.
ปัจจุบัน
.
ในเตียงนอนอันหรูหรามีชายร่างสูงนามว่า หลี่หนานไป๋ ผู้เป็นฮ่องเต้แห่งต้าถัง ในชุดสีฟ้าอ่อนๆกำลังนอนหลับไหลอยู่ ก่อนที่จะมีแสงแดดเข้ามาแยงตาทำให้ดวงตาคู่นั้นค่อยลืมขึ้นมาแล้วลุกขึ้นมานั่งบนเตียง เสื้อผ้าที่เขานั้นใส่อยู่นั้นเผยให้เห็นอกแกร่ง ร่างสูงมองไปรอบๆเมื่อเห็นว่ามีขันทีคนสนิท หวงเจิน และนางกำนัลจำนวนหนึ่ง หนานไป๋จับไปที่ศรีษะของตนเองก่อนจะหลับตาลงสักครู่ เพื่อนึกถึงอดีตที่ผ่านมา กว่าจะถึงจุดนี้กว่าที่ทุกอย่างจะลงตัวได้เกี่ยวกับเรื่องเสด็จพ่อที่เขาได้สังหารอย่างเยือกเย็นไป นี้ก็เป็นเวลานานมาถึงเกือบ 6 ปีได้แล้ว นับจากวันนั้นและเขาได้ขึ้นครองราชย์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพวกขุนนางและประชาชนก็คงจะไม่ยอมรับและคิดว่าหนานไป๋ก่อกบฏ แต่ไม่ใช่เลยพวกขุนนางและราษฎรนั้นต่างชื่นชมว่าเขาเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หนานไป๋ได้รู้ว่าผู้ที่ขึ้นชื่อว่าพ่อของตนนั้นได้ไปทำอะไรไม่ดีมาไว้มาก ทำให้พวกขุนนางในราชสำนัก แม่ทัพบางท่านบวกกับแรงสนับสนุนจากเหล่าองค์ชาย และองค์หญิงที่ได้แต่งออกไปที่ต่างแคว้น พวกเขานั้นต่างร่วมแรงร่วมใจในการช่วยเหลือหนานไป๋เป็นอย่างมาก
ด้านหน้าตำหนักได้มีสตรีสูงศักดิ์นามว่า หลิวซูหลัน ที่มีตำแหน่งในวังเป็นกุ้ยเฟย นางสวมใส่ชุดสีส้มอ่อนๆที่ถูกตบแต่งไปด้วยรอยปักรูดอกไม้สีขาว บวกบนหัวของนางที่มีปิ่นปักผมของนางที่ทำจากหยกขาวล้วนๆติดอยู่ที่ผม2-3ชิ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้นางเคยมาหาฝ่าบาทและถูกตำหนิเรื่องการแต่งตัวว่าแต่งตัวได้ฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น ในครั้งนี้นางจึงแต่งอะไรที่ดูเรียบง่ายกว่าเดิม เพื่อหวังอีกคนจะพึงพอใจ หลิวกุ้ยเฟยเดินเข้ามาพร้อมนางกำนัลคนสนิทอีก1คน นามว่า หลิวหมิง แต่เดิมนางก็เป็นสาวใช้ส่วนตัวของนางตั้งแต่เด็ก ต่อมาเมื่อ หลิวซูหลันมีอายุ16ปีกว่า นางก็ถูกรับเลือกจากฮ่องเต้องค์ก่อนให้แต่งเป็นชายารองของฝ่าบาทเมื่อครั้งที่พระองค์มีอายุ20 ปี ซึ่งนางก็แต่งเข้าตำหนักองค์รัชทายาทหลังจากที่ฮองเฮาแต่งไปได้ประมาณ2ปี
ในมือของ หลิวหมิง นางกำนัลคนสนิทของหลิวกุ้ยเฟยนั้นมีถาดไม้ที่ถูกแกะสลักออกมาอย่างปราณีตได้งดงาม บนถาดนั้นมีขนมหวานชนิดหนึ่งที่นางได้สั่งให้หลิวหมิงไปบอกคนครัวให้ทำมาพร้อมทั้งให้หลิวหมิงยืนดูอยู่อีกด้วย ข้างๆถ้วยที่ใส่ขนมนั่นมีกาน้ำชาและถ้วยน้ำชาอยู่ หลิวกุ้ยเฟยนางตั้งใจจะนำสิ่งนี้มาให้ฝ่าบาทเสวยและบวกกับความรู้สึกของนางที่ต้องการพบฝ่าบาทอีกด้วย
:คาราวะกุ้ยเฟย
หวงเจิน ผู้มีฐานะเป็นหัวหน้าขันทีคนสนิทของฮ่องเต้หนานไป๋ หวงกงกงเอ่ยพูดพลางมองไปที่สตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะก้มโค้งศีรษะและตัวลงพร้อมใช้มือทั้งสองข้างประสานกันเพื่อทำการคำนับหลิวกุ้ยเฟย
:หวงกงกง เจ้าไปกราบทูลฝ่าบาทว่าข้า..นั้นน้ำขนมและน้ำชามาให้พระองค์
หลิวซูหลันในฐานะกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่ใบหน้าของนางจะมีเลือดฝาดขึ้นบนแก้มทั้งสองข้างเล็กน้อยแล้วเบี่ยงสายตามองไปยังทางอื่น หวงกงกงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทำสีหน้าหนักใจเล็กน้อย
:มีอันใดหรือท่านกงกง
หลิวซูหลันที่สังเกตเห็นดังนั้นก็มองไปที่อีกฝ่ายแล้วพูดบางอย่างขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งและแววตาที่เย็นชา
:เอ่อ..พระสนม..ท่านอย่าหาว่าบ่าวอย่างนั้นอย่างนี้เลย
:แต่..ท่านจะไปพบฝ่าบาทเวลานี้..เกรงว่าจะไม่เหมาะ
หวงกงกงพูดพลางยิ้มๆบนหน้าผากมีเหงื่อขึ้นเล็กน้อย หลิวกุ้ยเฟยเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมา แต่ในขณะนั้นเองก็ได้มีร่างๆหนึ่งกำลังย่างก้าวมาทางนี้กับผู้ที่ตามหลังอีก2คน หลิวกุ้ยเฟยขมวดคิ้วเป็นปมเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้มาใหม่อีกคน
:หม่อมฉันคาราวะฮองเฮา
สวีฮองเฮา ฮองเฮาผู้สูงส่งสง่างาม ผู้ที่งดงามทั้งกายวาจาและจิตใจ สวีเหยียนหรง นางเป็นลูกสาวของฮูหยินตระกูลสวี บิดาของนาง สวีจวินเฉิน เขานั้นเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ที่ผู้คนในต้าถังนั้นต่างเคารพและนับถือความสามารถในการรบชนะพวกศัตรู ฮ่องเต้องค์ก่อนเห็นในความสามารถของแม่ทัพสวีและผลประโยชน์จึงได้คิดจะให้ตระกูลสวีเกี่ยวดองกับทางราชวงค์ด้วยการให้องค์รัชทายาทแต่งกับลูกสาวของสวีจวินเฉิน ข้างซ้ายมือของนางในตอนนี้คือ สวีเหลียงอิง สาวใช้ที่อยู่และเติบโตกันมาตั้งแต่เด็ก สวีเหลียงอิงนางเป็นสาวใช้ดูแลประจำตัวของสวีเหยียนหรง ส่วนทางด้านขวามือคือ หยางซูซู นางเป็นสาวใช้ของฝ่าบาทเมื่อครั้งพระองค์ยังเป็นรัชทายาท ในตอนที่สวีเหยียนหรงแต่งกับองค์รัชทายาทพระองค์ก็ทรงให้หยางซูซูมาคอยดูแลรับใช้นางจนถึงตอนนี้ สิ่งที่ฮ่องเต้นั้นทรงให้มาไม่ว่าจะเป็นอะไรสวี
เหยียนหรงนั้นย่อมต้องรักษาและเห็นค่าเสมอ นางจึงได้ให้หยางซูซูมาด้วยในตอนนี้
สวีฮองเฮาหรือสวีเหยียนหรงเมื่อเห็นดังนั้นก็มองปราดเดียว ก่อนที่ริมฝีปากจะค่อยๆคลี่ยิ้มขึ้นมและดวงตาแสดงให้เห็นว่ากำลังยิ้มอยู่ แต่หลิวกุ้ยเฟยที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยดสักเท่าไหร่นัก
:หลิวกุ้ยเฟย
:เจ้ามาทำอะไรที่หน้าตำหนักของฝ่าบาทงั้นหรือ?
สวีฮองเฮาพูดขึ้นมาก่อนที่สายตาจะค่อยๆมองไปทางหลิวหมิงนางกำนัลคนสนิทของหลิวกุ้ยเฟย
:อย่างที่ฮองเฮาทรงเห็นเลยเพคะ
คำพูดของหลิวซูหลันนั้นเหมือนเป็นความหมายที่บอกว่าเห็นเป็นยังไงก็อย่างนั้นแหละ สวีเหยียนหรงที่เห็นดังนั้นก็พลันเปลี่ยนสายตาเป็นเยือกเย็นก่อนสักครู่จะเปลี่ยนเป็นตายิ้มเช่นเดิม ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆแต่ผู้อื่นนั้นก็ทันสังเกตเห็น
:ว่าแต่...พระองค์ก็ทรงนำของบางอย่างมาให้ฝ่าบาทเหมือนกันหรือเพคะ?
หลิวกุ้ยเฟยที่พูดมานั้นก็พูดพลางมองไปที่นางกำนัลสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังฮองเฮา และกำลังถือถาดที่มีบางอย่างใส่ไว้อยู่ด้านบน สวีฮองเฮาที่เห็นดังนั้นก็ยกยิ้มที่มุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนที่รอยยิ้มจะกว้างขึ้น
:ใช่แล้ว..ของข้าเป็นผลไม้และชุดที่ตัดเย็บมาให้ฝ่าบาทน่ะ
สวีฮองเฮาพูดอย่างฉะฉานพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขเหมือนกับแสดงรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ หากผู้ใดมาเห็นคงจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฮองเฮานั้นช่างใส่ใจดูแลฝ่าบาทยิ่งนัก แต่รอยยิ้มนั้นกลับเหมือนเป็นคำเยาะเย้ยว่านางได้ดูแลใส่ใจฝ่าบาทและการยั่วโมโหสำหรับหลิวซูหลัน
:อืม..แต่ของเจ้าเป็นขนมหวานงั้นหรือ?
สวีเหยียนหรงเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่แฝงยาพิษเช่นเดิม
:เพคะ
:แต่เจ้าก็ไม่ได้ทำเองมิใช่หรือ
หลิวกุ้ยเฟยที่ได้ยินสวีฮองเฮาถามเช่นนั้นก็ตอบคำถามไปแบบส่งๆ สวีฮองเฮาที่ได้ยินเช่นนั้นก็พูดบางอย่างออกไป เหมือนกับว่านางต้องการยั่วยุอีกฝ่ายให้โกรธจนควบคุมตนเองไม่อยู่ แล้วเผยกิริยาหรือคำพูดที่ไม่เหมาะสมออกไปให้ผู้อื่นได้เห็น หลิวกุ้ยเฟยที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็เกิดไฟโทษะขึ้นภายในใจ แต่นางก็รู้ทันว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการให้นางโกรธเช่นนี้ หลิวกุ้ยเฟยนางจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากข่มอารมณ์เอาไว้ใจไม่แสดงอะไรออกมา
:นั่นก็ใช่เพคะที่หม่อมฉันมิได้เป็นผู้ทำขนมในถ้วยนี้
:แต่ช่วงนี้หม่อมฉันก็ลองฝึกทำพวกขนมและอาหารบางอย่างมาบ้างแล้ว
:หากแต่ว่า..
:ฝีมือที่ฝึกหัดเช่นหม่อมฉันจะเทียบกับพ่อครัวหลวงแม่ครัวหลวงได้อย่างไร
:หม่อมฉันจึงให้พวกเขาทำขนมไว้ให้
:ทั้งนี้ก็เพื่อให้ฝ่าบาทได้ชิมขนมดีๆ
หลิวซูหลันกล่าวเอ่ยพูดประโยคไปรัวๆโดยที่ไม่ปล่อยเว้นช่องว่างให้ฮองเฮาได้พูดแทรกเลยแม้แต่น้อย สวีฮองเฮาที่ฟังอีกคนพูดจนจบแววตาก็ยังคงเรียบนิ่งผิดกับปากของนางที่กำลังยิ้มอย่างเป็นมิตร ภายในใจของนางกำลังคิดกับคำพูดของหลิวกุ้ยเฟย
:ก็ถูกของเจ้า..
:เราควรจะมอบแต่สิ่งดีๆให้ฝ่าบาท..ทำหน้าที่ให้สมกับที่ได้เป็นสตรีของพระองค์
:เพียงแต่ขนมของเจ้า...แน่นอนว่าหากทำเองย่อมแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่มากกว่า
ฮองเฮาพูดด้วยน้ำเสียงฉะฉาน หลิวกุ้ยเฟยที่ได้ยินดังนั้นไฟโทษะในใจนางก็เริ่มลุกลามมากขึ้น นางไม่ต้องการให้ใครมาสั่งสอนนางทั้งนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้นั้นคือสวีฮองเฮาผู้นี้ หลิวกุ้ยเฟยที่จากเดิมคิดว่าจะอยู่นิ่งแล้วข่มอารมณ์เก็บไว้ในใจ แต่ดูเหมือนว่าเมื่อฮองเฮาเห็นว่านางพยายามนิ่งนางก็ยิ่งต้องการยั่วโทษะกุ้ยเฟย
:แล้วอย่างไร..
หลิวซูหลันผู้มีตำแหน่งในวังหลังเป็นกุ้ยเฟยพูดขึ้นมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา แต่คำพูดนั้นก็ส่งเสียงมาถึงสวีเหยียนหรง
:จะจริงใจหรือไม่
:นั่นก็มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับพระองค์เพคะฮองเฮา
:มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ตัดสินความจริงใจของหม่อมฉันได้
:ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่ขอรบกวนท่านที่เป็นถึงฮองเฮาให้ตัดสินอะไรกับเรื่องเล็กน้อยนี้เพคะ
หลิวซูหลันพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆแต่ชัดถ้อยชัดคำ คำพูดของนางไม่ต่างอะไรกับการบอกฮองเฮาว่าให้ทำหน้าที่ของตนไปไม่ต้องยุ่งเรื่องพวกนี้ หรือหากจะพูดสั้นๆก็คือไม่ต้องยุ่ง
:เสียงเอะอะอะไรกัน
เสียงเคร่งขรึมอันเยือกเย็นกล่าวออกมาจากด้านใน นางกำนัลและสนมกุ้ยเฟยนั้นได้คุกเข่าลุงตามด้วยฮองเฮา พวกนางรู้ว่าเมื่อครู่นั้นเป็นเสียงของผู้ใด
:กราบทูลฝ่าบาท..ฮองเฮาและกุ้ยเฟยขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ
หวงกงกงกราบทูลกับฮองเต้ ก่อนที่เงาร่างสูงจะค่อยๆเคลื่อนออกมาเผยให้เห็น
:เช่นนั้นพวกนางจึงส่งเสียงเอะอะเพราะทะเลาะกันงั้นหรือ?
ฮ่องเต้กล่าวออกมาพลางสายตาเลื่อนไปมองสวีเหยียนหรง สวีเหยียนหรงนางรับรู้ว่าตอนนี้ฝ่าบาทนั้นกำลังมองมาทางที่นางอยู่ เพราะนางรับรู้ถึงแรงกดดันบางอย่างทางฝ่าบาท นางรู้ตัวว่าฝ่าบาทนั้นกำลังไม่พอใจนางอยู่ ซึ่งนางก็เหมือนว่าจะรู้ว่าเรื่องอะไร
:ไม่ใช่นะเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันกับฮองเฮาเพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น
:แต่เสียงนั้นอาจจะไปรบกวนฝ่าบาท..
:หม่อมฉันขออภัยเพคะ
:หม่อมฉันก็ขออภัยเพคะ
หลิวกุ้ยเฟยพูดขึ้นมา ไม่ใช่ว่านางอยากจะปกป้องฮองเฮา เพียงแต่เป็นเพราะไม่อยากให้ฝ่าบาทคิดว่านางต้องการสร้างปัญหาอยู่ด้านนอกนี้ และนอกจากนี้นางไม่อยากให้ฝ่าบาทไล่นางให้กลับไปเหมือนครั้งก่อนๆ หลิวกุ้ยเฟยเมื่อพูดจบประโยคก็ก้มหัวขออภัยกับฝ่าบาท ซึ่งฮองเฮาเมื่อเห็นดังนั้นนางก็ได้ขออภัยตามหลิวซูหลัน
:กุ้ยเฟย..นางคือผู้ที่มาที่นี่ก่อนใช่หรือไม่
ฮ่องเต้หนานไป๋ถามกับหวงกงกงขันคนสนิท
:พะย่ะค่ะ
หวงกงกงพูดกลางก้มหัว
:เฮ้ออ..ฮองเฮา
:เช่นนั้นเจ้ากลับไปก่อนเถิด
:!แต่ฝ่าบาท-
คำพูดของสวีเหยียนหรงนั้นถูกกลืนลงคอไปเมื่อนางเห็นว่าฝ่าบาทกำลังมองมาที่นางด้วยสายตาที่เย็นชา สวีเหยียนหรงเมื่อเห็นดังนั้นนางก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่โค้งคำนับแล้วเดินจากไป ถึงแม้สีหน้าของนางจะเรียบนิ่งอยู่แต่ภายในใจก็สั่นไหวและเกิดความวิตก นางกลัว กลัวว่าฝ่าบาทนั้นจะไม่พอใจจนถึงขั้นเกลียดนาง ถึงแม้ว่าในใจนางจะพยายามปลอบใจตนเองว่าคงจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะฝ่าบาทไม่ใช่คนไร้เหตุผล
หลิวกุ้ยเฟยที่เห็นว่าสวีฮองเฮากำลังเดินออกไป ภายในใจนางก็รู้สึกดีใจและสะใจเล็กน้อย เพราะนี่ไม่ต่างอะไรกับที่ฝ่าบาทไล่ฮองเฮาให้นางกลับไปตำหนักตนเอง
.
.
.
.
.
:ส่วนเจ้า..ตามเข้ามา
หลังจากที่ฮองเฮาเดินออกไปไกลแล้ว ฮ่องเต้ก็ได้พูดพลางมองไปที่กุ้ยเฟย หลิวกุ้ยเฟยที่ได้ยินดังนั้นก็เดินตามฝ่าบาทไปโดยมีนางกำนัลคนสนิทที่ชื่อหลิวหมิงกำลังจะตามมาด้วย
:ข้าหมายถึงหลิวกุ้ยเฟยเท่านั้น!!
.
.
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments