได้
คุณอรรู้ความคิดฉันทุกอย่าง ราวกับว่าเธอฝังไมโครชิป
เอาไว้ในหัวสมองอันล้ำค่าของฉัน
“อิมไม่ได้แกล้งโง่นะคะ อิมไม่รู้จริงๆ” ฉันยังคงแกล้งโง่ และตีหน้าใสเสียงซื่อๆ ต่อไป
[เธอยื่นเอกสารขอยกเลิกสัญญาการเป็นนักเขียนทำไม?]
และในที่สุด คุณอรก็ขี้เกียจเล่นสงครามประสาทกับฉัน
เธอเลือกที่จะถามในสิ่งที่อยากรู้ออกมาจนได้
ฉันยืนนิ่งสายตามองตรงเข้าไปในผนังกระจก
ที่สะท้อนภาพตัวเองตั้งแต่หัวจรดปลายรองเท้าส้นสูง
ผู้หญิงในภาพสะท้อนหน้าตาสะสวย
เครื่องหน้าครบครันตามแบบฉบับสาวไทยแท้ ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งมีดหมอก็สวยได้อย่างไร้ที่ติ
ทรวดทรงองเอวมีส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างชัดเจน แม่ให้มามากเกินพอดีเสียด้วยซ้ำ
ผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตเป็นลอนธรรมชาติ
ไร้สารเคมีจากการถูกดัดหรือย้อมสี แถมเครื่องแต่งกายที่สวมใส่
ก็เป็นแบรนด์เนมราคาแพงระยับทั้งตัว
ดูเผินๆ เธอเหมือนคนที่ควรจะต้องมีความสุขมากๆ
คนหนึ่ง ทว่าในนัยน์ตาสีเดียวกับเรือนผมนั้น กลับดูว่างเปล่าอย่างน่าใจหาย
ใช่! ฉันไม่มีความสุขในชีวิตเลยสักนิด ทั้งๆ
ที่ความฝันที่วาดเอาไว้เป็นจริงแล้ว ฉันได้เป็นนักเขียน
ที่เกินกว่าจะใช้คำเรียกว่า ‘ประสบความสำเร็จ’ เสียอีก
ผลงานถูกยอมรับจากนักอ่านมากมาย
มีนักแปลต่างชาติซื้อลิขสิทธิ์ นำไปทำหนังสือขายต่อในประเทศของเขา
จนชื่อเสียงฉันโด่งดังระดับโลก
ถูกทาบทามขอสัมภาษณ์จากสื่อมากมายทั่วประเทศ
ได้จับเงินหลักร้อยล้านในเวลาไม่ถึงปี มีแฟนคลับมากมายแห่ชื่นชมและคอยให้กำลังใจ
แต่ชีวิตการเป็นนักเขียนในเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมานี้ ฉันกลับรู้สึก...ว่างเปล่า
“ข่าวไปไวจังเลยนะคะ” ฉันแค่นเสียงหัวเราะออกมา ทั้งๆ ที่ตอนนี้กำลังรู้สึกอยากร้องไห้อย่างไร้สาเหตุ
[บอกเหตุผลฉันหน่อยได้ไหมว่าเพราะอะไร?]
“บอกไม่ได้หรอกค่ะ
เพราะอิมเองก็ยังไม่ทราบเหตุผลของตัวเองเหมือนกัน อาจจะเหนื่อยแล้วมั้งคะ” ฉันหลุบตามองลงต่ำ ยกปลายรองเท้าเขี่ยพื้นซีเมนต์ที่โล่งสะอาดไปมา
[เฮ้อ~ เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเดาใจเธอไม่ออก ยัยตัวแสบ]
น้ำเสียงคล้ายกำลังหนักใจของคุณอร
ทำให้ฉันหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย อย่างน้อยๆ ในช่วงเคร่งเครียดแบบนี้
เธอก็ยังสร้างความสุขเล็กๆ ให้กับฉันได้
[แล้วยกเลิกสัญญาไปแล้ว คิดจะทำอะไรต่อ?]
“ใช้เงินสิคะ เงินตั้งหลายร้อยล้าน
อิมยังไม่มีเวลาได้ใช้มันเลย มัวแต่ปั่นต้นฉบับส่งคุณ”
ฉันพูดติดตลกออกไป
แต่ความจริงแล้วก็มีความคิดแบบนั้น ชีวิตที่เหลืออยู่ฉันไม่อยากทำอะไรแล้ว
มันรู้สึกเหนื่อยมากกับช่วงชีวิตที่ผ่านมา
อยากพักผ่อน อยากอยู่เฉยๆ กินนอนเที่ยว ไปในที่ที่อยากไป
และก็อ่านนิยายของนักเขียนหน้าใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด
[ที่หยุดเป็นนักเขียนนี่
เพราะว่าเหนื่อยจริงๆ เหรอ?]
“คงงั้นมั้งคะ หรือบางทีอาจเป็นเพราะว่าหมดแพสชั่นแล้ว
ก็เป็นไปได้เหมือนกัน”
[ลองพักไปก่อนสักระยะ
แล้วค่อยกลับมาใหม่ดีไหม เธอเลิกเป็นนักเขียนไปดื้อๆ แบบนี้
แฟนคลับที่รออ่านผลงานของเธอเขาจะรู้สึกยังไง?]
คำว่า ‘แฟนคลับ’ กระตุกหัวใจเข้าอย่างจัง ตอนที่เริ่มเป็นนักเขียนใหม่ๆ ฉันโหยหาพวกเขาเหล่านี้มาก
และเมื่อได้มีแฟนคลับกลุ่มแรก ก็รู้สึกหัวใจพองฟูอย่างบอกไม่ถูก
น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่ได้เพราะรู้สึกดีใจ
นั่นน่ะสิ ถ้าอยู่ๆ ฉันหายไปแบบนี้
พวกเขาจะทำยังไงนะ? เขาจะเฝ้ารอผลงานของฉันหรือเปล่า?
“ขอเวลาอิมคิดหน่อยนะคะ แล้วเดี๋ยวอิมจะโทรบอกคุณอรคนแรกเลย”
พูดจบก็กดวางสายทันที
เพราะตอนนี้พี่เอกวิ่งหน้าตาตื่นตามหาฉันอยู่
และเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าฉันอยู่ตรงนี้ เพราะร่างสูงกำลังสาวเท้าเข้ามาใกล้
ความจริงฉันเห็นตั้งนานแล้วแหละ
แต่ติดคุยโทรศัพท์อยู่ไง ก็เลยปล่อยให้นางวิ่งเล่นไปก่อน มีสายซ้อนเข้ามาหลายสาย
แต่ฉันก็ไม่คิดจะละโทรศัพท์ออกมาดูหน้าจอด้วยซ้ำ เพราะเดาได้ว่าต้องเป็นเขาแน่ๆ
ที่โทรเข้ามา
“ตายแล้ว! คุณน้องอิมคะ
พี่เอกกี้บอกให้คุณน้องรอคุณพี่อยู่ที่ตรงนู้น ทำไมถึงไม่เชื่อฟังกันบ้างห๊ะ
แล้วโทรมาก็ไม่ยอมรับสาย รู้ไหมพี่เอกกี้วิ่งตามหาคุณน้องทั่วฮอลล์เลยนะคะเนี่ย!”
เมื่อเปิดประตูออกมาเจอหน้าฉันได้ เสียงแป๋นๆ
ก็บ่นยาวเหยียด พร้อมกับเท้ามือลงบนราวเหล็ก และหอบหายใจถี่ๆ อย่างเหน็ดเหนื่อย
“รู้ค่ะ อิมเห็นอยู่ ไม่ได้ตาบอด
กระจกก็ใสมองทะลุเห็นข้างในได้ขนาดนี้” ฉันผายมือไปทางกระจก
เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายมองตาม ซึ่งเขาก็มองตามมือฉัน ก่อนจะหันกลับมาทำตาดุใส่
“น้องอิมใจร้ายกับพี่เอกกี้มากเลยนะคะ! พี่ชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ!!”
พี่เอกยืดตัวตรงพร้อมทั้งยกมือเท้าเอว
ก่อนขึ้นเสียงใส่ฉันด้วยท่าทางโกรธจัด
“ทำไมคะ พี่เอกจะไปขอลาออกกับคุณอรเหรอ?
ดีเลยค่ะ อิมรำคาญพี่จะแย่อยู่แล้ว คนอะไรก็ไม่รู้จุ้นจ้านชะมัด”
พูดจบฉันก็ก้าวเท้าเดินผ่านร่างเขากลับเข้าไปภายใน
ไม่ได้สนใจท่าทีวี๊ดว๊าย และคำต่อว่าอย่างเหลืออดที่แสดงใส่ฉันตามหลัง
“เธอมันนังมารร้าย ยัยน้องอิม!”
ถึงเราจะดูไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่
แต่เขาก็ยังดูแลฉันอย่างดีมาโดยตลอด ไม่รู้หรอกนะว่าที่เขาทำมันเป็นแค่หน้าที่
หรือความจริงลึกๆ แล้วเขาตั้งใจทำมันจริงๆ
ส่วนตัวฉันเอง
ถึงปากจะหมาคอยกัดคอยแทะเขาสารพัด แต่ก็ไม่เคยทำอะไรรุนแรงไปมากกว่าคำพูดร้ายๆ
แถมยังชอบมีของฝากติดไม้ติดมือกลับไปให้เขา เวลาออกไปเดินเล่นข้างนอกแล้วเจอของที่ถูกใจ
เวลาเขาแอบอู้ มาสาย
หรือทำตัวเหลวไหลบ้างเป็นบางหน ฉันก็ไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณอร
ให้เขาต้องเดือดร้อนเลยสักครั้ง
ก็ถือว่าเป็นผู้ดูแลกับคนที่ต้องดูแล
ที่ดูแล้วจะสมน้ำสมเนื้อกันดี อย่างกับป่าช้ากับเจดีย์บรรจุกระดูก
ฉันพอจะเดาได้ว่าพี่เอกน่าจะเจอคนขับรถแล้ว
และรถน่าจะกำลังจอดรออยู่ด้านหน้า จึงเลือกที่จะไม่รอให้เขาเดินนำ และสาวเท้ายาวๆ
เดินตรงดิ่งไปยังประตูทางออก โดยมีเขาวิ่งจ้ำตามหลังมาไม่ห่าง
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 27
Comments