3ปลดปล่อย
กรี๊ด!!!
ทันทีที่เท้าหลุดจากการแตะสัมผัสบนพื้นแผ่นเหล็กหอคอย
และศีรษะดิ่งลงสู่ผืนน้ำทะเลสาบอันกว้างขวาง
ฉันก็แหกปากกรีดร้องลั่นด้วยความหวาดเสียว จังหวะหัวใจเต้นโครมครามอย่างแรง
ทว่าดวงตากลับไม่คิดจะปิดลง ทอดมองทิวทัศน์กลับหัวที่ชวนตาลายอย่างพิสมัย
“ชอบไหม?”
คนที่ถูกมัดขาซ้อนอยู่ทางด้านหลัง
และกำลังโอบกอดรอบลำตัวฉันเอาไว้ เอ่ยถามหลังจากสริงหยุดการเคลื่อนไหว
และเราทั้งคู่กำลังห้อยหัวค้างอยู่กลางอากาศ
“ชอบสิ ชอบมาก อยากเล่นมานานละบันจี้จัมป์เนี่ย”
ฉันตอบขณะที่สายตายังคงกวาดมองวิวธรรมชาติกลับหัวด้วยความเพลิดเพลิน
รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
เหมือนการที่ได้กรีดร้องเมื่อครู่เป็นการปลดปล่อยสิ่งแย่ๆ ออกมา
กีฬาผาดโผนหรือพวกกิจกรรมแอดเวนเจอร์
เป็นอะไรที่โปรดปรานมานานแล้ว แต่ไมลล์ไม่สันทัดเรื่องพวกนี้เพราะเป็นคนเจ้าสำอาง
ห่วงกลัวจะได้รับบาดเจ็บจนเกิดบาดแผล เพราะต้องใช้หน้าตาและร่างกายทำมาหากิน
อีกอย่างคือฉันไม่มีเพื่อนคนอื่น
ทำให้ไม่มีโอกาสได้มาทำอะไรอย่างที่ชอบ ครั้นจะเล่นคนเดียวก็ดูยังไงอยู่
เลยตัดปัญหาพับความชอบพวกนี้ใส่กล่องไป
ดีนะวินมีชุดกีฬาและรองเท้าแตะ
ที่เขามักจะพกติดรถไว้ยามฉุกเฉินอยู่หลายชุด พวกเราถึงมีโอกาสได้มาทำอะไรแบบนี้
เพราะถ้าจะให้ใส่เดรสกระโปรงยาวถึงตาตุ่ม กับชุดสูทสุดหรูพอดีตัวมาโดดบันจี้จัมป์
ก็ดูท่าจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่
“อยากเล่นอีกไหม หรือจะไปต่ออย่างอื่นดี?”
“ขออีกรอบละกัน”
“เอาสิ วันนี้ฉันตามใจเธอ”
เราถูกดึงกลับขึ้นมาด้านบนและกระโดดลงไปใหม่อีกครั้ง
จากที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะเล่นเพิ่มแค่รอบเดียวดูท่าว่าจะไม่ใช่แล้ว
เพราะฉันดันติดใจขอเบิ้ลจนตอนนี้ปาไปรอบที่ห้า
“นาย...โอเคไหม?”
หลังจากรอบสุดท้ายที่ถูกดึงขึ้นมาด้านบน
ฉันเหลือบไปเห็นสีหน้าของวินดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่
จึงตัดสินใจหยุดและพาเขาลงมานั่งพักที่ม้าหินด้านล่าง
ผิวหน้าซึ่งเคยขาวเนียนอมชมพูดูสุขดี
ตอนนี้เหลืองซีดคล้ายคนจะเป็นลมยังไงก็ไม่รู้
ทำเอาฉันรู้สึกผิดที่เล่นจนไม่ทันได้นึกถึงคนข้างๆ
“ยังได้อยู่ แค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”
ร่างหนาเอนกายพิงไปกับพนักเก้าอี้
ดวงตาคมหลับลงพร้อมแหงนศีรษะไปทางด้านหลังเล็กน้อย
ฉันไม่รู้จะทำยังไงเลยยกมือทั้งสองข้างขึ้น พัดโบกให้อากาศกระทบกับหน้าเขา
“ขอโทษนะ ฉันเล่นจนลืมดูว่าเกินลิมิตร่างกายนาย”
ฉันกล่าวขอโทษเสียงอ่อยเพราะรู้สึกสำนึกผิด
คล้ายคนที่กำลังนั่งหลับตากลัวว่าฉันจะรู้สึกแย่ไปกว่านี้
วินรีบขยับนั่งตัวตรงและทำท่าเหมือนว่าตัวเองปกติ ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มสดใส
ทว่ามันกลับปิดสีหน้าดูไม่ดีของเขาไว้ไม่มิด
“ไม่เป็นไรน่า ฉันแข็งแรงจะตาย แค่นี้จิ๊บๆ ยังโดดได้อีก 10 รอบเลยนะ”
“หน้านายเหลืองขนาดนี้ โกหกไม่เนียน”
ฉันยกมือขึ้นกอดอกและจ้องมองวินกลับด้วยสายตาดุๆ
อย่างรู้ทัน เมื่อรู้ว่าตัวเองหลอกฉันไม่ได้ เขาจึงส่งยิ้มแห้งๆ
และยกมือเกาท้ายทอยแก้เก้อ
“โอเค ยอมรับก็ได้ วันนี้พอบันจี้จัมป์ก่อนละกัน ไปเล่นอะไรเบาๆ
หน่อยดีกว่า”
“เล่นอะไรล่ะ?”
“รถบั๊มไหม?”
ดวงตาสีดำสนิทดูเป็นประกาย
ราวกับเด็กที่กำลังอ้อนขอผู้ปกครองเล่นเครื่องเล่น ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักกี่ปี
วินก็ยังมีนิสัยเด็กๆ ที่ทำให้ฉันอดยิ้มอย่างเอ็นดูเขาไม่ได้
“ไหวเหรอ ไม่พักหรือไง?”
“ก็พักแล้วนี่ไง ไม่เป็นไรแล้ว ไปเล่นกันเถอะนะ ฉันอยากเล่นกับเธอ”
“สังขารไม่ให้แต่ใจยังได้ว่างั้น?”
“นะๆๆ”
ฝ่ามือใหญ่เอื้อมมาดึงมือฉันที่กำลังกอดอกไปกุมเอาไว้
ก่อนทำตาปริบๆ ส่งสีหน้าออดอ้อนใส่ จนฉันทนดาเมจรุนแรงนี้ต่อไปอีกไม่ได้
“อย่ามาร้องขอชีวิตละกัน”
ถึงจะเป็นห่วงแต่ก็อดไม่ได้ที่จะตามใจ
ก็ใครใช้ให้เขาน่ารักขนาดนี้ล่ะ
พวกเราเข้าไปเล่นรถบั๊มกันได้สักพักใหญ่ๆ
ก่อนจะไปกระโดดลอยตัวบนแทมโพรลีนต่อ และตบท้ายด้วยปีนหน้าผาจำลอง
ซึ่งแม้จะทำกันไปเพียงไม่กี่อย่าง
แต่มันเป็นกิจกรรมที่เรียกเหงื่อได้มากโขเลยทีเดียว
บวกกับตอนนี้เป็นเวลาที่ค่อนข้างเย็นพอสมควรแล้ว
ฉันจึงคิดว่ามันถึงเวลาที่ควรจะต้องพัก
“กลับกันเถอะ”
ขณะเราทั้งคู่กำลังใช้ผ้าขนหนูที่พนักงานนำมาแจกให้ซับเม็ดเหงื่อบนหน้า
จึงชวนวินกลับ
“เธอเหนื่อยแล้วเหรอ?”
“อื้อ มันเย็นแล้วด้วย ฉันยังไม่ได้หาที่พักเลย”
เพราะว่าไมลล์เลือกหนีมาจัดงานแต่งที่ชลบุรี
ทำให้ฉันต้องถ่อสังขารจากกรุงเทพมาแบบรีบๆ
เพราะรู้ข่าวล่วงหน้าเพียงวันเดียวเท่านั้น
จึงไม่ได้ตระเตรียมจองที่พักไว้แต่เนิ่นๆ
เสื้อผ้าข้าวของอะไรก็ไม่ได้เอามา
คิดว่าล่มงานวิวาห์เสร็จก็จะกลับเลย ไม่รู้ว่าจะได้เจอวินที่นี่
และมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่กับเขาจนเย็นขนาดนี้
“เธอยังไม่มีที่พักเหรอ?”
“ใช่ ก็ตอนแรกไม่คิดจะอยู่ค้างคืนน่ะ”
“งั้นเดี๋ยวไปพักโรงแรมเดียวกับฉันก็ได้ น่าจะมีห้องว่างอยู่”
“ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็อุ่นใจที่มีคนรู้จักอยู่ใกล้ๆ”
วินยิ้มเล็กๆ
และพยักหน้ารับ ก่อนเราสองคนจะเดินออกมายังลานจอดรถ แต่ยังไม่ทันได้ขึ้นรถ
วินกลับหยุดชะงักและล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู
“เธอขึ้นไปรอบนรถก่อนเลย ฉันขอคุยโทรศัพท์แป๊บ”
สีหน้าของเขาดูตึงขึ้นเล็กน้อยขณะมองหน้าจอมือถือ
แต่เพียงชั่วครู่ก็ปรับเป็นปกติและเงยขึ้นมาบอกกัน
“อ่าห๊ะ”
รับคำเสร็จฉันจึงเปิดประตูรถเข้าไปนั่งรอด้านใน
แต่เพียงไม่นานโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายของฉันก็ดังขึ้น
เมื่อหยิบออกมาดูจึงเห็นว่าเป็นเบอร์ของเหมียวโทรเข้ามา
จ้องมองเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจออยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง
ก่อนกดรับสายและกรอกเสียงลงไปด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“ด่ามาฉันด่ากลับนะ บอกไว้ก่อน”
[เหมียวอยู่โรงพัก รบกวนช่วยมาด้วยค่ะ คุณคู่กรณี]
ยังไม่ทันที่จะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
สายก็ถูกตัดไปโดยฝีมือของอีกฝั่ง
เป็นจังหวะที่วินเปิดประตูรถเข้ามานั่งประจำตำแหน่งคนขับพอดี
เราทั้งคู่จึงหันมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“มีอะไรเหรอ?”
วินน่าจะสงสัยที่ฉันทำหน้าซังกะตายใส่เขา
“ไปส่งที่โรงพักหน่อยสิ พอดีมีธุระ”
“บังเอิญจัง ฉันก็มีธุระที่นั่นเหมือนกัน”
แม้จะสงสัยแต่ฉันก็เลือกที่จะไม่ซักไซ้ถามอะไร
นั่งเงียบๆ และปล่อยให้วินขับรถพาเรามาจนถึงสถานีตำรวจ
เมื่อมาถึงและเข้าไปข้างในแล้ว
จึงเห็นว่าไม่ได้มีแค่เหมียวที่อยู่ที่นี่ แต่มีไมลล์นั่งหมดสภาพอยู่ข้างๆ ด้วย
ผ้าก๊อซสีขาวพันรอบศีรษะจุดที่โดนตีจนแตก
แต่แปลกมากที่มันมีแปะอยู่บริเวณปลายคางด้วย ถ้าจำไม่ผิด
ฉันว่าฉันไม่ได้ฟาดเขาตรงนั้นนะ
และสิ่งที่สงสัยก็กระจ่างขึ้น
เมื่อวินเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆ
พร้อมกับตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาที่เจ้าทุกข์ร้องเรียน ของฉันคือการใช้ขวดแก้วฟาดศีรษะ
ส่วนของวินคือใช้เท้าเตะปลายคางของไมลล์
แต่สุดท้ายเรื่องก็จบเพียงแค่เราทั้งคู่เสียเงินจ่ายค่าทำร้ายร่างกายเท่านั้น
เพราะไมลล์ไม่ต้องการให้มันเป็นเรื่องใหญ่ เขากลัวว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นข่าวและชื่อเสียงอาจเสียหายได้
ก่อนจะหันหลังเดินออกมา
ไมลล์ได้เข้ามาหาพร้อมทั้งเอ่ยคำขอโทษที่ฉันมองออกว่าเขาไม่ได้เสแสร้ง
ถึงแม้ว่าจะโกรธและเกลียดพวกนั้นมากแค่ไหน
แต่เมื่อได้รับคำขอโทษอย่างจริงใจฉันก็จะไม่แค้นเคือง แต่หวังว่าชาตินี้จะไม่มีอะไรที่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีกนะ
ลาก่อน
ลาขาด อย่าได้พบได้เจอกันอีกเลย!!
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 19
Comments