พระธีร์ จิต(ไม่อยาก)จะสัมผัส!!

มาทำไม! มามองฉันทำไม? ฉันแค่ยืนมองอยู่ไกลๆ ตรงนี้ คงไม่ใช่คนแล้วละสภาพที่เห็นนั้น ขอบรรยายให้ฟังนิดนึงนะ เรื่องอะไรที่ฉันเห็นแล้วฉันต้องมากลัวอยู่คนเดียว พวกแกที่หลงเข้ามาอ่านเนี้ย จงแชร์บาปไปค่ะ รับความน่ากลัวนี้ไปกับฉันด้วยเลย ภาพที่ฉันเห็นก็คือชายคนนึง ร่างไม่ใหญ่โตเสื้อผ้าชุดเหมือนราชกาลเมื่อนานมาของไทยเลย แต่งตัวเรียบร้อยอยู่ แต่ที่ว่ามาทั้งหมดที่นั้นคือเปียกน้ำ น้ำหยดติ่งๆ เลยจ้ะ เหมือนกับพึ่งขึ้นมาจากน้ำอะ แล้วก็เอาแขนที่เปียกๆ บวมๆ ดำๆ พยายามดันเด็กหญิงคนนั้นให้ตกสะพานอยู่ และแล้วเขาก็มองมาทางนี้

ถอยดีไหมอะแก...ฉันว่ามันไม่ค่อยดีนะ คิดเหมือนกันไหม B1 เอ้อ คิดเหมือนกันเลยละ B2

ป่ะ! กลับวัดเถอะห่านจิก หาเหาใส่หัวอีกแล้ว

พึงจบคดีหลวงพี่ชา ที่จะมาเฮฮาตอนตีสองไปคืนเดียว มึงหาเพื่อนใหม่อีกแล้วเหรอ อีธีร์เอ่ย หาเพื่อนเก่ง กระชับมิตรเก่ง เป็นคนไม่มีใครครง เน้นหลังจากเป็นศะค่อยอยากคบฉันเหรอเจ้าคะ

กรี๊ดดดด!!!

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือเด็กคนนั้นโน้มตัวไปข้างหน้า คนที่พากันมองอยู่ก็กรี๊ดร้องออกมา คนที่เป็นแม่ก็ร้องไห้ฟูมฟายหนักขึ้นไปอีก

เอาจริงๆ กูว่าถ้ามึงหนีเอาตัวรอดกลับวัด มึงก็มีตราบาปในใจไปอีก

โอ้ย!! เอ…ดอกเอ่ย! คนดีเก่ง มีความเป็นคนดีขึ้นมาซะอย่างนั้น คุยกับคนเขายังไม่ฟังมึงเลย นั้นผี! ผีแน่ๆ ไม่จุ๊บแจงเลย เขาจะฟังมึงเหรอเนี้ย? จะเดินเข้าไปใก้ลกว่านี้ เด็กนั้นก็ขู่กระโดดลงสะพานไป อยู่ไกลถึงตรงนี้จะให้กูตะโกนคุยกะผี ชาวบ้านก็รู้หมด เก๋!ทางเลือกชีวิตที่ดี มีขายที่ไหนคะ สลัดเอ่ย!!!

"หลับตา สมาธิ ใช้จิตนำทางซิ"

ใช่ๆ พูดถูกๆ เอ้! อ๊ะ!

คุณกิตติคะ นั้นเสียงคุ้นมากเลยนะ

เอิ่ม…เอ้ออออออ…นั้นมันเสียงหลวงพี่ชา มากระซิบหลังหูกูอีกแล้ว

(ไหนมึงบอกผีไม่หลอกกลางวันไงอิพระธีร์ หน้ามึงนั้นอะผี หลังหูมึงก็...ก็... เอ้อ นั้นแหละ ทั้งหน้าทั้งหลังเลย มึงหลอกทุกคน ตรรกะผีไม่หลอกกลางวันนี้ไม่มีจริง พวกมึง!!หนีไป๊!!!!)

{วิ่งเลยดีป่ะ พระกระโดดสะพาน เมนูใหม่ ทั้งสะพานทั้งกำแพง กระโดดแม่งให้หมดเลยมะตอนนี้!}

แต่จะว่าไป เอาจริงๆ ตอนนี้เราไม่ค่อยตกใจเรื่องเสียงของ พระชาแล้ว เหมือนกุชินไปละ ในตอนนี้จิตใจจดจ่ออยู่กับ ชายดำตรงหน้าที่หมายเอาชีวิตเด็กอยู่ เลยทำตามที่พระชาบอก หลับตา พยายามทำสมาธิ ทั้งๆ ที่ใจกลัวผีแล้วตอนนี้ กลัวมากด้วย แต่ก็พยายามทำใจให้นิ่งๆ สวดแผ่เมตตา ออกเสียงมาเบาๆ อยู่ๆ เสียงรอบตัวก็เงียบ

เงียบจริง อ้าว อิเห้ย!!! ทำไมจู่ๆ เสียงรอบตัวก็โดนตัดออกไป มาเวลสตูดิโอเวอร์ เมื่อลืมตาขึ้นมอง ชายคนนั้นก็มานั่งคุกเข่ายกมือไหว้เราอยู่ตรงหน้า ห่างไปเพียงสองฟุต ตกใจสัส อิเหี้ย!!! โอ๊ย! เอาจริง กูบวชนี้จะหัวใจวายตายก่อน หรือ เป็นบ้าก่อนค่ะ ประชิดตัวเก่งมาก ชายคนนั้นยกมือขึ้นไหว้ เงยหน้ามองเรา แต่ในแววตาของเขานั้นไม่ได้มีความอ่อนโยนเลย

ถ้าจะมองจิกเบอร์แรงขนาดนี้ไม่ต้องไหว้แล้วก็ได้มั่งโยม เกรงใจผ้าเหลืองอย่างเดียวงั้นเหรอ เกรงใจเรานิดนึงได้มิ สวดมนต์พอเป็นนะ อาระหัง ซักบทมะ กูก็จะร้องไห้ละนะ ฮือ... กูก็กลัวอิเหี้ย

จากนั้นภาพที่เห็นรอบๆ ตัวหลังจากสายตากวาดซ้ายมองขวา อ้าว! ทำไมคนอื่นถึงหายไปหมด ทำไมถึงมีแค่ เรา ชายคนนี้ กับเด็กหญิงที่นั่งอยู่ราวสะพานคนนั้น มีเพียงแค่นี้ คนอื่นๆ หายไปไหนหมด

หรือทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในภาวะสมาธิของเรา ต้องใช่แน่ๆ หลวงพ่อเคยสอน เมื่อเราเพ่งจิตแน่วแน่ ถ้าจิตเราสื่อถึง นั้นอาจหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็ได้ ในระหว่างที่พิจรณา ความเก๋ ความสกาเลสวิชของตัวเองอยู่นั้น แบบแอบดีใจว่าตัวเราทำอะไรแบบนี้ได้ กำลังคิดว่าเก๋ ชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ก็พูดกับเรา เสียงใหญ่มาก แหบพร้าและหลอนสัส!

"พระท่านอย่ายุ้งเรื่องนี้เลย มันไม่ใช่กิจของท่าน ท่านจะลำบากเสียเปล่าๆ"

กูก็ไม่ได้อยากยุ้งเลย

{เคร!งั้นกูกลับเลยนะ บ๊ายบายจ้า}

(อิเหี้ยไม่ได้ ช่วยเด็กก่อน)

{มึงคุยเองไหมละอิเหี้-! เจ้าตัวเขาก็บอกอยู่ว่าอย่ายุ้งๆ }

(มึงจะปล่อยให้เด็กคนนั้นตายเหรอ)

{กูว่ามันก็จริงของชายคนนี้นะ มันเป็นเรื่องของเขาสองคนป่ะ ลดความเผือกลงบ้างก็ดีไหมมึง}

(มึงปล่อยให้ชีวิตเด็กคนนึงต้องตายนะ มึงเป็นพระอยู่อีธีร์ มึงปล่อยไปแบบนี้ก็บาปนะ)

เอ้อ!…อิเหี้ยเป็นคนดีนี้ยากเย็นอะไรขนาดนี้ เป็นพระที่ดีนี้ก็บียอนไปอีก จะเหนือกว่านี้ไปถึงไหน กูทำไรได้ กูปล่อยแสงแบบแวนด้า ไม่ได้ อิเห้ย! แล้วกูจะสู้ผียังไง ละถ้าเขาไม่ยอมเอากูไปแทนอะ! อิห่า!…แม่กับที่บ้านกู กูก็ต้องดูแลปะ

..................................................... กูอยากพัก!!!.....................................................

"เราก็ไม่ได้อยากจะยุ้งเรื่องของโยมทั้งสอง แต่ที่โยมกำลังทำนั้นมันเป็นการก่อบาปนะโยม"

"เรารอที่จะเอาคืนมานานแล้ว เราตามหามันมานานแสนนาน กว่าที่จะได้เจอมัน! รอจนกว่าบุญมันจะเบาบางพอที่จะเล่นงานได้ พอมาถึงตอนนี้ท่านจะเข้ามาขวางข้าอีกงั้นรึ! สิ่งที่มันเคยทำกับเราละ ท่านจะให้เราปล่อยให้เราโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดี่ยวงั้นรึหลวงพ่อ?"

เอ้อ...ก็เข้าใจนะว่ามีความแค้นกัน แต่กูก็ไม่รู้เรื่องราว แล้วจะพูดอย่างไรดีละทีนี้ อยากเสือกเองแต่ไม่มีข้อมูลเลย จะถกเถียง อธิบายอะไรได้ละทีนี้

"เพ่งสมาธิไปที่เขาอีกพระธีร์ เพ่งให้ลึกลงไปในจิตดวงนั้น" เสียงพระชายังกระซิบมาที่หลังหูเช่นเคย แบบว่า กระซิบใกล้ไปไหมอ้า ขนลุกมาก แต่ก็เอ้อ… เอาก็เอา… เราจึงพยายามสงบจิตให้นิ่งๆ นึกถึงชุด หน้าตา แววตา น้ำเสียง สีหน้า พิจรณาไปมาตามที่เราเห็น เมื่อหลับตาอีกครั้ง ภาพนิมิตรในหัวเกี่ยวกับชายคนนี้ก็ฉายขึ้นในความมืด

ชายคนนี้เป็นครู สอนหนังสืออยู่ตามโรงเรียนบ้านนอกเล็กๆ สอนหนังสือสองที่ เป็นครูอยู่ในเมืองและมาสอนเพิ่มเติม ช่วยสอนหนังสือในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส นั้นคือภาพที่เราเห็นและครูคนนี้ เขาก็มีคนที่เขาชอบอยู่แล้ว แต่ด้วยความไม่มีเงินมากนัก เลยยังไม่ได้ที่จะแต่งงาน และ ภาพก็ตัดมาที่หญิงสาวอีกคน

ภาพหญิงสาวคนนี้มีชุดที่สวย ใบหน้างาม ชีวิตหรูหราดี มีคนใช้ แต่ภาพตัดไปที่การทำตัวของเธอนั้น ใช้แต่อารมณ์ ใช้อำนาจเงิน อำนาจที่พ่อของเธอมีเส้นสาย อยากได้อะไรก็ต้องได้ ตบตีคนใช้เมื่อทำอะไรไม่ได้อย่างใจ (ร้ายเก่ง...) แล้วภาพก็ตัดมาที่โรงเรียนในเมือง ห้องเรียนี่นักเรียนกำลังเดินออกจากห้อง เหลือครูผู้ชายกับ สตรีร่ำรวยคนนั้น กำลังมีปากมีเสียงกัน

"เงินเดือนเธอ ฉันและพ่อของฉันเป็นคนจ่ายให้ จริงๆ ฉันซื้อเธอไปทุกเดือนเลยก็ยังได้ ฉันมีทุกอย่าง ความงาม ฉันก็ไม่แพ้ผู้ใด ทำไม!…ทำไมเธอไม่เคยสนใจฉันเลยซักนิด!"

ฝ่ายหญิงเล่นใหญ่มาก ถามพลางกับชี้พัดไปที่ชายสลับกับชี้มาที่ตัวเอง ฉันว่าเธอดูละคร พีเลียด ช่องวัน31มากไปนะ พักก่อนเถิด อิห่า ท่าทางโบราณจริงๆ

"ผม...ผมขอโทษท่านหญิงด้วย คือ... ผม... ผมมีคนที่ผมชอบอยู่และขอรับ"

"ฉันรู้!" (อ้าว!อิดอก!!!รู้แล้วยังจะเอา รู้แล้วว่าเขามีเจ้าของแล้ว คืออะไรพูด?)

"แต่ฉันชอบครู ครูคงไม่รู้ว่าจริงๆ อัตราจ้างครูในโรงเรียนพ่อฉันมันเต็มแล้ว แต่วันที่ครูมาสมัคงานนั้นฉันเป็นคนสั่งรับครูไว้ อีกหลายๆ เรื่องฉันก็ช่วยครู แต่ทำไมครูไม่เห็นใจอิฉันบ้าง!"

(บุญคุณกับหัวใจ มันไม่ใช่เรื่องเดี่ยวกันปะวะ โยงใยเก่ง ลำพันเก่ง วีนเบอร์ใหญ่แล้วมาขอความเห็นใจ คือไรอะ!?)

"อย่างไร ผมก็คงไม่ได้ชอบคุณหนูอยู่ดี อย่าพยายามต่อไปเลยนะครับ ผมขอละ"

"ถ้าเธอไม่ยอมมาเป็นคู่ชีวิตฉัน เธอก็เตรียมไสหัวออกไปเลย ออกไปจากที่นี้เลย คราวนี้ถ้าเธอไม่ยอม งานในเมืองนี้ เธอก็ไม่มีที่ไหนรับหลอก คงจะพอรู้นะ ว่าเส้นสายพ่อเรา ทำอะไรได้บ้าง กลับไปคิดดีๆ ถ้าไม่อยากเดือดร้อน ก็ควรทำอย่างไร…รู้ใช่ไหม"

............ละภาพฉายก็ดับลง และเปลี่ยนซีนไปที่ครูและคนรักของเขา..........

"เธออยู่ที่นี้ไม่ได้แล้ว เธอหนีไปก่อนเลย หนีไปนะ"

ครูผู้ชายสั่งแฟน แล้ววิ่งออกมาจากมุมที่หลบซ้อนของห้องพัก วิ่งไปอีกทาง แล้วก็มีผู้ชายสามสี่คนวิ่งตามครูผู้ชายคนนั้นไป (เอ้อ!…เหมือนในละครหลังข่าวแหละ กูเห็นตามนี้กูก็เล่าตามนี้ ก็อ่านๆ ไปนะ อย่าบ่น)

แล้วภาพก็เปลี่ยนฉากมาที่ สะพานไม้ข้ามน้ำแห่งหนึ่ง คุณครูชายคนนั้นถูกมัดแขน มัดขา ยืนชิดราวสะพานด้านนอก โดยที่มีชายสองสามคนดึงรังไว้ไม่ให้ร่วงลงน้ำไป ด้านหลังของชายสามคนนั้น คือ ชะนีบ้าอำนาจ นางนั้นแหละ ที่คันๆ อยากได้ผัวชาวบ้านนั้นแหละ แต่ตอนนี้นางน่ากลัวมาก หน้าตาเล่นใหญ่มาก

"แกทำให้ฉันไม่มีทางเลือกเองนะ แล้วยังเสือกไปเห็นงานที่พ่อฉันทำอีก ทีแรกถ้าแกยอมตกลงกับฉัน คุณพ่อก็อาจจะเลี้ยงแกเอาไว้ เพราะอย่างน้อยแกก็เป็นผัวฉัน ความลับที่แกเห็นคงทำให้แกมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ แปลกจริง คนที่เป็นครู ฉลาดๆ ไม่น่าจะเลือกที่จะเป็นสภาพนี้ ฉันจะถามแกอีกครั้งนะว่า จะ ยอม แต่ง งาน กับ ฉัน หรือ ตาย!"

(มึงๆๆ ผู้ชายอะฉันว่าเข้าพระนครไปหาซื้อกินเถอะ รวยขนาดนี้ สมัยนี้ด้วยแล้วก็คงไม่แพงหลอกนะ รวยๆ อย่างมึงโยนไปซักก้อนสองก้อน เลือกบาร์โฮต เด็ดๆ กล้ามแน่นๆ กว่าอิครูนี้อีก มึงจะไปฆ่ามันทำไม นก งง มาก พี่ตา ช่วย นก ด้วย!)

"ผมก็ไม่อยากตาย...แต่ผมรักคุณไม่ได้... จิตใจแบบคุณใครจะไปรักลง"

({หว๊ายยยยยยยยยยยย…!!!!!!!}) สองสมองฉันผสานเสียงโห่ร้องสมน้ำหน้าเมื่อได้ยินครูหนุ่มตอกใส่หน้าของนางไปแบบนั้น เอ้อ อิดวก! หงายหลังไปสิ หน้าแหก หน้าหงาย หงายหลังไปเลย โดนผู้ชายด่า กรี๊ดซิ….ส่งเสียงออกมาซิเรียกแม่ซิ อับอายไหมละ เหมือนเขาบอกว่า ต่อให้เขาตาย เขาก็ไม่เลือกมึง เออ!…เป็นกูนะ โดดน้ำตายก่อนแล้ว อายลูกน้องสามตัวนั้นเอาไปเมาส์ชิบหาย ฮาๆๆ โอ้ย ขอขำก่อน ครูหนุ่มเธอพูดหักหน้าชะนีนางนี้ได้เยี่ยวมาก (เยี่ยวแปลว่าเก๋แบบไม่ไหวนะคะ)

"ได้...ด้ายยยยงั้นก็ตายหาไปซะ! ตามที่มึงต้องการเลย" (นางชะนีหวีดขึ้นเสียงได้สูงและแหลมมาก น่าจะเรียนกับครูอ้วนมาแหละ นี้ถ้าไปโซนี่บีเอมจีนะ ทาทายังไม่ได้ออกหลอกนะอัลบั้มดูมๆ อะ เจอแม่นี้เดบิวคือจบเลย รับรอง)

แล้วภาพก็ซูมออกจากหน้านาง มาเป็นมุมระยะไกล นางถกผ้าถุงขึ้นแล้วยกขาถีบคุณครูชายคนนั้นตกสะพานไปเลย เออ!…ไม่ได้ใช้พวกลูกน้องโยนลงไปนะ นางยกขาถีบด้วยตัวนางเองเลยคะ คาตามาก แล้วนางก็หันกลับมามองกล้อง (มองกูๆ นี้แหละที่กำลังมองนางอยู่)

แล้วใบหน้านางนั้นก็บิดเบี้ยวไปมาแล้วค่อยๆ กลายสภาพเป็นใบหน้าเด็กคนนั้น เป็นใบหน้าของลูกโยมนางที่กำลังจะกระโดดสะพาน (กุช็อค! อีกแล้ว) เมื่อเรามองลงมาที่ชายคนที่ยกมือไหว้อยู่ จากสภาพเป็นผีกลายเป็นชายคนนั้นที่ถูกถีบตกน้ำไป เข้าใจละ ที่เก่า ต่างเวลา สถาณที่เดิม เปลี่ยนยุคสมัยไปนั้นเอง สองคนนี้ก่อเวรก่อกรรมต่อกันไว้ หลังจากตายโดนฆ่าแบบนี้ก็ถือว่าตายโหง วิญาณก็ไม่ไปตามการเดินทางหลังความตายปกติ ไม่มีงานพิธีจัดการส่งให้เรียบร้อย แต่แปลกตรงที่ ในไอดำๆ รอบตัวบางๆ ของผีครูผู้ชายนั้น ก็กลับมีไอขาวๆ สว่างๆ คลุมความดำนั้นอยู่อีกทีนึง

"เราเห็นหมดแล้วนะโยม... โยมครู" ก็กูไม่รู้ชื่อนิ๊

"ท่านเห็นได้งั้นรึ? …ไม่น่าจะเป็นไปได้"

"เราก็ไม่แน่ใจ แต่เราเห็นในสิ่งที่หญิงคนนั้นทำกับท่านไว้ที่ชาติภพอื่น มอบความตายให้ท่าน มอบความเจ็บปวด และความแค้นให้ท่านก่อนที่ดวงจิตจะแตกดับแยกออก จากร่าง"

"ท่านเห็น..."

แล้วเขาก็ก้มลงกราบเท้าเรา เมื่อเงยหน้ามาจึงเริ่มร้องไห้ น้ำตาไหล เหมือนกับใจเริ่มอ่อนลงมาบ้างละ เราเลยย่อตัวลง เพื่อจะได้พูดคุยกับเขาใกล้ๆ ขึ้น

"ท่านรับบุญจากเรานะ"

แล้วเราก็สวดบทแผ่เมตตา ตามปรกติเนี้ยแหละ แล้วก็กรวดน้ำแบบย่อ กรวดแบบแห้ง และก็ทำมือเหมือนกรวดน้ำ เหมือนจะเทลงพื้น วิญญาณชายคนนั้นยืนมือมารอง บนมือของเขาเต็มไปด้วยไอหมอกสีขาว หรือหมอกนี้คือสิ่งแทนให้เรารับรู้ว่านี้คือกุศลที่ถึง ที่เขามี ในจิตของเรา ขอให้บุญนี้ ช่วยลดไฟแค้น บรรเทาความเจ็บปวดที่ฝังใจเขา ให้เบาบางขึ้น หลังจากที่สวดกรวดน้ำจบ เขาก็ก้มลงกราบอีกครั้ง

"ทำไมท่านถึงเมตตาเรา ทั้งๆ ที่เราก็ไม่เคยมีกรรมผูกกัน"

ไม่รู้อะไรทำให้เรายิ้ม เราคิดทางออกได้แล้ว แต่ไม่รู้จะเป็นผลไหม อย่างไรต้องลองเจรจาดู เราคงไม่มีพลังวิเศษอะไรแบบในหนัง ก็ได้แต่ภาวนาให้ความตั้งใจที่อยากจะช่วยท่าน ให้ท่านเห็นแสงในความมืดครั้งนี้ด้วยเทอญ

"เราไม่ได้มีกรรมต่อกัน โยมเข้าใจถูกแล้ว แต่...โยมกับเรากำลังจะมีบุญใหญ่ร่วมกัน"

สายตาที่สงสัยมองมาที่เรา เราก็ยังพยายามยิ้ม พยายามให้เห็นถึงความสุข พยายามส่งอินเนอร์ออกไปในแววตาเหมือนที่เมนเทอร์บีบอก อินเนอร์คะ ส่งอินเนอร์ออกมา (อิดวก! กำลังจะซึ้งไหม มึงยังแว๊บไปเดอะเฟสได้เนอะ) นิดนึงๆ

"เราขอบิณฑบาตชีวิตเด็กคนนั้น ในชาติภพนี้เถิด เราเห็นบุญมากมายรอบกายท่าน ท่านเสียเวลาไม่ยอมไปตามกระบวนการของโลกหลังความตาย ฝืนทนกับความหนาว ความวังเวงจากจิตสุดท้าย ทั้งๆ ที่บุญมากมายปกคลุมจิตท่านอยู่ เรารับรู้ถึงบุญนั้น ปล่อยวางเถิด นอกจากที่ท่านจะหมดบ่วงที่มัดใจท้ายที่สุดนี้ไปได้ ทานบารมีจากการที่ท่านละเว้นชีวิตนี้จะยิ่งพาท่านไปในภพที่ดีขึ้น เราขอบิณฑบาตชีวิตเด็กหญิงผู้นั้นจากท่านจากดวงจิตท่าน จากความแค้นในใจของท่าน ยกทั้งหมดนั้น ให้เราได้ไหม?"

ชายผู้นั้นร้องไห้ ทั้งที่ยังพนมมือ แล้วก็ค่อยๆ ก้มกราบเราอีกครั้ง เมื่อเงยหน้ามองเรา เงามืดดำรอบๆ ตัวเขาก็จางเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาเลย ชายคนนั้นยิ้มได้แล้ว

"ครับ ผมให้หลวงพ่อ"

อิ่มเอมใจมากอะ ตอนนี้จิตชายคนนั้น ร่างชายคนนั้นสว่างด้วยแสงภายในออกมาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าคิดภาพไม่ออก ให้คิดถึงพวกโฆษณาผงซักฟอก ที่ซักแล้วใส่แล้วผ้าขาวเรืองแสงอะ แบบนั้นเลยจ้ะ

"ผมลาหลวงพ่อเลยนะครับ"

เขาก้มกราบครั้งสุดท้ายแล้วก็จางเลือนไป ไม่ใช่แค่ชายผู้นั้นที่เลือนไป เหมือนจิตเรากลับมาที่โลกปกติ เหตุการณ์ต่างๆ ยังคงดำเนินอยู่ เด็กหญิงคนนั้นยังร้องไห้อยู่ที่ริมขอบของสะพาน

"หลวงพ่อ ช่วยลูกอิฉันด้วย หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยยยย ลูกอิฉันด้วยยยยย"

ผู้เป็นแม่ร้องไห้และก้มกราบเราซ้ำๆ เราจึงเดินไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย เสียงดังขนาดนี้ ถ้าไม่เข้าไปใกล้อีกนิด คงคุยกันไม่รู้เรื่อง

"หลวงพ่ออย่าเข้ามา หนูไม่อยากอยู่แล้ว"

เราหยุดเดิน คงเข้าไปใกล้กว่านี้คงไม่ได้ละ

"คุยกับหลวงพ่อซักประเดี่ยวเถอะโยม เพียงไม่นานหลวงพ่อจะไม่ห้าม ถ้าคุยแล้วโยมยังมั่นใจที่จะทำเช่นเดิม ก็สุดแล้วแต่โยม"

คิดในใจ ถ้าแม่น้องคนนี้เขามีปืน คงยิงกูเนี้ยแหละก่อนที่ลูกนางจะตกลงไปตาย อย่าพึ่งด่ากูเส้ กูมีวิธีของกู เข้าใจไหม นี้แม่เกดไง นี้เป็นวิธีการเล่นเกมจิตวิทยา แบบแม่ เพราะแม่ก็คือแม่ (อิสัส! บวชอยู่ๆ แม่เห้_!!! ไรละ!) นิดนึงๆ เอง เชื่อฉันๆ ฉันจะลองกล่อมเขาดู

"โยม…เล่าให้หลวงพ่อฟังหน่อยได้ไหม…ทำไมถึงอยากฆ่าตัวตาย?"

"อยู่ไปก็ไม่มีคนรัก แฟนหนูก็มีคนอื่น มันทิ้งหนูไป อยู่ไปก็ไม่มีใครรัก"

"แล้วหญิงที่ชื่อนาง ที่นั่งร้องไห้ ร้องเรียกโยมอยู่ตรงนั้นละ นั้นเขาไม่รักโยมอย่างนั้นรึ?"

"แม่..."

"ใช่…นั้นแม่โยมใช่ไหม"

"ใช่...ใช่ค่ะ"

"แล้วทำไมโยมถึงบอกว่าไม่มีใครแล้วที่จะรักโยม"

"แม่ก็รักแต่ตัวเอง...แม่เอาแต่กลัวชาวบ้านจะว่า...แม่ไม่เคยรับฟังว่าหนูอยากทำอะไร ชอบทำอะไร พอคุยกัน มีเรื่องกัน แม่ก็ดุด่าตบตีหนูมาตลอด"

อืมมม...ถ้าหนูพูดออกมาขนาดนี้แล้วนั้น อิฉันขอตัวกลับวัดเลยได้ไหม หนักจริงๆ นกไม่ไหวแล้วค่ะพี่ตา อิแม่นี้ก็คงไม่แผ่วจริงๆ แหละ ลูกถึงพูดสวนพระได้เต็มปากเต็มคำเช่นนี้

"พอหนูจะมีแฟนคนไหนก็ตาม แม่ก็ห้ามไปหมด จนคนล่าสุดหนูรักเขามาก แต่แม่ก็บอกไว้ว่า ถ้ามึงไปอยู่กับมัน แล้วไปไม่รอด ก็ไม่ต้องกลับมาให้อายชาวบ้านเขา ไปตายที่ไหนก็ไปเลย..."

เอ้อ...เก๋เวอร์ นกอยู่ข้างพี่ตาเลยนะคะ แม่ที่บอกให้ลูกไปตาย...

นี้ถ้าใส่รองเท้ามาด้วยขอถอดตีปากโยมนางซักเปี้ยได้มิเจ้าคะ หรือไม่พอหรือควรจะซักสิบทีดี เสียดายลืมรองเท้าไว้ที่วัด ไม่งั้นจะตีปากแม่มึงโชว์ตรงนี้แหละ

แล้วฉันก็หันขวับกลับไปที่ โยมนาง แหมม!!!ตอนด่าลูกก็ปากดี ตอนนี้ร้องไห้จนเป็นบ้า เหนื่อยจิตเหนื่อยใจกับแม่ลูกคู่นี้จริงเชียว

"โยมนาง!…โยมได้บอกให้ลูกโยมไปตาย แบบที่ลูกโยมพูดแบบนั้น ลูกโยมพูดถูกไหม"

โยมนางก็พนมมือร้องไห้ พูดแบบแทบฟังไม่ได้ใจความ

"อิฉันไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ ลูกอิฉันมันดื้อมาก ที่พูดไปแบบนั้น...ก็แค่อยากให้มันคิด...เพื่อว่ามันอาจจะเลือกอิฉัน หรือไม่มันก็ควรไปตาย... อิฉันแค่อยากให้มันคิดได้บ้าง อยากให้มันคิดที่จะกลัวบ้าง ไม่คิดเลย ว่ามันจะเลือกไปอยู่ดี หลวงพ่อช่วยอิฉันเถอะนะเจ้าคะ อิฉันมีมันคนเดียว ถ้าไม่มีมัน อิฉันจะอยู่อย่างไร หลวงพ่อ...."

ย่ะแม่คุณ!!! เนี้ยแหละ ทีตอนพูดละไม่รู้จักคิด ตอนนี้มาทำเป็นคิดได้ เกือบสายไปแล้วไหมละ หันกลับไปที่เด็กหญิงคนนั้นนางก็คงแค่น้อยใจ เพราะพูดกับพระ นางยังมีสติ รู้ควร มีหางเสียง ไม่น่าจะเป็นเด็กแข็งกระด้างหรือหยาบช้ามากม่ายจนถึงขั้นจะไม่เอาอะไรอะไร ดีไม่ดีอาจจะดูมีสติกว่าแม่ตัวเองไปเสียอีก แบบนี้คงน่าจะพอพูดคุยเกลี่ยกล่อมอยู่ได้บ้างละนะ

"โยม...โยมกับแฟนที่โยมเลิกไป คบกันมานานเท่าไหร่ บอกหลวงพ่อได้ไหม"?

"สองเดือนค่ะ"

"รักที่มีต่อกันสองเดือน เมื่อยามเขาทิ้งโยมไป โยมทุกข์ใจมากจนอยากตายเลย…แบบนี้ใช่ไหม"

"ใช่ค่ะ" เอ้อ นางเด็ดเดี่ยวนะ ว่าไม่ได้ ถามตรงตอบตรง ไม่มีกังวลต่อคำตอบเลย

"งั้นโยมคิดว่าถ้าโยมกับแฟนโยมรักกันมาซัก เก้าเดือน แล้วแฟนโยมมาทิ้งโยมไว้ให้อยู่คนเดียว โยมคงอยากตายมากกว่านี้ อาจจะไม่ต้องมายืนทำใจ ว่าจะตายดีไม่ตายดีแบบนี้ใช่ไหม? หลวงพ่อว่าโยมคงคิดสั้นโดยที่ไม่รอให้คนมามุงดูแบบอยู่แบบนี้แน่ๆ"

{ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ซอรี่...}

"โยม...โยมทะเลาะกับโยมแม่บ่อยไหม?"

"บ่อยเจ้าค่ะ"

"ทะเลาะกันตั้งแต่เกิดเลยไหม"

...... เงียบอีกครั้ง .....

"ตอนเด็กๆ โยมกับแม่ ทะเลาะกันไหม?"

"ไม่...เจ้า...ค่ะ"

"งั้นฟังหลวงพ่อหน่อยนะ ตั้งใจฟังหลวงพ่อหน่อย (กูคอแห้งละตั้งใจฟังกุเถอะ ขอร้อง) คนที่รักโยมตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าโยมเลย ค่อยปกป้องโยม หาอาหารให้โยมกิน ระแวดระวังภัย และให้ความรักมาตลอด เก้าเดือนโดยประมาณ หลวงพ่อเดาว่า โยมกับแฟนก็คงไม่ได้ทำให้กันขนาดนั้น มองไปที่โยมนางโน้น โยมนางรักโยมตั้งแต่รู้ว่าโยมเกิดมา แบกของหนักติดตัวมาตลอดระยะเวลาเก้าเดือน หาของกิน หาเพลงกล่อม ลำบากตั้งแต่อาเจียนในยามรู้ตัวว่ามีโยม ยันถึงวันที่โยมคลอดออกมา ถ้าเก้าเดือนนั้น เทียบกับโยมกับแฟน แล้วโยมจะโดดลงไปตาย แล้วโยมนางละ โยมนางจะไม่อยากตายอย่างงั้นรึ? พอเกิดมาในวัยเล็กๆ โยมกับโยมนางก็มีความรักมีความสุขต่อกัน ที่ทะเลาะกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง เราคงจะบอกไม่ได้ว่ามันผิดที่ใคร แต่ที่เราบอกได้คือ วินาทีที่มีคนวิ่งไปบอกว่า ลูกกำลังจะโดดน้ำฆ่าตัวตาย

ผู้เป็นแม่ ก็ละทิ้งทั้งรองเท้า กุญแจรถ กระเป๋าเงิน ลุกวิ่งพุ่งเพื่อมาเรียกเพื่อมาอ้อนวอน โดยลืมคิดถึงว่าเงินที่อยู่ในกระเป๋านั้นสำคัญมากแค่ไหนโยมนางก็ตัดทิ้ง รถที่ยังผ่อนอยู่ไว้ขับมาทำงาน แม่ก็ไม่ได้คิด แม้กระทั้งพื้นตอนนี้ที่บ่ายสาย ร้อนมากแค่ไหน แม่โยมก็วิ่งทิ้งรองเท้า ไม่ได้สนใจที่จะใส่ ทั้งหมดนี้ โยมแน่ใจจริงๆ รึ ว่าไม่มีใคร รักโยมอีกแล้ว"

เด็กหญิงปีนกลับมาด้านในสะพานแล้วนั่งร้องไห้ พนมมือไหว้แล้วก็ร้องไห้ ไม่พูดอะไรทั้งนั้น

"โยมไม่ต้องไหว้เราหลอก พระอรหันต์ประจำตัวโยม นั่งอยู่ตรงหัวสะพานโน้น ไปกราบท่านเถอะ"

ไม่คิดว่าคำพูดจะช่วยเปลี่ยนความคิดคนได้ถึงขนาดนี้ เด็กหญิงเดินไปก้มกราบแม่ แล้วกอดกันร้องไห้ ดีใจด้วยจริงๆ นะ เราอยากจะฝากไว้ให้ท่านที่ผ่านมาอ่านถึงตรงนี้ว่า อย่าเอาความไม่ตั้งใจจะพูดไปทำร้ายใครเลย โดยเฉพาะคนใกล้ตัว เพราะคำพูดที่ลั่นออกจากหนึ่งปากของท่าน อาจจะเป็นไฟที่ไหม้ฟางเส้นสุดท้าย ของชีวิตใครคนใดคนหนึ่งท่านอาจจะไม่มีโอกาสกลับไปแก้ไขคำพูดนั้น ท่านอาจจะไม่โชคดีเหมือนโยมนาง ในครั้งนี้

"เก่งไม่เบานะพระธีร์"

"หลวงพี่! รับยาแล้วรึครับ ออกมาทำไม ตากแดดตากลม เดี่ยวก็ไข้กลับ"

"ไม่ออกมาดู เราก็พลาดชอตเด็ดนะซิ ไม่นึกเลยนะ พระบวชใหม่ เทศเก่งได้ขนาดนี้"

โหย พูดชมก็เป็น ไม่น่าเชื่อ ฉันต้องหูฟาดแน่ๆ เรากำลังจะเดินออกจากฝูงชนเหล่านี้ เหนื่อยเหลือเกิน กลับวัดดีกว่า ไม่ไหวแล้ว ชาวบ้านที่ดูเหตุการณ์อยู่ทั้งหมด ก็พากันนั่งคุกเข่า

"พวกเราขอกราบหลวงพ่อ พวกเรากราบ..."

แล้วก็เป็นภาพที่ขนลุกมาก ผู้คนก้มกราบเรา ไม่ชินเลย ไม่ชินกับสิ่งนี้เลย

"จะ...เจริญพร ทุกท่าน"

เราพูดได้แค่นั้น แล้วเดินจากออกมา... เอาละกลับไปขับรถพระธรรมกลับวัดกันดีกว่านะหลวงพี่ นี้ก็เย็นมากแล้ว.~

ดีใจจังอิ่มอกอิ่มใจ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ฝากติดตามรับชมน้าาาาาา คอมเมนต์พูดคุยกันได้นะจ้ะ ไม่งั้นส่งคุณครูหนุ่มไปนอนน้ำหยดข้างๆ นะ หยอกๆๆๆ อิอิ.~

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!