“เดี๋ยว ฟิลิปป์ รับจ้างทำทุกอย่างรึเปล่า ที่มาจัดการไอเรื่องเจ้าตัวประหลาดสี่เขานั่น” ชายหนวดเคราฟูฟ่องเอ่ยขึ้น ทำเอาเด็กหนุ่มแปลกใจเล็กน้อย
“คุณรู้ด้วยหรอ”
“ก็รู้น่ะสิ เจฟฟ์เคยเอามาบอก ฉันเองก็ไม่คิดว่ามันจะสำเร็จ ตอนแรกนึกว่านายจะเป็นพวกไม่ค่อยเหมือนคนปกติตัวใหญ่ๆ น่าขนลุกซะอีก” ชายตรงหน้าพูดขึ้นแล้วหัวเราะออกมาเล็กน้อยราวกับว่าเขากำลังกลั้นขำ
“งั้น ผมขอถามอะไรหน่อย ไอเจ้าตัวประหลาดนั่นมันมักจะมาช่วงเวลาไหนครับ” ฟิลิปป์เอ่ยถามขึ้น แต่ชายฉกรรณ์ก็กอดคอเขาออกห่างจากฝูงคนที่กำลังซุบซิบคุยกันจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ และเสียงร้องไห้ที่ยังไม่หยุด
“ในฐานะที่เธอมาช่วยเมืองนี้ ฉันก็จะบอกเท่าที่ฉันรู้ ไอตัวประหลาดนั่นน่ะ ได้ยินมาว่ามันมักจะออกมาปรากฏตัวตั้งแต่ช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดิน จนถึงช่วงดวงจันทร์ลับฟ้าไป” ชายฉกรรณ์กล่าวบอกเมื่ออกห่างจากฝูงชนได้พอสมควร
“งั้นหรอ….ขอบคุณครับ คุณ…”
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฉันเจฟฟรีย์ เจฟฟรีย์ วิลลาจย์”
“ครับคุณเจฟฟ--- ห้ะ” ชายฉกรรณ์นามเจฟฟรีย์เห็นท่าทีจากเย็นยะเยือกเป็นเหวอของเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาก็แทบจะสำลักขำออกมา
“น่าตกใจขนาดนั้นเลยรึไง ก็เข้าใจแหละ ฉันกับไอพี่บ้าต่างกันขนาดนี้” เจฟฟรีย์พูดอย่างไม่คิดอะไรมาก
“เอาเป็นว่า อยากให้ช่วยอะไรก็บอกได้ เรื่องล่าสัตว์ฉันถนัดพอตัวเลย” เจฟฟรีย์พูดพลางเบ่งกล้ามให้ดู จนเสื้อเชิ้ตแบบเชือกผูกแทบจะปริออก
“หึ นั้นเยี่ยมมากเลยครับ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่สัตว์ธรรมดา คุณเองก็ระวังตัวแล้วกัน คุณเจฟฟรีย์” ฟิลิปป์กล่าวพลางยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เจฟฟรีย์ที่กำลังเบ่งกล้ามหันไปทางอื่นเมื่อเขาหันกลับมาทางฟิลิปป์ก็พบว่าตัวของเด็กหนุ่มนั้นได้เดินห่างออกไปยังทิศทางของเคหสถานตระกูลโอ'เมอร์ฟี่เสียแล้ว
ชายฉกรรณ์ได้แต่เกาหัวที่มีเส้นผมสีน้ำตาลรุงรังเล็กน้อยของตนเองด้วยความสับสน เป็นไปได้อย่างไรที่คนคนหนึ่งจะเคลื่อนที่เร็วปานนั้น โดยไม่มีเสียงอะไรเลยแม้เพียงนิด
“จะว่าไปเจ้าเด็กนั่นก็น่าจะพิลึก ตัวประหลาดปะทะคนประหลาด ฮึ” เจฟฟรีย์พูดอย่างคิดได้ ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้อ่านข้อความในกระดาษนั่น มันช่างประหลาดดีแท้ คนที่มาเพราะกระดาษนั่นคงจะประหลาดเช่นกัน คิดได้ดังนั้นเขาก็พลันหัวเราะออกมา จนคนรอบ ๆ หันมามองเล็กน้อย แต่เจฟฟรีย์หาได้สนใจไม่ เขาจะรอดูสิ่งที่จะเกิดหลังจากนี้
.
.
.
ฟิลิปป์เริ่มที่จะออกเดินไปยังจุดหมายของเขาที่คิดไว้ตั้งแต่แรก คฤหาสน์พิลึกของตระกูลพิลั่น ยิ่งเขาเดินทางไปไกลมากเท่าไหร่ ผู้คนที่มีให้เห็นก็เริ่มที่จะบางตาลงเรื่อย ๆ จนแทบไม่มีเลย เขาหันมองรอบ ๆ ที่เป็นป่าเมเปิ้ลมันช่างน่าแปลกประหลาดใจที่แม้จะเป็นต้นไม้ผลิตน้ำเชื่อมที่รสชาติดี และหอมหวาน แต่กระนั้นเวลานี้ขนาดเป็นช่วงที่ดวงตะวันยังส่องเจิดจ้าไปทั่ว พื้นที่บริเวณนี้กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง มันทั้งเปลี่ยว วังเวงชวนขนลุก บรรยากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ หมอกที่เริ่มลงหนาทึบเมื่อคุณยิ่งเดินเข้าใกล้คฤหาสน์ที่เริ่มอยู่ไม่ไกล
เวลานี้เด็กหนุ่มผมบลอนด์ได้มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูเหล็กที่ที่มีตราประจำตระกูลเจ้าของคฤหาสน์ที่แสนพิศวงท่ามกลางหมอกหนาที่มิเคยจางหายไป เด็กหนุ่มกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะทำให้พวกเขาต้อนรับเขาอย่างปกติ อย่างน้อยก็ไม่ขับไสไล่ส่ง
ไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไรต่ออยู่ ๆ ประตูเหล็กก็เปิดขึ้น และมีร่างของเด็กหนุ่มผมแดงวัยไล่เลี่ยกับเขาวิ่งออกมาอย่างรวดเร็วผิดมนุษย์
ปึก!
เด็กหนุ่มผมแดงได้วิ่งมาชนกับไหล่ของฟิลิปป์อย่างจัง แต่เด็กหนุ่มผมทองแทบไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิด ร่างของเขาแทบไม่แม้แต่จะเคลื่อนจากจุดเดิมสักเซนเดียว กลับเป็นเด็กหนุ่มผมแดงผู้ที่วิ่งเข้ามาชนเป็นฝ่ายล้มลงไปนอนกองกับพื้นเข้าอย่างจังเสียเอง
“โอ่ย เจ็บชะมัด แข็งอย่างกับหิน” เด็กหนุ่มผมแดงโอดครวนพลางใช้มือกุมไหล่ซ้าย
“เอ่อ เฮ้ เป็นไงมั่ง” ฟิลิปป์เอ่ยขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปให้เด็กหนุ่มผมแดง
“ไม่ๆ ไม่ต้องยุ่งไอ่หน้าหล่อ ฉันไปล่ะ” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดโต้ตอบกันไปมากกว่านี้ เด็กหนุ่มผมแดงรีบชันตัวลุกขึ้นและวิ่งหายเข้าไปในหมอกหนา ปล่อยให้ฟิลิปป์ยืนข้าง กะพริบตาปริบ ๆ อยู่อย่างนั้น
‘แปลกคน’ นี่คงเป็นสิ่งที่ฟิลิปป์สามารถอธิบายกิริยาท่าทางของเด็กหนุ่มผมแดง ที่วิ่งหายออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันไปปิดประตูรั้วเหล็กที่กั้นระหว่างภายนอกกับคฤหาสน์พิศวงเสียด้วยซ้ำ
ในขณะเดียวกันนั้นเอง มีร่างงดงามของหญิงผู้หนึ่งได้เคลื่อนมาอยู่ข้างหลังของเด็กหนุ่มผมทอง เธอผู้นี้กำลังใช้มือเรียวยาวแตะไหล่แกร่งของเขาที่กำลังหันไปยังทิศทางที่เด็กหนุ่มผมแดงวิ่งหายไป แต่ไม่ทันที่เธอคนนี้จะได้ทำอะไร
หมับ!
มือเรียวของฟิลิปป์ได้คว้ามาจับมือเย็นเยียบของหญิงสาวในทันใด นัยน์ตาสีฟ้าและนัยน์ตาสีเขียวได้สบกัน เมื่อเห็นว่าหญิงตรงหน้าน่าจะเป็นหนึ่งในผู้อยู่อาศัย ณ คฤหาสน์แห่งนี้ เขาก็ปล่อยมือลง
“ไม่ทราบว่าเธอมาทำอะไรที่นี้งั้นหรอ หนุ่มน้อย” เสียงของหญิงสาวผมขาวมีสีแดงแซม ที่แหบมีเสน่ห์ตามแบบฉบับของหญิงมีอายุได้เป็นผู้เอ่ยขึ้น
“….คุณคงรู้ดีว่าตอนนี้ คนในเมืองน่ะมีข่าวลืออะไรเกี่ยวกับตระกูลคุณ คุณนายโอ'เมอร์ฟี่” ฟิลิปป์เอ่ยขึ้นหลังจากตาเขาหรี่ลงเล็กน้อย
“หุๆ เธอคงจะเป็นคนที่นายกจ้างมาสินะ เข้ามาสิ” หญิงสาวดูจากใบหน้าก็ 30ปลายๆเดินนำเข้าไปในเขตคฤหาสน์ตระกูลของเธอ ฟิลิปป์แปลกใจเล็กน้อยแต่กระนั้นเขาก็เดินตามเธอไป
บรรยากาศรอบ ๆ คฤหาสน์นั้นช่างน่าขนลุก ลึกลับ และพิศวงสุดจะบรรยาย มันน่ากลัวยิ่งกว่าที่ชาวเมืองต่างกล่าวขานเล่าลือกันจนแทบเทียบไม่ติด แม้นี้จะเป็นช่วงกลางวันแต่มันราวกับก้าวเท้าเข้ามายังอีกโลก อีกมิติที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“นี่ ดื่มชาก่อนสิ แล้วก็ตอนนี้ฉันไม่ใช่คุณนายตระกูลนี้แล้วหรอกนะ” หญิงสาวกล่าวพลางยกถ้วยน้ำเซรามิกลวดลายสวยงามขึ้นดื่ม ด้วยกิริยาของผู้ดีมีชาติตระกูล
“ครับผมรู้ดี แต่จะให้เรียกห้วน ๆ คงไม่ได้ แล้ว…ในเมื่อคุณรู้ว่าผมมาด้วยวัตถุประสงค์อะไร คุณจะทำอะไรกับผมต่อ” ฟิลิปป์เอ่ยถามขึ้นขณะที่ยกขาขวาขึ้นไขว่ห้าง แล้วจ้องมองหญิงตรงหน้าอย่างจริงจัง
“เธอจะทำอะไรก็ทำเลย ฉันเองก็ไม่ได้ชอบใจนักหรอก ที่ท่านผู้นั้น ผู้นำความโกลาหลให้คืบคลานเข้ามา มายุ่งย่ามกับหลานฉันตั้งแต่พวกเขายังไม่ลืมตาดูโลกด้วยซ้ำ” เธอหันมองไปทางเตาไฟที่ยังไม่ได้จุดให้ลุกโชติช่วง
“งั้นก็หมายความว่า…”
“อืม…จัดการเลย ปลดปล่อยเขาที ฉันจะไม่ยอมให้เมล็ดพันธุ์แห่งความวุ่นวายเติบโตมากกว่านี้ โดยเฉพาะที่ของฉัน” น้ำเสียงของเธอพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“แปลว่า ข่าวลือที่หนึ่งในสองแฝดเป็นตัวประหลาดก็…”
“ใช่ อาร์ธัสเขานั่นแหละ ส่วนอาร์ทัวร์เด็กคนนั้นเป็นเด็กดีนะ แต่ร่างกายเขาเองก็เริ่มเปลี่ยนไปเหมือนฝาแฝดของเขา และเขามักจะหมกตัวอยู่ที่หอสมุด ฉันเคยลองตามไปเหมือนเขาพยายามหาหนังสืออะไรสักอย่าง” หลังจากที่ได้ฟังประโยคนี้ รูม่านตาของฟิลิปป์ก็ขยายขึ้นชั่วขณะก่อนจะกลับเป็นแบบเดิม ราวกับเขารู้ว่าตัวของอาร์ทัวร์ต้องการจะหาหนังสืออะไร
“แล้วถ้าเกิด สองแฝดไม่อยู่แล้วใครล่ะ จะเป็นคนสืบทอดตระกูล” แต่ฟิลิปป์ก็พยายามจะทำเป็นไม่สนใจ
“เรื่องทายาทน่ะ ฉันคิดไว้แล้วหลังจากเรื่องนี้จบ แต่เธอต้องช่วยฉัน ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าตอบแทน” ใบหน้าของเธอหันกลับมาหาฟิลิปป์พร้อมกับยิ้มแย้ม
“ค่าตอบแทนหรอ…งั้นก็ไม่เลว ตกลงครับ คุณโรเซนลอยด้า” ฟิลิปป์เขาไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของเขา ตัวเขาเองเพียงถูกจ้างให้มาจัดการเรื่องนี้เท่านั้น อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้เขาจะไม่ขอเกี่ยวข้องทั้งสิ้น และการที่ระหว่างงานที่ได้รับมอบหมายได้ถูกเสนอให้ช่วยเรื่องต่าง ๆ พร้อมของตอบแทนเขาเองก็พร้อมจะรับข้อเสนอ แม้จะยังไม่รู้ว่าของตอบแทนนั้นคืออะไร ตัวเขาจะเป็นคนตัดสินเองว่าเหมาะสมหรือไม่ และถ้าไม่….คงไม่ต้องสาธยายว่าจะเกิดอะไรขึ้น
หลังจากสนทนากันอีกเพียงเล็กน้อย ฟิลิปป์ก็ได้ขอตัวออกไปจากคฤหาสน์และก่อนจะออกไป โรเซนลอยด้าก็ได้บอกกับฟิลิปป์ว่าตัวประหลาดนั้นเมื่อกระทบกับแสงจันทร์จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ฟิลิปป์พยักหน้ารับแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นเขาก็เดินหายเข้าไปในหมอก
แต่ใครหารู้ไม่จริง ๆ แล้วฟิลิปป์นั้นไม่ได้เดินกลับไปในเมือง เขายังอยู่ในเขตตระกูลโอ'เมอร์ฟี่ เขาไปยังเรือนเล็กของตระกูลนี้ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเรือนเล็กแต่กระนั้นมันก็ยังใหญ่พอจะอยู่ได้หลายครอบครัวอยู่ดี มีรากไม้และเถาวัลย์เลื้อยขึ้นอยู่เล็กน้อย ส่วนของข้างหลังบ้านก็เป็นเรือนกระจกปลูกพันธุ์ไม้ตามแต่คนในตระกูลจะชอบ
ภายในบ้านมีคนผมแดงอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 4 คน จริง ๆ มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นแต่มีแขกไม่ได้รับเชิญผมบลอนด์แอบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ที่ที่เขาซ่อนนั้นสามารถได้ยินบทสนทนาของทั้งหมดได้
ที่ห้องโถงรับแขกใกล้หน้าต่างมีชาย 2 หญิง 2 นั่งอยู่ตรงข้ามกันบนโซฟาหนังชั้นดี ฝั่งหนึ่งเป็นชายและหญิงวัยกลางคน และอีกฝั่งหนึ่งเป็นวัยกลางคนที่หน้าตาคล้ายกับชายที่นั่งตรงข้ามตน กับหญิงวัยแรกรุ่นหน้าตาสละสวยคนละแบบกับหญิงวัยกลางคนที่นั่งตรงข้ามตัวเธอ
“กรานด์ฟอร์ดฉันขอเสนอให้นาย เป็นครั้งสุดท้ายมอบตำแหน่งทายาทให้เมเดลีนแทนลูกแฝดปีศาจของนายดีกว่าเจ้าเด็กสองคนนั้นไม่แม้จะสนใจธุรกิจเลยด้วยซ้ำ วัน ๆ เอาแต่ทำตัวแปลก ๆ อยู่ได้” ชายวัยกลางคนที่นั่งข้างหญิงสาววัยรุ่นที่น่าจะมีนามว่าเมเดลีนเอ่ยขึ้น
“คลิฟฟอร์ด…พี่ ขอโอกาสอีกหน่อยเถอะ” กรานด์ฟอร์ดที่นั่งข้างๆหญิงวัยกลางคน เธอน่าจะเป็นเคย์ลี่คุณนาย ณ ขณะนี้ กรานด์ฟอร์ดเอ่ยกล่าวด้วยสีหน้ากังวล เรื่องเมื่อ 16 ปีก่อน มันเป็นความผิดของเขา เขาพลาดเองที่เผลอไปหลงเชื่อคำเชิญชวนจากชายร่างสูงใหญ่ผิวดำสนิทที่ราวกับว่าเขาไม่ได้มาจากโลกใบนี้
“ไม่กรานด์ฟอร์ด มันนานมากแล้ว ฉันจะไม่ยอมฝากฝังชีวิตและชะตาตัวเองกับครอบครัวไว้กับไอเด็กพวกนั้น มันไม่ใช่หลานฉันกรานด์ฟอร์ด มันคือปีศาจที่เกิดจากความผิดพลาดของนาย” ชายที่น่าจะคือ คลิฟฟอร์ด พี่ชายฝาแฝดของกรานด์ฟอร์ดพูดเสียงแข็ง และไม่ลดละความพยายาม
“มันนานเกินกว่านายจะแก้ไข เมืองนี้เองก็ไม่ได้ใหญ่มากตอนนี้นายก็น่าจะรู้นะ ว่านายกเทศมนตรีจ้างคนมาจัดการเรื่องนี้แล้ว เตรียมใจไว้เถอะ อ้อแล้วก็ ขอให้เป็นวันที่ดี ไปกันเถอะเมเดลีน” คลิฟฟอร์ดกล่าวก่อนจะหยิบหมวกขึ้นมาใส่และเดินออกไปทางประตูหน้าสีแดงสดพร้อมกับหญิงสาวผมแดงเช่นเดียวกับตน
ทางด้านกรานด์ฟอร์ดและเคย์ลี่ก็มองหน้ากันอย่างพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะถอนหายใจออกมา ทางด้านฟิลิปป์ที่ได้ฟังก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น กันแน่…..
.
.
.
.
ตกกลางดึกเมื่อดวงตะวันลับขอบฟ้า และจันทร์เสี้ยวได้ขึ้นมาสักระยะ ภายในป่าเมเปิ้ลเริ่มจะวังเวง และเย็นยะเยือก มีร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มผมบลอนด์กำลังเปลือยกายรับแสงจันทร์ที่ส่องลงมาเพียงน้อยนิด ฟิลิปป์ได้ลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเหยียบใบไม้แห้ง ๆ ดังขึ้นหลัง หันไปก็เห็นหญิงสาวคนแรกที่เขาได้พูดคุยหลังจากเข้ามาเมืองนี้ เล็กซานดร้า เธอเดินตรงเข้ามาหาเด็กหนุ่มและเริ่มใช้แขนคล้องคอเขา มืออีกข้างก็ลูบหน้าเขา
“แบบนี้ถือว่าแลกเปลี่ยนกันสินะ” ซานดร้ากล่าวขึ้น ด้านฟิลปป์เองก็พยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็เริ่มจูบกันอย่างดุเด็ด เร่าร้อน
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย หลังจากฟิลิปป์ได้ฟังบทสนทนาของชายวัยกลางคนแล้ว เขาก็กลับไปยังบาร์ประจำเมืองแล้วก็ได้เจอกับซานดร้าอีกครั้ง เขาสั่งนมเพียว ๆ หนึ่งแก้ว และนั่งคุยแต่ครานี้ไม่ได้คุยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แต่เป็นการคุยกระชับมิตรกัน และตัวซานดร้าเองก็ดูสนใจเด็กหนุ่มไม่น้อย อย่างว่า หนุ่มหล่อขนาดนี้ไม่ได้จะเจอกันบ่อย ๆ และเธอเองแม้จะมีหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่มาขายขนมจีบเกี้ยวพาราสีอยู่ไม่ขาด แต่กระนั้นเธอก้ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ ช่างน่าแปลกที่อยู่ ๆ เธอก็เกิดสนใจเด็กหนุ่มปริศนาไม่รู้ที่มาที่ไปเสียได้ เธอรู้สึกว่าเขามีบางอย่างดึงดูดตัวเธอ
ด้านฟิลิปป์เองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร สาวสวยให้ท่าขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธ และแล้วบทสนทนาก็มาบรรจบที่เรื่อง เซ็กส์ แน่นอน แม้ซานดร้าจะ 20 กว่าและเป็นสาวสวย แต่เธอไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับมันเลย เพราะพ่อเธอค่อนข้างหวงเธอเพราะเธอเป็นครอบครัวคนเดียวของเขา ตั้งแต่แม่เธอเสียชีวิตไป และเธอต้องคอยทำงานในบาร์ประจำ ทั้งยังค่านิยมสมัยนี้ที่ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ฟิลิปป์จึงเสนอให้ลองดูกับเขา และถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาจะรับผิดชอบเอง
ก็นั้นแหละ….
ร่างทั้งสองของวัยรุ่นหนุ่มสาวเริ่มนัวเนียกันจากเบา ๆ ก็เริ่มที่รุนแรงและเร่าร้อนขึ้นทุกที มือเรียวของฟิลิปป์ปลดเปลื้องเสื้อของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว จนเธอเองก็แทบไม่รู้สึกตัวว่าได้ถูกถอดออกไปเมื่อไหร่
พวกเขานัวเนียกัน
ฟิลิปป์เมื่อเห็นใบหน้าที่แดงซ่านและการหอบหายใจแรงของซานดร้าเขาก็รู้ได้ว่านี่เริ่มจะได้ที่ พวกเขามีเวลาไม่มากก่อนที่เจ้าสัตว์ประหลาดสี่เขาจะปรากฏตัวเห็นทีจะพิรี้พิไรไม่ได้
จากนั้น...
.......
.......
.......
เมื่อเรียบร้อยเสร็จกิจมันก็ถึงเวลาแล้ว
...เวลาจัดการ...
ฟิลิปป์จัดการใส่กางเกงให้เรียบร้อยแต่เขาไม่ได้ใส่เสื้อเพราะเป้าหมายครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มัน เขานัดแนะเตรียมพร้อมกับซานดร้าที่เหนื่อยหอบจากกิจกรรมเมื่อสักครู่ เขาให้เสื้อกับเธอไว้และจะไม่มีอะไรทำอันตรายเธอที่ระหว่างทางอย่างแน่นอน แม้ซานดร้าจะยังสงสัยในตัวเขาเล็กน้อยแต่เธอก็จะทำตามที่เขานัดแนะไว้กับเธอ
.
.
.
“ฮืม…..ถึงเวลาแล้ว มันมาแล้ว” เมื่อซานดร้ากลับไป ฟิลิปป์ก็มาหยุดอยู่ตรงหลังบริเวณคฤหาสน์พิศวง ช่วงกลางวันที่น่าขนลุก เทียบไม่ได้เลยกับบรรยากาศในช่วงยามราตรีมาเยือนนี้ มันขนลุก สยดสยอง และให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัยไม่น่าไว้ใจกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า….
ขณะเดียวกันนั้นเองก็มีสิ่งมีชีวิตรูปร่างใกล้เคียงกับมนุษย์แต่ใหญ่กว่าหมี นัยน์ตาสีขาวโพลนส่องสว่างในโพรงตาบนหน้าที่เป็นกะโหลกรูปร่างคล้ายกวางหรือหมาป่ามีสี่เขา ได้ขึ้นมาปีนอยู่บนเสารั้วหลังคฤหาสน์ และจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มผมบลอนด์
“ได้เวลาสนุกแล้วสิ”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments