ฉันคือทหารไทย
""ผมพันเอกวิจิตร เอกจันตระ ยินดีที่จะได้เล่าเรื่องของผมในสมรสมรภูมิรบทั้งในประเทศเวียดนามเเละลาวผมรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้รบรับใช้ชาติ ผมได้เห็นทุกอย่างไม่ก็เกือบทุกอย่างเกิดในสงครามครั้งนี้ตั้งเเต่ประจำการจนได้ทันดูข่าวที่อเมริกาถอนตัวออกไปจากเวียดนาม อะนะครับ ผมรู้สึกดีใจที่ได้รับใช้ชาติเเต่มาจนทุกวันนี้ผมยังคงคิดถึงเเละเสียดายที่ไอกวนไม่อยู่เเล้ว ผมอยากจะเล่าให้คุณเอกได้ฟังเพื่อให้คนรุ่นหลังเเละเป็นตัวอย่างของคนในเหตุการณ์สมรภูมิ ผมไม่อยากเห็นที่ไหนเกิดสงครามขึ้นเเพราะสงรามทุกครั้งไม่เคยให้ใครได้ประโยชน์จากมันเลย มีเเต่ความทุกข์,ไร้ซึ่งความสุขไม่มีอะไรดีเลยสักนิดหนึ่งเลยเท่านี้ละที่ผมจะฝากเท่านี้ละกันครับ เอาล่ะเราได้เล่าเรื่องสง รามเวียดนามกันก่อนล่ะกันครับ""
ต่อไปนี้จะย้อนกลับไปในคำสัมภาษณ์และความทรงจำของนายพันตรีวิจิตร เอกจันต๊ะในเรื่องสงครามที่เขาเคยได้ไปลบทั้งในเวียดนามและลาวไปสู่ความทรงจำของพันเอกวิจิตรกันครับ "คือเอ่อ ก่อนอื่นผมคงต้องเล่าความเป็นไปหรือความเป็นมาเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดสงครามเวียดนามก่อนนะครับคือว่ามันเป็นการที่เวียดนามฝ่ายของโฮจิมินห์ต้องการประกาศอิสรภาพจากฝรั่งเศสและก็ทำการกรอกกบฏสำเร็จและชนะฝรั่งเศสที่สมรภูมิเดียนเบียนฟูและทำให้เวียดนามเหนือเป็นอิสระและมีการปล่อยเวียดนามใต้ตามที่ประชุมในปารีสและหลังจากนั้นเวียดนามใต้ก็เปลี่ยนจากระบบกษัตริย์เป็นประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งและเวียดนามเหนือต้องการรวมเวียดนามให้กลายเป็นหนึ่งเดียวจึงมีการเริ่มทำสงครามกันตั้งเเต่พ.ศ.2502-2518จึงได้เกิดขึ้นไอ้ตรงนี้ที่ผมได้รู้เนี่ยคือผมไปประจำการที่นั่นได้ 1-2 เดือนแล้วถึงได้ทราบความเป็นมาในเรื่องนี้จากพวกทหารอเมริกัน,ทหารฝรั่งเศสแล้วก็คนเวียดนามใต้แถวๆที่ผมประจำการมาผมประจำการหลายที่มากมันมากเสียจนผมจำทุกที่ไม่ได้แต่เท่าที่ผมจำได้ช่วงแรกที่ผมไปฝึกรบในแม่โขงพอฝึกที่นั่นได้ก็ประจำการ 1 เดือนแต่ที่ตรงนี้ไม่มีปัญหาอะไรมากเพราะว่าเวียดกง(เวียดนามใต้ที่มีความเชื่อและแนวความคิดในลัทธิคอมมิวนิสต์และการรวมชาติในแบบเดียวกันกับเวียดนามเหนือ)ไม่ได้มาบุกหรือโจมตีแถวนี้มากนักแต่พอไปประจำการที่ดาลัดเมืองที่ผมประจำการนี่แหละเมืองนี้เลยที่ทำให้ผมได้มีประสบการณ์รบกับเวียดกงเป็นครั้งแรกและได้รู้จักคำว่าสงครามกองโจรก็ครั้งนี้ครั้งแรกด้วยเช่นกันน่ะนะ เอาล่ะผมจะเล่าให้คุณฟังว่ามันเป็นยังไงนะคุณเอก เอาล่ะเรื่องมันคืออย่างนี้นะคุณเอกคือว่าที่ดานังที่นี้เนี่ย"เเละเเล้วพันเอกวิจิตรในวัย87ปีก็เกิดอาการเบาหวานกำเริบ ผม(เอก)จึงต้องให้พันเอกวิจิตรพักรักษาตัวสักพัก ผมช่วยหายาเเละพาท่านพักผ่อนถ้าให้ท่านมาสัมภาษณ์ต่อคงจะไม่ไหวเเน่อะนะก็รอได้ 1ชั่วโมงหรือไม่ก็2ชั่วโมงที่ให้พันเอกวิจิตรพักผ่อนพอท่านตื่นท่านพูดในทันทีว่า "เอก เอกอยู่ไหม?" ผม(เอก)ตอบกลับไปทันทีว่า "ครับ ผมยังอยู่ครับ" ท่านวิจิตรพร้อมให้สัมภาษณ์ต่อเเละท่านก็เล่าเรื่องต่อในทันทีเลย "ที่ดาลัดผมเจอพวกเวียดกงตอนประการได้ไม่ถึง2วันเลยถ้าจำไม่ผิดอะนะ ผมไปประจำค่ายดาลัดซึ่งเเถวนั้นเป็นจุดที่ปะทะกันบ่อยเพราะทางเเละสภาพพื้นที่ในดาลัดคือเกิดการเจอกัจนปะทะกันเเละมีสายลับของทั้งเวียดนามใต้,อเมริกาเเละพวกอื่นๆอีกมาก กลับมาที่เรื่องเรากันต่อนะ วันที่3ได้อะนะผมมีเพื่อนร่วมรบด้วยครั้งนี้หนึ่งคนเขาชื่อกวน ผมกับกวนพร้อมกับทหารคนอื่นๆในค่ายตื่นขึ้นในกลางดึกเพราะเสียงดัง "ตูม!" ลูกกระสุนปืนใหญ่ลงฐานที่ผมอยู่เเบบพอดี
โชคดีมากที่ผมอยู่ริมฐานผมจึงไม่เป็นอะไรมากนักโดนเเค่เศษลูกระเบิดเป็นเเผลเล็กๆไม่เจ็บ ผมเตรียมตั้งรับทำสงครามพร้อมกับทหารทั้งฐานเเต่พอผมได้พวกเวียดกงผมถึงกับตะลึงในความมากมายของกองกำลังที่มีมากถึง500-1000คน(ประมาณ850คน)เท่านั้นไม่พอยังมีรถถัง2คัน(ภายหลังท่านวิจิตรนึกได้ว่ารุ่น T-34-85ทั้ง2คัน) การต่อสู้เกิดขึ้นนานมากราวๆ4ชั่วโมงได้(ในเหตุการณ์จริงคือ 6ชั่วโมง) ผมนับถือพวกเขา(เวียดกง)มากๆเลยละครับพวกเขาสู้จนตัวตาย จิตวิญญานนักสู้ของพวกนี้มีมากจนคำว่าเกียรยิศในคำว่าทหารของพวกค่าเทียบเท่าจนทหารไทยเเละทหารที่อื่นๆในสงรามครั้งนั้นจนบางคน(ทหารที่อยู่ในสงครามครั้งนั้น)อาญเทียบไม่ติดเลยละครับ จนสุดท้ายเวียดกงถอย-
ออกไปที่ถอยออกไปคราวๆประมาณ300คนกว่า โชคดีจริงๆที่เครื่องบินของสหรัฐอเมริกาได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากฐานของเราพอดีผู้อำนวยการจึงขับเครื่องบินมาช่วยเหลือทิ้งระเบิดใส่ปืนใหญ่และรถถังของพวกเวียดกงได้พอดีเราจึงสามารถจัดการพวกเวียดนาม(เวียดนามเหนือและเวียดกง)ได้ง่ายขึ้นมากจนพวกเวียดกงและเวียดนามเหนือต้องถอยไปศึกในวันนั้นได้จบลงไปที่ผมบอกว่าเป็นสงครามกองโจรครั้งแรกที่ผมเคยเจอก็เพราะว่าพวกเวียดนามค่อยๆส่งมาทีละนิดทีละหน่อยในการโจมตีช่วงเช้ามันส่งมาทีละน้อยประมาณ 10-20 คนแล้วก็ส่งมาเรื่อยๆจนถึงบ่ายหรือเย็นแล้วพอถึงเวลาที่พวกมันบุกมาทีเดียวมันก็ทุ่มกำลังส่วนตัวฐานเราโดนโอบล้อมก่อนโดนโจมตีผมก็สู้จนสุดตัวเหมือนกันทั้งฐานเราก็สู้จนสุดตัวเหมือนกันไม่ใช่แค่พวกเวียดนามเหนือและเวียดกงผมได้ยินเสียงหลายภาษาพูดที่เสียงที่ดังหลังจากสงครามครั้งนั้นจบมันหลายภาษามากจนผมแยกไม่ออกว่ามีภาษาอะไรบ้างแต่หลักๆผมจะสัมผัสได้ถึงความดีใจแล้วก็ความยินดีที่ตัวเองแน่ผ่านสงครามที่ยากลำบากมาได้และอาจกำลังขอบคุณพระเจ้าหรือขอบคุณในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็เป็นไปได้เช่นกันหลังจากวันนั้นผ่านไป 5-6 วันไม่สิจริงๆ 2 สัปดาห์ได้เลยล่ะผมกับเพื่อนอย่างกวนแล้วก็ทหารเวียดนามใต้อีกประมาณ 20 คนเดินลาดตระเวนสำรวจพื้นที่รอบฐานเจอสายลับแล้วก็กองโจรของเวียดกงซึ่งคาดว่ามีเวียดนามเหนือด้วยเพราะสังเกตดูจากเสื้อเหมือนเป็นผู้บัญชาการการรบ พวกเขาก็บังเอิญมาเห็นพวกเราพอดีตอนแรกผมว่าจะไม่ปะทะกับพวกเขาจะทำเป็นมองไม่เห็นและตัดผ่านไปรายงานพร้อมกับเพื่อนๆที่คิดตรงกันว่าไม่มีอะไรแต่พอพวกเขาเห็นเราพวกเขาก็เปิดฉากเองใส่เราทันทีในตอนนั้นเราเดินผ่านหมู่บ้านไปไม่ถึง 10 ก้าว ด้วยซ้ำก่อนที่จะปะทะกับพวกเขาทหารเวียดนามใต้กลุ่มของพวกผมคนนึงตะโกนเป็นภาษาเวียดนามใต้ซึ่งจริงๆก็คือภาษาเวียดนามนั่นแหละเท่าที่ผมได้เห็นปฏิกิริยาของชาวบ้านที่ได้ฟังคำตะโกนของทหารเวียดนามใต้ในกลุ่มพวกผมชาวบ้านส่วนหนึ่งหลบเข้าไปในบ้านชาวบ้านส่วนหนึ่งหาที่กำบังเลขส่วนหนึ่งเหมาะกับพื้นผมจึงตีความหมายคร่าวๆว่าน่าจะเป็นการสั่งให้ลบและลีกหนีจากลูกกระสุนประมาณนั้นเพราะผมฟังภาษาเวียดนามไม่ออกการปะทะไม่นานมากประมาณ 10 นาทีซึ่งน่าประหลาดใจที่พวกเราไม่ได้นัดหมายกันเพื่อชนะแต่กลับกลายเป็นว่าพวกเราชนะพวกเขาเวียดกงจาก 20 คนเหลือแค่ 4 คนส่วนพวกเราบาดเจ็บ 1 คนโดนยิงเข้าที่แขนและตายในหน้าที่เป็นทหารฟิลิปปินส์ 1 คนพวกเราจึงเข้าจับเฉลยเวียดนามเหนือที่เป็นผู้บัญชาการซึ่งอยู่ในการสาหัสและร่อแร่จากการโดนระเบิดและเวียดกง 3 คนเราจึงจับเขาและพาส่งไปที่ฐานของเราเหล่านั้นผมเห็นเวียดกง คนนึงกำลังหันไปมองผู้หญิงที่มีลูกตัวน้อยๆที่จับมือเธออยู่เวียดนามคนนั้นได้ตะโกนเป็นภาษาเวียดนามไปถึงผู้หญิงและลูกด้วยความที่ผมไม่ทราบผมจึงถามภาษาอังกฤษกับคนเวียดนามใต้ที่พอพูดได้และได้คำตอบว่าเวียดนาม(เวียดกง)คนนั้นตะโกนบอกครอบครัวของเขาว่าให้รอเขาระหว่างที่เขาเป็นเชลยถูกจับตัวไป ผมจึงบอกให้ทหารเวียดนามใต้ 3 คนคุมตัวเขาซึ่งก็คือเวียดกงคนนั้นเนี่ยนะไปพบครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเป็นเชลยอยู่ในที่คุมขังผมพูดตามตรงนะตอนนั้นที่ผมยืนเฝ้าสังเกตกับไอ้กวนผมน้ำตาไหลนะเพราะว่าคนๆหนึ่งที่มีคนที่รักต้องจากคนเหล่านั้นไปมันเป็นเรื่องน่าเศร้าหลังจากที่ทำให้คนๆนั้นบอกทหารเวียดนามใต้ว่าเขาคุยกับครอบครัวเสร็จแล้วเราจึงพาเวียดกงและเวียดนามเหนือไปเข้าคุกเชลยศึกและให้ทหารอเมริกันไปควบคุมต่อไปวันนั้นจึงจบไปด้วยความสะเทือนใจในใจผมจนมาถึงทุกวันนี้ทุกครั้งที่นึกถึง"หลังจากนั้นท่านพันเอกวิจิตรร้องไห้หลังน้ำตาเป็นเวลาราว 3 นาทีก่อนจะหยุดได้และเริ่มเล่าต่อ "ผมย้ายจากดารันไปไซ่ง่อนพอมาถึงที่ไซ่ง่อนผมพูดตามตรงนะผมสบายมากที่อยู่กับที่นี่จนถึง 2505 ผมได้กลับมาที่ประเทศไทยผมบอกตามตรงเลยนะได้พักอยู่ที่บ้านเกิด 3 เดือนก่อนไปที่ลาวเนี่ยผมมีความสุขผมนั่งจูบแผ่นดินไทยทั้งเย็นเลยพอมาถึงบ้านเนี่ยจนแม่,พี่และคนในครอบครัวถึงกับอึ้งและรับรู้ได้ถึงประสบการณ์ที่ผมได้เจอมาในสงครามเวียดนามตอนที่อยู่ในเวียดนามโดยที่ผมไม่ต้องบอกเล่าเลย ทีนี้หลังจาก 3 เดือนอ๋อออจำได้แล้วจำได้แล้วเดี๋ยวผมเรียงเรื่องแป๊บนึง"พันเอกวิจิตรได้ขอเวลาผม(เอก)เพื่อนึกถึงและนึกถึงเรื่องราวในประเทศลาวที่จะเล่าต่อผมรออยู่สักพักใหญ่เลยกว่าท่านพันเอกวิจิตรจะเล่าต่อได้ "ผมกับอ้วน 2 คนที่เป็นทหารก็ไปเห็นการรับสมัครทหารไปรบที่ลาวแต่ว่าเขาก็ไม่ได้บอกตรงๆนะว่าไปลบที่ลาวน่ะแต่ผมกับกวนไปถามเพื่อนทหารด้วยกันก็เลยถึงได้รู้ พอผมกับกวนไปสมัครผมกับกวน 2 คนทำสัญญาเหมือนกันเลยก็คือจะไม่เรียกร้องสิ่งใดหรืออะไรจากทางการ,ไม่เปิดเผยเรื่องราวหรือความลับ,ของที่มีอยู่กับตัวจะยกมรดกให้ใครประมาณนี้! แล้วก็รออยู่สัปดาห์กว่าๆผมกับกวนก็ได้รับคำสั่งขึ้นเครื่องบินไปประเทศลาวขึ้นเครื่องบินจากสนามบินอุดรธานีไปสนามบินในประเทศลาวพอลงจอดที่นั่นที่นั่นมีอุปกรณ์สื่อสารและก็อุปกรณ์ต่างๆที่ทันสมัยในตอนนั้นเลย เอาล่ะผมคงต้องเล่าสาเหตุที่เกิดสงครามลับในลาวก่อนคือสงครามลบในลาวเนี่ยเกิดขึ้นก็เพราะว่าลาวเกิดการต่อสู้กันภายในระหว่างฝ่ายเสรี,ฝ่ายกลางและฝ่ายคอมมิวนิสต์พวกเขาสู้กันเองแล้วทางราชอาณาจักรลาวณตอนนั้นน่ะขอให้ประเทศไทยช่วยเหลือแต่ว่าด้วยสนธิสัญญาเจนีวา ระบุว่าลาวเป็นประเทศที่เป็นกลางจึงทำให้เราจัดส่งทหารไปช่วยราชอาณาจักรลาวไม่ได้โดยตรงเลยก็คือส่งไปตรงๆไม่ได้นั่นแหละทางการเราก็เลยต้องทำโครงการและก็ฝึกทหารลับแล้วก็ส่งทหารอย่างลับๆไปช่วยลาวจริงๆประเทศไทยก็ไม่ใช่ประเทศเดียวที่คนลาวนะเพราะว่าอเมริกาก็ส่ง cia มาทำภารกิจที่ลาวด้วยเหมือนกันแต่แตกต่างกันเพลงแต่ว่า cia ที่มานี้เนี่ยมาก่อนประเทศไทยหรือทางการไทยมาสักพักแล้วไปสืบข้อมูลและหาข้อมูลเกี่ยวกับพวกคอมมิวนิสต์ที่มาประชุมกันหรือหารือกันลับๆในลาว
ที่นี้ตอนที่ปฏิบัติการลับในลาวนี่แหละเกิดเรื่องเยอะเลยตอนนั้นผมได้รหัสรับว่า"หัวหน้ายง"ในการเรียกขานชื่อในการทำภารกิจ อืมมม ผมได้ไปประจำการในตอนเหนือของลาวตรงนี้ปะทะกันจริงแต่ปะทะกับพวกขบวนการประเทดลาวของพวกเราฝ่ายคอมมิวนิสต์แล้วก็เวียดนามเหนืออีกเล็กๆน้อยๆจึงไม่มีอะไรมากมายแต่ก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆๆจนในที่สุดฝ่ายอเมริกาแล้วก็ประเทศไทยก็ต้องถอยและตั้งหลักใหม่หลายครั้งซึ่งผมจำได้ว่าตลอดที่ลบอยู่นั้นการโจมตีไม่ได้ต่อเนื่องแบบวันต่อวันแต่ว่ามาเรื่อยๆคือแล้วแต่การโจมตีเสร็จแล้ว 1 ระลอกจะมีระนอก 2 และและรอบ 3 ตามมาในวันเดียวกันและก็จะหยุด 1-2 วันตามแผนของพวกคอมมิวนิสต์ในลาวแล้วก็เวียดนามเหนือผมก็ทำหน้าที่ของผมตรงไหนที่เขาต้องการความช่วยเหลือผมก็ไปช่วยไม่ว่าจะไปช่วยยิงปืนกลสกัดพวกเวียดนามเหนือ,คำนวณองศาการยิงปืนครบ,แบกหลังกระสุน,ติดต่อกับทางอเมริกาเเละบังคับบัญชาทหารในฐานะหัวหน้ากองร้อยที่เวลาลบไปเรื่อยๆก็เหลือไม่ถึง 100 คนมาถึงทุกวันนี้ก็ไม่ถึง 50 คนด้วยซ้ำตายไปก็เยอะเหมือนกันหลังจากที่รบกับพวกลาวคอมมิวนิสต์และเวียดนามเหนือเป็นเวลา 1 ปี จนถึงพ.ศ.2507ผมได้มาประจำการแถวส่วนกลางของลาวระหว่างนี้มีเวลาพักให้ได้พอไปเที่ยวหลวงพระบาง,เวียงจันทน์และที่อื่นๆทำให้ไม่เครียดจนเกินไป จนกระทั่งกระบวนการประเทดลาวเริ่มแข็งแกร่งขึ้นและแข็งแกร่งกว่าเดิมผมยิงปืนกลต่อสู้กับพวกขบวนการประเทดลาวตั้งแต่ริมสุดของส่วนกลางในประเทศลาวจนถึงเมืองเวียงจันทน์ระหว่างนั้นผมต้องย้ายไปย้ายมาระหว่างส่วนกลางกับส่วนใต้เพื่อช่วยทั้งทหารไทยด้วยกันเองและทหารอเมริกาด้วยและในที่สุดผมก็ต้องสูญเสียไอ้กวนไปผมยังจำได้ไม่ลืมเลย(พันเอกวิจิตรพูดพร้อมกำลังน้ำตา)ตอนนั้นมันถูกยิงผมพยายามพามันไปพยาบาลแต่มันบอกว่ามันจะสู้ด้วยกันกับผมมันยังไหวผมด้วยความที่ไม่อยากขัดใจเพื่อนผมก็เลยไม่เถียงเพื่อนแล้วก็ร่วมสู้ร่วมรบไปด้วยกันกับเพื่อนจนสุดท้ายแล้วนั้น" ในตอนนี้ผมเข้าใจในความรู้สึกของพันเอกวิจิตรมากขึ้นว่าความรู้สึกของคนๆนึงและผลกระทบของคนคนนึงที่ได้รับจากสงครามนั้นเป็นยังไงหลังจากให้ท่านพันเอกวิจิตรได้พักและฟื้นจิตใจของท่านได้แล้วท่านจึงได้ขอโทษผม(เอก)และได้เล่าต่อในเรื่องสงครามลับในประเทศลาว "ผมจะไม่ว่าตอนที่ผมเกือบได้ไปทุ่งไหหินน่ะเพราะว่าผมกำลังไทยของเราเนี่ยสู้รบกับเวียดนามเหนือแล้วอเมริกามาช่วยทิ้งระเบิดแต่การคำนวณของฝ่ายอเมริกันผิดพลาดไปทิ้งระเบิดใส่กองกำลังไทยจนละลายตอนนั้นกองกำลังผมที่อยู่ใกล้ๆก็เกือบจะได้ไปแล้วแต่มีกองกำลังใหม่ที่ฝึกเสร็จพอดีทางการไทยกินเอากองกำลังนั้นมาเสริมในทุ่งในหินผมก็เลยต้องทำหน้าที่ในเขตของผมต่อไปหลังจากนั้นผมลื่นข่าวว่าทุ่งไหหินแตกทหารไทยถอยออกจากทุ่งในหินตอนนั้นผมพูดไม่ออกเลยเพราะผมล้มรู้ดีว่า
สงครามในลาวใกล้จะจบแล้วระหว่างนั้นเวียดนามเหนือและขบวนการประเทศลาวบุกเข้าในฐานผมพอดีไอ้กวนที่รักษายังไม่หายดีก็ลุกมาทำหน้าที่ของตัวเองทั้งปาระเบิดใส่พวกศัตรู,ยิงปืนพกจนหมดแม็ก,ยิงปืนกลแทนคนที่โดนยิงตายแต่สุดท้ายไอ้กวนก็ไม่รอดไอ้กวนเกือบจะได้กลับมาไทยพร้อมกับผมแล้วแต่มันถูกยิงซะก่อนกระสุนจากทางไหนไม่รู้ที่ยิงกันระหว่างทหารไทยกับพวกลาว1 ลูกผ่านกลางหัวไอ้กวนไอ้คนตายคาที่(น้ำตาของพันเอกวิจิตรหลั่งไหล)ผมมมมม...(พันเอกวิจิตรพูดทั้งน้ำตาด้วยความคิดถึงกวนเพื่อนรัก)ตอนนั้นผมหมดหวังเลยความรู้สึกไม่มีเลยทุกอย่างนิ่งทุกอย่างช้าไปหมดจนมีทหารคนหนึ่งเข้ามาเรียกผมให้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์หนีออกจากพื้นที่นี้สติผมถึงกลับมาตอนแรกผมจะพาร่างไร้วิญญาณของไอ้กวนมาทำพิธีในไทยด้วยแต่ก็มาไม่ทันเพราะพวกเวียดนามเหนือและกระบวนการประเทดลาวบุกเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนผมจำเป็นต้องให้ร่างของเพื่อนผมอยู่ในลาวจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไปหากระดูกมาทำศาสนพิธีไม่ได้เลยพอกลับมาประเทศไทยพ.ศ 2518 สงครามจบ ในวันหนึ่งผมเห็นรายงานข่าวที่อเมริกาถอนตัวออกจากสงครามเวียดนามและชาวบ้านเวียดนามใต้ที่อพยพไปในที่ต่างๆเพื่อหนีภัยสงครามและภัยการเมืองผมรู้ทุกอย่างว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมก็พูดอะไรไม่ได้เพราะมันเป็นความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ผมพูดตามตรงเลยนะผมอึดอัดที่กว่าจะได้พูดหลังจากเล่าเสร็จท่านพันเอกวิจิตรและเอกผู้สัมภาษณ์ท่านพันเอกวิจิตรพากันมาพักผ่อนที่ริมระเบียงบ้านนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินและธรรมชาติอันแสนสงบภาพอันแสนสบายตาที่ไม่ต้องมีลูกระเบิด,ลูกกระสุนมากวนใจเเละพูดก่อนจะหลับว่า "ฉันคือทหารไทย" แต่ที่สำคัญคือวีรกรรมและความกล้าหาญของทหารไทยและทหารผู้กล้าทั้งหลายไม่ว่าจะฝั่งใดหรือฝ่ายใดความกล้าหาญและการเสียสละตนของพวกเขานั้นจะไม่มีวันถูกลืมในความทรงจำของพวกเราตลอดไป ทหารไทยผู้กล้าที่อยู่ในลาวและยังไม่ได้กลับมาขอให้พวกเขาไปสู่ที่ที่ดีไปสู่ภพภูมิและที่ที่ดีขอให้พวกเขาได้อยู่ในช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตสุดท้ายนี้ยงชอบอยากจะบอกกับผู้อ่านว่า "สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่สิ่งอื่นสิ่งใดเลยแต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือมนุษย์ผู้ที่ต้องการอยู่เหนือทุกสิ่งและกลัวโกรธในสิ่งที่ไม่เข้าใจและไม่พยายามหาความสุขและไมตรีแก่กันจนมีเเต่สิ่งที่นำพามนุษย์ไปสู่จุดเลวร้ายไม่ว่าจะเป็นสงคราม,การทำความผิดอื่นๆยุงชอบจึงอยากจะบอกทุกคนว่าสิ่งที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่และทำให้มนุษย์ยังไม่สูญพันธุ์ในเวลาอันเร็วนี้เพราะมิตรไมตรีในเพื่อนมนุษย์ใจและเปิดรับทำความเข้าใจซึ่งกันและกันยงชอบจึงอย่ากให้ทุกคนทำความดี เอาใจเขาใส่ใจเราใส่ใจผู้อื่นและทำความเข้าใจโลกใบนี้ไม่ต้องพบเจอสิ่งเลวร้ายเหมือนในประวัติศาสตร์ที่เจอและซ้ำรอยอีกต่อไป"
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments