Day From Tomorrow ช่วยด้วยครับผมตื่นมาในวันสิ้นโลก

Day From Tomorrow ช่วยด้วยครับผมตื่นมาในวันสิ้นโลก

วันสิ้นโลกวันที่ 1 ชีวิตอาภัพของเด็กหนุ่ม

    โลก....ที่วิวัฒนาการไปไกลแบบก้าวกระโดด เป็นเรื่องที่ดีสำหรับมนุษยชาติ แต่เป็นเรื่องที่หนักอึ้งสำหรับเด็กหนุ่มอย่างนิค...เด็กหนุ่มวัย 19 ปีที่ชีวิตช่างโดดเดี่ยวและล่องลอย ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆ แล้ว เขาคือเด็กที่นับได้ว่ายากไร้มากที่สุด ไม่ว่าเขาจะเดินเข้าออกไปที่ใดหรือใครได้พบเห็นก็ต้องรีบเบือนหน้าหนีเพราะว่าการที่มีคนที่ยากไร้แบบเขาอยู่ร่วมโลกแบบนี้นั้นคือเหมือนกับทั้งวันของพวกเขาจะต้องเจอกับโชคร้ายอย่างนั้นแหล่ะ ก็แหงล่ะ...เพราะโลกที่วิวัฒน์แล้วแบบนี้ การที่มีคนที่แสนจะยากไร้แบบเขาอยู่ร่วมในสังคมมันเป็นไปไม่ได้เลย นิคเป็นหนึ่งในโชคร้ายที่สุดที่ไม่มีใครอยากพบเจอหรืออยากเข้าใกล้

    หึ....แต่เรื่องแบบนี้ใครจะสนกันล่ะ ก็ในเมื่อชีวิตของนิคนั้นก็ใช่ว่าพึ่งจะได้มาเจอเรื่องแบบนี้สักหน่อย มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่พ่อกับแม่ของเขาแล้วล่ะ พอเขาเกิดมาก็ต้องเจอกับโลกที่ปฏิเสธพวกเขาแบบนี้อยู่แล้ว เรื่องเดียวที่เขาต้องสนใจตอนนี้ก็คือ...วันนี้เขาจะเจอเศษอาหารเหลือๆ อะไรในถังขยะนะ เขาจะเจอที่ๆ อบอุ่นและมิดชิดพอที่จะไม่มีคนมาไล่ หรือใครมาเยี่ยวรดเขาตอนเขาหลับ เขาคิดแต่เรื่องเอาชีวิตให้รอดไปวันๆ แค่นั้นแหล่ะ

    เป็นเวลาเกือบค่ำแล้ว แสงอาทิตย์ยังคงส่องรำไรอยู่ แต่ก็ยังไม่สู้แสงนีออนจากจุดต่างๆ ที่เริ่มจะทยอยเปิดกันแล้ว เมืองใหญ่สว่างโร่ด้วยแสงสีต่างๆ ไล่ความมืดที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ทดแทนแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ จะหมดไป นิคเดินไปตามฟุตบาทถนน ท้องของเขาบิดกิ่วและส่งเสียงร้องจ๊อกจ๊อกมาตั้งแต่เช้าแล้ว ทั้งวันมานี้ยังไม่มีอะไรหล่นถึงท้องเขาเลย แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของเขาแล้วแหล่ะ เพราะมื้ออาหารจริงๆ นั้นมักจะมาในตอนพลบค่ำแล้วต่างหาก มันเป็นช่วงที่ผู้คนต่างอิ่มหนำและเก็บกวาดกัน เป็นช่วงที่ขยะจะเต็มถัง เหมือนกับซุปเปอร์มาเก็ตที่มีอาหารให้เขาเลือกหยิบทานได้หลายๆ อย่างตามใจชอบ แบบไหนดี แบบไหนไม่เปรี้ยว หรือแบบไหนที่ทานแล้วไม่ท้องเสีย แบบนั้นแหล่ะคืออาหารอันโอชะของเขาเลยล่ะ นิคเดินเรื่อยมาจนถึงถังขยะใบใหญ่ที่เหมือนจะเต็มแล้วใบหนึ่ง เขารีบตรงปรี่ไปเพื่อคุ้ยหาสิ่งที่เรียกว่า อาหาร เพราะท้องเขาส่งเสียงร้องมานานแล้ว และแน่นอน...นิคเจอเศษไก่ทอดที่ยังคงเหลือชิ้นเนื้ออยู่บ้าง แถมยังอุ่นๆ อยู่ เด็กหนุ่มไม่รอช้ารีบยัดเข้าปากทันทีอย่างหิวกระหาย มือข้างหนึ่งก็ควาญค้นหาต่อไปอย่างไม่หยุด เขาเจอขวดน้ำเปล่าที่เหลือเกือบครึ่งเลยทีเดียว คนพวกนี้ช่างเป็นพวกที่สิ้นเปลืองเสียจริงๆ แต่นับเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเด็กหนุ่มเลยแหล่ะ เพราะนั่นทำให้เขาสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้ มื้ออาหารอันโอชะ ย่อมยังชีวิตของเด็กหนุ่มให้อยู่รอดได้อีกวันแล้ว...

    ซ่าาาา.....

    ยังไม่ทันอิ่ม นิครู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างเทราดลงมาตั้งแต่ศรีษะ น้ำเย็นๆ แถมมีกลิ่นคาวปลาไหลอาบจนเปียกชุ่ม เสื้อผ้าที่เปื้อนเขรอะและขาดรุ่ยเปียกชุ่มเต็มไปด้วยน้ำที่ถูกใครบางคนสาดลงมา นิคค่อยๆ หันไปมองด้านหลังช้าๆ

    " ไปค้นขยะที่อื่นนะไอ้ตัวซวย!"

    หญิงวัยกลางคนยืนเท้าสะเอวทำหน้าบูดบึ้ง ร่างท้วมของเธอกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจที่เร็วถี่เพราะความโมโห ดวงตาเล็กหยีของเธอจ้องเขม็งมาที่เด็กหนุ่มอย่างเกลียดชัง เธอเหมือนกบยักษ์ที่กำลังโกรธอยู่ยังไงยังงั้นแหล่ะ

    นิคไม่ได้พูดกล่าวอะไร เขาค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ และเดินออกไปอย่างว่าง่าย เพราะถึงโต้ตอบไปก็มีแต่ปัญหาเปล่าๆ ไม่มีใครเข้าข้างคนแบบเขาอยู่แล้วแหล่ะ เพราะพวกเขาคิดว่าการคุ้ยหาเศษอาหารในถังขยะนั้นมันเหมือนกับกำลังลักทรัพย์สินที่มีค่าของพวกเขาอยู่

    "ดวงซวยจริงๆ เลย" หญิงร่างท้วมสบถส่งท้าย นิคสาบานได้ว่าเขาแอบได้ยินเสียถุยน้ำลายไล่ตามหลังมา

    เด็กหนุ่มเดินระหกระเหินไปตามทางเรื่อยๆ ท้องของเขาส่งเสียงร้องอีกครั้ง เหมือนอาหารมื้อเย็นของเขาจะไม่ค่อยจะเต็มท้องเท่าไหร่ นิคเดินตรงไปที่ขยะใบไหนก็จะมีเสียงไล่ส่งเขาตามมาตลอด ไม่รู้พวกเขาจะหวงสิ่งของที่พวกเขาทิ้งแล้วไปทำไมกัน แต่นิคก็ไม่ได้ย่อท้อเพราะท้องที่ส่งเสียงร้องนั้นทำให้เขาต้องกัดฟันและเดินหน้าหาถังขยะใบใหม่ต่อไป มันต้องมีสักใบแหล่ะน่าที่เจ้าของเผลอน่ะ

    นิคเดินมาจนสุดตรอกแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้อะไรกินเลย สงสัยคงต้องรอให้พวกนั้นหลับไปอีกเช่นเคยสินะ เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงตรงข้างทางอย่างเหนื่อยอ่อน กลิ่นคาวปลายังคงติดตามตัวอยู่ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเขารู้สึกชินไปเสียแล้ว เขานั่งมองเหม่อออกไป มองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เป็นสีแดงฉานเหมือนสีเลือด ซึ่งเป็นแสงที่สะท้อนมาจากดวงไฟจากเมืองใหญ่ ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มเหม่อ คำถามเดิมๆ ก็ผุดขึ้นมาอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า...คนเราเกิดมาทำไมกันนะ ไม่สิ...เขานั่นหล่ะที่เกิดมาทำไมกันนะ โลกที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ก้าวล้ำ เต็มไปด้วยสิ่งที่วิวัฒนาการ ทั้งยานบิน เรือลอยฟ้า แสนยานุภาพทั้งอาวุธและ AI ที่ต่างถูกพัฒนาแบบก้าวกระโดด แล้วสิ่งที่เป็นจุดพร่องของความก้าวหน้าแบบเขานั้นทำไมถึงต้องเกิดมาด้วยนะ

    ในระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังจมอยู่กับความคิดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงจากทีวีดังแว่วลอยมาจากตึก ดึงความสนใจของเด็กหนุ่มให้ออกจากภวังค์ของการเหม่อลอย เสียงจากจากจอLEDจอใหญ่ที่ฉายอยู่บนตึกสูง กำลังโฆษณาบางอย่างอยู่

    "เราพัฒนาการเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด สำหรับทุกคนที่พร้อมจะเดินไปกับเรา คุณอาจจะหวาดกลัวกับความตาย แต่วันนี้เราได้เดินหน้าเผชิญกับความตายมาได้ครึ่งทางแล้ว เปโตรโปรเจคกับนวัตกรรมก้าวล้ำได้พัฒนางานวิจัยถึงการยืดชีวิต ชีวิตคุณ....คุณเลือก..."

    หึ...เรื่องเดิมๆ โฆษณาชวนเชื่อเดิมๆ นิคเห็นโฆษณาจากบริษัทนี้แบบนี้มาตั้งแต่เขายังเด็กๆ แล้ว โฆษณาชวนเชื่อเรื่องการยืดอายุ ชวนเชื่อเรื่องยาอายุวัฒนะ ชวนเชื่อในเรื่องที่ฝืนธรรมชาติ คนเราจะไปรู้อะไรกับชีวิตได้ดีขนาดนั้นกันล่ะ เรื่องพวกนี้มีแต่พวกที่อยู่สุขสบายเท่านั้นแหล่ะที่หลงเชื่อได้น่ะ สำหรับชนชั้นรากหญ้าแบบเขาแล้วนั้น การจบชีวิตตัวเองโดยเร็วคือทางเลือกที่ดีกว่า

    นิคลุกขึ้นช้าๆ และเดินหน้าไปต่อ เวลาดึกดื่นยามราตรีแบบนี้พวกคนหวงขยะเหล่านั้นคงพากันนอนหมดแล้ว แหงล่ะ...พรุ่งนี้วันอาทิตย์ที่ไม่มีใครคนไหนทำงานให้เหนื่อยกัน พวกเขาต้องตื่นมาเพื่อรวมตัวกันตามที่เคยทำๆ กันมานั่นแหล่ะ นิคไม่ค่อยเข้าใจพวกนี้เท่าไหร่นักกับการที่ต้องตื่นมาเพื่อรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ หาเรื่องราวมาเล่าอวดอ้างกันเป็นค่อนวัน ปั้นหน้าปั้นตาพูดคุยเข้าสังคมที่หน้าไหว้หลังหลอก ยกยอปอปั้นคนนั้นคนนี้ตามฉบับผู้ดียุควิวัฒน์ หึ...ตลกชะมัด คนเราวิวัฒนาการมาจากการปั้นหน้าสินะ

    เด็กหนุ่มเดินเตร่ไปตามทางเดิมที่เขาเดินมา ตามที่เขาคาดไว้...คนหวงขยะพวกนี้ต่างก็พากันเข้านอนจนหมดแล้ว นิคไม่รอช้ารีบตรงรี่ไปที่ขยะใบใกล้สุดด้วยความหิวโหย เขาลงมือค้นหาเศษอาหารเพื่อประทังชีวิตของเขาในวันนี้ให้ผ่านไปได้อีกวัน นิคคุ้ยเจอเศษอาหารที่เหลืออยู่ไม่กี่คำในกล่องพลาสติกที่แพ็กเกจดูหรูหรา คงเป็นอาหารชั้นดีที่คนพวกนั้นเหลือทิ้งไว้สินะ ไม่รอช้าเด็กหนุ่มรีบใช้มือเปล่าจ้วงเศษอาหารนั้นเข้าปากทันที

    "อุแหวะ...."

    เด็กหนุ่มรีบคายทิ้งทันทีที่อาหารนั้นเข้าปาก รสชาติของมันต่างจากที่คิดไว้โดยสิ้นเชิง รสชาติของมันขมฝาดลิ้นและแสบร้อนเหมือนกำลังกินน้ำกรดยังไงยังงั้น แม้เด็กหนุ่มจะถุยเอาทั้งเศษอาหารและน้ำลายออกจนแทบจะหมดปาก ลิ้นของเขายังคงปวดแสบปวดร้อนอยู่

    "น้ำยาล้างห้องน้ำสินะ" เด็กหนุ่มพึมพำ คนพวกนี้มักจะทำแบบนี้กับขยะของพวกเขาเสมอ ไม่ได้ป้องกันพวกหนูพวกแมลงสาบอะไรทำนองนั้นหรอกนะ แต่พวกเขาทำเพื่อไม่ให้คนอย่างนิคมาค้นคุ้ยเศษอาหารกินยังไงล่ะ

    นิคเดินถุยน้ำลายตัวเองไปพลางหัวเสียไป วันนี้เขาก็ต้องปล่อยให้ท้องหิวไปอีกวันสินะ....

    ช่วงจังหวะหนึ่งที่นิคกำลังเดินคอตกอยู่นั้น นิครู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเดินตามหลังเขามา นิคหันขวับไปมองทันที แต่แล้วเขาก็ไม่เห็นอะไรในความมืดนั้น สงสัยคงรู้สึกไปเอง นิคนึกในใจ มันคงเป็นเพราะเขาหิวด้วยแหล่ะ เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะไล่ความคิดก่อนจะออกเดินต่อไป มีอีกสิ่งที่เขาจะต้องคิดก่อนจะหมดคืนนี้ไปคือ...เขาต้องหาที่นอนที่เหมาะสมสำหรับคืนที่โหดร้ายที่เขาเองก็ชินเสียแล้ว

++++++++++++++++++

    เสียงรถรางและยานบินลอยฟ้า คำรนเป็นทอดๆ ดังปลุกเด็กหนุ่มที่หลับไหลอยู่ให้ตื่นขึ้น เช้าที่ท้องฟ้ามืดมนเต็มไปด้วยฝุ่นควันและไอเสียเป็นปกติเต็มไปด้วยความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ผู้คนต่างพากันออกมาจากบ้านเพื่อมารวมตัวกันตามสวนสาธารณะที่เหมือนเป็นสวนรูปปั้นจำลองเสียมากกว่าสวนต้นไม้ นิคที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ม้านั่งกลางสวนงัวเงียลุกขึ้นเพราะรำคาญเสียงรบกวน แสงอาทิตย์ยังไม่พ้นขึ้นมาจากฟ้า ผู้คนต่างก็พากันตื่นก่อนแล้ว แน่ล่ะ...วันนี้พวกเขามีนัดรวมตัวกันอย่างว่านี่นา

    "ถุย!!" เสียงถุยน้ำลายดังขึ้น คราบน้ำหนืดๆ เหนียวๆ พุ่งติดหน้าของนิคอย่างจัง "บัดซบ!!!เช้ามาก็เจอไอ้ตัวซวยนี่ซะละ...ไม่มีที่มุดหัวนอนที่อื่นรึไงถึงมานอนตรงนี้ ไป๊!!"

    ชายหนุ่มที่ล่ำสันคนหนึ่งขับไล่นิคราวกับนิคเป็นหมาจรจัด ไม่วายซ้ำยังถอดรองเท้าปาเพื่อไล่เด็กหนุ่มอีกต่างหาก สายตาของชายคนนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด นิคปาดคราบน้ำลาย รีบลุกและวิ่งออกไปทันที เพราะขืนชักช้าไปกว่านี้มีหวังเขาได้เจ็บตัวเป็นแน่ แผลเก่าที่โดนมายังปวดตุบไม่หาย เขาคงไม่เสี่ยงเอาตัวเองไปบาดเจ็บแบบนั้นอีกเป็นแน่

    ไกลจากสวนสาธารณะนั้นมาแค่ไหนไม่รู้แล้ว นิครู้แค่ว่าเขาต้องเดินเตร่ต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ หาที่ลับตาคนเพื่อหยุดพัก แต่ไม่ว่าเขาจะไปหยุดนั่งที่ไหนก็จะมีแต่คนคอยขับไล่เขาอยู่อย่างนั้น

    กร๊อบบ....

    เสียงบางอย่างเหยียบกับขวดพลาสติกดังแว่วมาจากด้านหลัง นิคหยุดเดินและหันกลับไปมองทันที เช่นเดิม....เขาก็เจอแต่ความว่างเปล่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผิดสังเกตก็คือ นิคเห็นขวดน้ำพลาสติกนั้นตกอยู่กลางทาง...ใช่แน่ๆ ต้องมีคนสะกดรอยตามเขาแน่ๆ คงเป็นพวกคนที่คอยหาทางกลั่นแกล้งและทำร้ายเขาแหงๆ เด็กหนุ่มทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและรีบย่ำเท้าเดินหาที่ลับตาทันที ขืนให้พวกนั้นตามมาอีกมีหวังคงได้กินยำตีนและน้ำเสลดแน่ๆ

    นิคกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนมาถึงใต้สะพานลอยฟ้าสุดไฮเทคแห่งหนึ่ง ตามราวของมันเต็มไปด้วยจอโฆษณาแบรด์ต่างๆ นิครีบจ้ำอ้าววิ่งขึ้นบันใดอย่างเอาเป็นเอาตาย สายตาเหลือบชำเรืองไปเห็นชายคนหนึ่งสวมชุดสูทสีดำแว่นตาสีดำกำลังตามมาอย่างรวดเร็ว ถูกเผง! เขากำลังถูกสะกดรอยตามอยู่ ไม่รอช้านิครีบวิ่งห่างออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ใครกันนะมาสะกดรอยตามเขาแบบนี้ เขาต้องการอะไรจากนิคกันแน่นะ หรือเป็นพวกที่ถูกจ้างมาเพื่อจัดการเศษขยะสังคมแบบเขา บ้าน่า...จะมีใครลงทุนทำถึงขั้นนั้นกันนะ แต่พอนึกๆ ไปแล้วก็ดูสมเหตุสมผลดีหนิ เพราะถึงแม้เขาจะถูกกำจัดไปก็ไม่มีใครสนใจอยู่ดี ยิ่งเป็นการดีเสียด้วยซ้ำที่พวกเขาสามารถจัดการกับขยะที่เป็นจุดพร่องของสังคมพวกเขาไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นแม้นิคนึกอยากจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอดนั้น มันก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ เขายังมีอีกหลายอย่างที่เขายังไม่ได้ทำเลย เขายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อมองโลกที่บ้าคลั่งนี้ต่อไปอีก...

    นิควิ่งมาไกลจากที่นั้นแล้ว ซึ่งมันก็ไกลพอที่เขาจะคิดว่าไอ้คนในชุดสูทสีดำนั้นจะตามมาไม่ทันแล้ว นิคอ้าปากสูดลมหายใจหอบแฮ่กอย่างเหน็ดเหนื่อย เขาออกแรงวิ่งมาตั้งไกลแถมยังหิวอีกต่างหาก สายตาของนิคนั้นเริ่มพร่ามัวเมื่อเขาหยุดวิ่ง โลกรอบตัวเริ่มเหวี่ยงหมุนและบิดตัวไปมา นิคหายใจถี่และหอบเร็วกว่าปกติ ก่อนภาพทุกอย่างนั้นจะถูกตัดไป.....

++++++++++++++++++

    นิคค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แสงไฟสีขาวสว่างจ้าจนแสบตาไปหมด...กลิ่นที่หอมสะอาดนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ พิกล มันเป็นสถานที่ที่เขาไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ที่นี่ที่ไหนกันนะ นิครวบรวมสติก่อนจะดันกายลุกขึ้น สายตาที่เริ่มปรับตัวได้แล้วกวาดมองไปรอบๆ ห้องที่กว้างขวางนี้ ทั้งห้องถูกประดับตกแต่งด้วยสีขาวและสีฟ้า ให้อารมณ์เหมือนอยู่โรงพยาบาลยังไงยังงั้น เป็นห้องกว้างๆ ที่ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงประตูที่เหมือนกับประตูลิฟท์เท่านั้น นิคก้มมองดูที่ตัวเอง ตอนนี้เนื้อตัวเขาสะอาดหมดจด เสื้อผ้าก็ใหม่เอี่ยมไม่ขาดรุ่ย

    นิครีบลุกพรวดออกจากเตียงด้วยความตื่นตระหนก ที่นี่ที่ไหนกัน ดูเป็นที่ที่ไม่ค่อยจะปลอดภัยเท่าไหร่นักแม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรก็ตาม นิครีบวิ่งตรงไปที่ประตู พยายามงัดแงะแต่ก็ไม่เป็นผล มันต้องเปิดจากคนที่มีอำนาจที่นี่เท่านั้น

    "เปิด!!" นิคทุบประตูอย่างตื่นตระหนก แม้เขาจะพยายามงัดแงะให้มันเปิดอ้าออกแต่มันก็ไม่เป็นผล

    "เฮ้...ใครอยู่ข้างนอกบ้าง ช่วยเปิดประตูให้ที..." นิคป้องปากตะโกนอีกครั้งด้วยความหวัง

    สักพักเหมือนคนข้างนอกจะรับรู้แล้ว ประตูที่ปิดแน่นสนิทก็เปิดอ้าออก ชายที่สวมชุดกาวน์สีขาวคล้ายหมอ หรือนักวิทยาศาสตร์อะไรทำนองนั้นเดินผ่านประตูนั้นเข้ามา ใบหน้าของเขายิ้มแย้มอย่างใจดีผิดวิสัยซึ่งนิคเองก็ไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ ไม่รู้สิ...เขาคงไม่ชินกับการที่มีคนแปลกหน้ายิ้มให้แบบนี้ล่ะมั้ง

    "ทะ...ที่นี่ที่ไหน" นิคยิงคำถามแรกออกไปโต้งๆ

    "แล็บวิจัยของฉันเอง"

    ชายคนนั้นตอบด้วยท่าทีใจดี เขายังคงยิ้มจนตาหยีเช่นเดิม แม้นิคจะได้รับคำตอบแล้วแต่เขาก็ยังคงทำสีหน้าประหลาดใจและยังคงสงสัยเช่นเดิม

    "อ้อ...ฉันลืมแนะนำตัวเอง คงเสียมารยาทไปหน่อยสินะ ฉันชื่อ ดร.นริศ เป็นนักวิจัยและเป็นเจ้าของงานวิจัยขององค์กร PETER Project แห่งนี้" ดร.นริศแนะนำตัวเองคร่าวๆ นิคยิ่งขมวดคิ้วสงสัยเข้าไปใหญ่

    "แล้วคุณจับผมมาทำไมกัน....? จะให้ผมเป็นหนูทดลองอย่างงั้นหรอ? จะผ่าแยกชิ้นส่วนของผมอย่างงั้นหรอครับ? คงงั้นสินะ...คนแบบผมคงสมควรโดนแบบนี้สินะ" นิคตัดพ้อแบบร่ายยาวจนคนสวมชุดกาวน์ส่ายศีษะ

    "จะว่าเป็นหนูทดลองนั้นก็เป็นคำที่ใช้ผิดน่ะนะ เรียกว่าร่วมงานวิจัยกันจะดีกว่า และฉันก็มีข้อเสนอ..." ดร.นริศยิ้มอีกครั้ง

    "ผะ...ผมไม่เอาด้วยหรอก ผมยังไม่อยากตายตอนนี้ ปล่อยผมกลับบ้านเดี๋ยวนี้" นิคยังคงรั้นอยู่ ในใจนึกภาพสยดสยองไปต่างๆ นานา

    "ใจเย็นก่อนพ่อหนุ่ม...ไม่มีใครตายในงานวิจัยของฉันหรอก" ดร.นริศหัวเราะในลำคอ "ฉันแค่ต้องการให้นายทดลองยาบางอย่างที่ฉันคิดค้นขึ้น แต่นายไม่ต้องห่วงนะเพราะฉันทำการดลองกับสัตว์ที่มีลักษณะพันธุกรรมใกล้เคียงกับมนุษย์มาก่อนแล้ว และแน่นอนมันจะปลอดภัยกับนาย"

    "ทดลองยา...ยาอายุวัฒนะที่เคยเห็นโฆษณาแบบนั้นหรอ? ผมไม่เอาด้วยหรอกนะ ปล่อยผมกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นผมจะไปแจ้งตำรวจ!" นิคขู่หวังให้ชายแปลกหน้าคล้อยตาม

    ดร.นริศหัวเราะพลางส่ายศรีษะเหมือนรู้ทัน

    "และในส่วนข้อเสนอนั้นแลกกับเงินก้อนใหญ่ที่นายเองจะใช้ฟุ่มเฟือยทั้งชีวิตของนายก็ไม่มีทางหมด....นายจะได้ทุกอย่างที่นายขอ แม้ตัวยานี้จะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แค่นายตกลง นายก็ยังคงจะได้รับเงินก้อนนั้นอยู่เช่นเดิม และที่สำคัญนั้น ฉันขอรับรองด้วยหน้าที่การงานของฉัน...นายจะไม่เป็นอะไรแน่นอน แต่ถ้านายโชคดีที่ตัวยานี้เป็นสูตรสำเร็จ นายก็จะได้รับอายุขัยที่ยาวขึ้น และนายก็จะไม่มีวันแก่เฒ่าไปตลอดชีวิต"

    ข้อเสนอของดร.นริศนั้นทำให้นิคต้องหยุดชะงักและนึกตาม เงินก้อนใหญ่ที่ใช้ได้ตลอดชีวิตงั้นหรอ? ความสุขสบายที่เขาจะได้รับ และชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากนี้งั้นหรอ? ข้อเสนอสุดอันตรายแบบนี้มันคุ้มที่จะเสี่ยงมั้ยนะ

    " หรือถ้าเกิดนายไม่อยากจะร่วมงานวิจัยของเรา เราก็ยินดีจะปล่อยตัวนายกลับบ้าน...บ้านที่แสนสุขของนาย" ดร.นริศย้ำตรงประโยคสุดท้าย ซึ่งมันบาดลึกเข้าไปในใจของเด็กหนุ่มเต็มๆ

    บ้านที่แสนสุขงั้นหรอ? บ้านที่เขาต้องหาอาหารโดยการคุ้ยขยะ หาที่ซุกหัวนอนไปวันๆ ทุกเช้าต้องตื่นมาล้างหน้าด้วยน้ำลาย เดินไปทางไหนก็มีแต่คนสาดน้ำเหม็นคาวเพื่อไล่ให้เขาเดินให้ห่างจากบ้านของพวกเขา ต้องคอยหนีพวกเด็กเกเรที่คอยรุมกระทืบเขาทุกครั้งที่เจอหน้า ต้องคอยเสี่ยงดวงว่าวันนี้เขาจะอิ่มท้องมั้ย จะอยู่รอดโดยไม่หนาวตายในวันนี้ได้หรือเปล่า บ้านที่แสนสุขแบบนี้งั้นหรอที่เขาต้องการกลับไป....

    "นายไม่จำเป็นต้องตัดสินใจตอนนี้ก็ได้....ฉันจะให้เวลานายตัดสินใจ 1 อาทิตย์ ระหว่างนั้นนายจะพักอยู่ที่นี้ก็ได้ เราจะดูแลนายอย่างดีเอง" ดร.นริศกล่าวจบก็เดินหันหลังกลับออกไป "อ้อ...ประตูนี้นายต้องกดปุ่มข้างๆ นี้มันถึงจะเปิดออก มันเป็นระบบสัมผัสน่ะนะ"

    ดร.นริศเดินพ้นประตูออกไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มตกอยู่ในภวังค์ความคิดของเขา ความคิดต่างๆ นานาถาโถมเข้ามาอย่างไม่จบสิ้น และทุกๆ ความคิดนั้น เขายังไม่เห็นข้อเสียของมันเลย...

    ผ่านมา 2 วันแล้วที่นิคได้อยู่ที่แล็บวิจัยของดร.นริศนี้ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เขาก็ยังไม่รู้สึกชินกับการที่ได้รับการดูแลอย่างดีแบบนี้ ทั้งเสื้อผ้า อาหาร และการดูแลที่แทบจะเหมือนลูกคุณหนูคนหนึ่ง ทำให้นิครู้สึกแปลกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขามีที่นอนอุ่นๆ ที่ไม่ต้องตื่นมาล้างหน้าด้วยน้ำลาย มีอาหารที่อร่อยและรสชาติดีที่สุดเท่าที่เคยกินมา มีเสื้อผ้าสวมใส่ไม่ซ้ำชุดและมีน้ำท่าให้เขาอาบเพื่อชำระล้างทุกวัน นี่สินะชีวิตดีๆ ที่ลงตัวน่ะ พวกคนมีเงินเขาใช้ชีวิตกันแบบนี้สินะ มันช่างต่างกับชีวิตที่ผ่านมาของเขาอย่างสิ้นเชิงเลย

    ช่วงเวลา 2 วันที่ผ่านมานี้ทำให้ความคิดที่ตีกันมั่วในสมองของเขาเริ่มเข้าที่เข้าทาง ความคิดของเขาเริ่มตกผลึกเป็นกลุ่มก้อนและชัดเจนขึ้น นิคเริ่มมั่นใจเล็กน้อยแล้วว่าเขาควรจะเลือกทางไหนดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในการตัดสินใจให้ดีกว่านี้ เพราะเขาคิดว่านั่นมันจะไม่ทำให้เขาต้องกลับมาผิดหวังทีหลัง

    นิคใช้ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในห้องแลปออกตระเวนไปรอบๆ ตึก มันทำให้เขารู้ว่าตึกนี้ไม่ได้เล็กอย่างที่เขาคิด มันเป็นตึกที่กว้างใหญ่มากๆ ใหญ่เสียยิ่งกว่าพวกห้างสรรพสินค้าหรือคฤหาสน์ของพวกเศรษฐีเสียอีก นิคใช้เวลาเดินสำรวจมาสองวันซึ่งเขามั่นใจว่านี่ยังไม่ทั่วทุกพื้นที่แน่ๆ ดร.นริศเองก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร กลับกัน...เขายินดีที่จะพานิคเดินทัวร์ไปรอบๆ แนะนำห้องวิจัยต่างๆ ให้นิคได้รู้ เปิดตาเปิดโลกให้นิคได้เห็นอย่างเต็มตา ซึ่งนั่นก็ยิ่งตอกย้ำว่าองค์กรเปโตรอะไรเนี่ย มันไม่ได้ล้มเหลวแต่อย่างใด มันดูพัฒนาและก้าวล้ำไปเสียยิ่งกว่าเทคโนโลยีปัจจุบันแล้ว ผลงานที่ออกไปสู่สายตาชาวโลกนั้นก็มาจากงานวิจัยขอแลปนี้ทั้งนั้น ทั้งยารักษา เทคโนโลยียานบิน นวัตกรรมอุตส่าหกรรมต่างๆ รวมไปจนถึงอุปกรณ์สื่อสารที่ก้าวล้ำแบบเห็นคนเป็นๆ ยืนคุยกันอยู่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนมาจากงานวิจัยของที่นี่ทั้งสิ้น

" นี่คือเหล่าคนที่ตกลงร่วมงานวิจัยของเรา" ดร.นริศแนะนำเมื่อเดินมาถึงห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ข้างในห้องใหญ่นั้นก็แบ่งย่อยเป็นห้องๆ อีกทีนึง

    ภายในห้องนั้นต่างก็มีผู้คนมากหน้าหลายตาอยู่ในนั้น ซึ่งสังเกตดูแล้วในนั้นอายุก็ไม่น่าจะมีใครเกิน 25 ปี นิคเหลือบไปมองเห็นเด็กชายคนหนึ่งที่เดาว่าน่าจะไม่เกิน 15 ปีอยู่ในนั้นด้วย

    "เรามีคนที่ยินยอมร่วมงานวิจัยนี้ 9 คน แล้ว ไม่นับรวมกับเธอที่ยังคิดตัดสินใจอยู่" ดร.นริศอธิบายเสริม เขามองลอดแว่นกรอบดำไปที่ห้องนั้น " เด็กๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งทั้งนั้น พวกเขาไม่ต่างอะไรกับเธอเลย พวกเขาโดนสังคมกีดกันและแบ่งแยก บางคนถึงกับต้องหนีไปใช้ชีวิตอยู่ตามป่าเลยก็มี เด็กคนนั้นฉันไปพบเขาตอนที่เขากำลังจะโดนเสือขย้ำ"

    ดร.นริศชี้นิ้วไปยังเด็กน้อยคนนั้น ดวงตาสีน้ำผึ้งนั้นจ้องกลับมาเหมือนกันทำเอานิคขนลุกซู่ นัยน์ตาของเด็กคนนั้นดูเย็นชาและไร้ความรู้สึก เป็นเด็กที่ดูแล้วน่าสงสารกว่าตัวเขาเองมากนักเลยทีเดียว

    "พวกเรามีเยอะกันมากขนาดนี้เลยหรอเนี่ย...." นิคพึมพำอย่างไม่น่าเชื่อ ที่ผ่านมาเขาคิดว่ามีแค่เขาเพียงคนเดียวที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้มาตลอด

    "ใช่...และฉันคิดว่ามีมากกว่านี้อีกแน่นอน นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมฉันถึงเจาะกลุ่มเป้าหมายเป็นพวกคนแบบนาย ฉันต้องการให้พวกนายได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้น ได้อยู่ในสังคมโดยที่ไม่ต้องโดนกีดกัน แลกกับการได้ร่วมงานทดลองวิจัยของฉันซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่วินวินทั้งสองฝ่าย ฉันอยากให้นายได้เข้าร่วมงานวิจัยนี้นะนิค" ดร.นริศหันกลับมายิ้ม

    "คือ...ผมคิดว่า ผมตัดสินใจแล้วครับ" นิคอ้ำอึ้ง

    "นายยังไม่ต้องรีบตัดสินใจตอนนี้ก็ได้ เราเหลือเวลาอีกตั้ง 5 วันสำหรับการตัดสินใจ ฉันอยากให้นายได้ใช้ชีวิตพักผ่อนหลังจากที่เจอกับเรื่องร้ายๆ มาตลอด 19 ปีนี้ได้อย่างเต็มที่ และฉันสัญญาว่าชีวิตหลังจากนี้...หมายถึงหลังจากที่นายได้ตกลงเงื่อนไขแล้วน่ะนะ ฉันสัญญาว่าชีวิตนายจะต้องดีกว่านี้แน่นอน ชีวิตนาย...นายเลือกได้"

    ประโยคสุดท้ายทำเอานิคถึงกับอึ้งไปเลย ไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้ได้ดีที่สุดในวันนี้ นั่นสินะ...ชีวิตของเรานี่นา เราได้โอกาสที่จะเลือกแล้ว ทำไมเราจะไม่เลือกให้มันดีล่ะ

    "นายจะเข้าไปข้างในนั้นก็ได้นะ...จะได้สนิทกันไว้" ดร.นริศบอก

    "เอ่อ...ไม่เป็นไรดีกว่าครับ" นิคปฏิเสธ

    "เอาน่า...อย่างน้อยนายก็จะได้รู้จักกันไว้" ดร.นริศยังคงยืนกราน ซึ่งนิคเองก็ยอมเข้าไปแต่โดยดี

    ภายในห้องนี้เหมือนเป็นห้องพักเด็กเล็กยังไงยังงั้น ต่างกันตรงที่ว่ามีแต่พวกเด็กวัยรุ่นเป็นหลักมากกว่า ซึ่งแต่ละคนก็มากหน้าหลายตาเพราะคงมาจากหลายสถานที่สินะ บางคนก็ยังคงมีผ้าพันแผลปิดไว้ บางคนก็นิ้วขาดไปสองนิ้ว บางคนก็ตาบอด คนเหล่านี้คงเจอเรื่องร้ายๆ มามากสินะ ไม่แปลกที่พวกเขาจะมารวมตัวกันในที่นี้

    นิคเดินไปเรื่อยๆ เหมือนอากาศธาตุ ซึ่งพวกนั้นก็ไม่มีใครสนใจเขาเช่นกัน เด็กหนุ่มเดินจนมาหยุดอยู่ตรงที่เด็กดวงตาสีน้ำผึ้งนั้นยืนอยู่ เขาจ้องมาที่นิค ดวงตาของเด็กคนนี้ว่างเปล่าคาดเดาความรู้สึกอะไรไม่ได้เลย ให้ตายสิ...รู้สึกแปลกชะมัดที่ถูกมองด้วยสายตาแบบนี้

    "ไง..." นิคเริ่มต้นด้วยการทักทายก่อน ซึ่งเด็กคนนี้ก็ยังคงไม่โต้ตอบอะไรเช่นเดิม "ชื่อจินสินะ....ถ้าป้ายชื่อนี้ไม่ผิด ฉันนิคนะ...ยินดีที่ได้รู้จัก"

    เด็กน้อยคนนั้นตอบกลับด้วยการนิ่งเงียบก่อนจะหันหลังเดินออกไปอย่างไม่ใยดี เป็นเด็กที่เย็นชาชะมัด

    "เขาไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าน่ะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของนิค "เด็กนั่นเจอเรื่องร้ายมามากเสียกว่าเราจะเข้าใจได้ เขาเลยไม่ไว้ใจใครเท่าไหร่ อ้อ...ฉันคชา"

    "นิค..." เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ มองชายคนที่อยู่ตรงหน้านี้คงจะอายุ20 กว่าๆ แน่ๆ เพราะรูปร่างเขาสันทัดเกินกว่าวัยรุ่นทั่วไปเสียอีก ใบหน้าของเขาดูคมจมูกเป็นสัน ดูหล่อเหลาเกินกว่าจะเร่ร่อนเสียอีก

    "นายคงพึ่งมาสินะ" คชาถามต่อ นิคเองก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเก้ๆ กังๆ นิครู้สึกเคอะเขิลเล็กน้อยกับการที่มีคนมาตีสนิทแบบนี้

    "ฉันเป็นคนแรกที่ได้เข้ามาอยู่ที่นี่น่ะ เป็นเวลาแรมปีเลยทีเดียวแหล่ะ ดร.นริศมาเจอฉันตอนที่พวกนั้นกำลังจะโยนฉันลงน้ำ" คชาร่ายยาวเหมือนรู้จักกันมาแรมปี "ฉันได้ยินมาว่างานวิจัยของ ดร.นริศนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่"

    "หมายความว่ายังไง..." นิคตั้งคำถามขึ้น

    "แล้วนายจะรู้เอง..." คชายิ้มพร้อมตบบ่านิคเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป

    หมายความว่ายังไงกันที่ไม่ธรรมดาน่ะ สรุปแล้วดร.นริศกำลังวิจัยเกี่ยวกับอะไรกันแน่นะ...แต่ก็ช่างเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้วเขาเองก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

+++++++++++++++++++

    5 วันต่อมา

    ดร.นริศเรียกรวมตัวเหล่าเด็กๆ ผู้ร่วมงานวิจัยทดลองมาที่ห้องแลปใหญ่ที่สุดของตึก เด็กๆ 10 คน ยืนเรียงกันอยู่หน้าเครื่องประหลาดๆ ที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ มันมีจำนวน 10 เครื่องตามจำนวนเด็กๆ อย่างพอดี นักวิจัยหลายคนสวมชุดกาวน์สีขาวเดนกันให้วุ่นทั้งห้อง ดูๆ แล้วใจนิคก็เต้นถี่รัวขึ้นทุกที มันน่าใจหายอยู่นะที่เขาจะถูกยัดเข้าเครื่องประหลาดนั่น ถูกทดลองอะไรบ้างที่ตัวเขาเองก็ไม่มีทางรู้ได้ ตอนนี้เหงื่อเริ่มออกมือนิคแล้ว

    "เอาล่ะ....ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง" ดร.นริศกล่าวเปิด ในมือเขาถือแท็บเลตที่เหมือนมีข้อมูลหลายๆ อย่างวิ่งอยู่ในนั้น "ฉันคิดว่าทุกคนคงเตรียมตัวเตรียมใจกันมาพร้อมแล้วพอสมควร และฉันขอกล่าวย้ำคำเดิมว่าไม่มีอะไรที่พวกเธอต้องกังวล งานวิจัยนี้จะเปลี่ยนชีวิตของทุกๆ คนฉันเชื่ออย่างนั้น พวกเธอจะเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยที่ยิ่งใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านโลกใบนี้ พวกเธอจะถูกจารึกไว้ในประวิติศาสตร์โลก"

    นิครู้สึกเหมือนมีมือใครบางคนบีบรัดมือเขาไว้แน่น เขาก้มไปมองดูเห็นเด็กตาสีน้ำผึ้งนั้นกำลังตัวสั่นเทาอยู่ จินคงกำลังกลัวอยู่สินะ...โถว่...เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำสินะ นิคเอามืออีกข้าลูบศรีษะจินเพื่อปลอบประโลม

    "ทุกอย่างจะไปได้ด้วยดี" นิคพูดปลอบ

    "ทุกคนเดินเข้าที่เครื่องที่มีหมายเลขตามข้อมือของตัวเองได้เลย" ดร.นริศสั่งการ นิคก้มมองที่แขนของตัวเอง

    หมายเลข 10

    เครื่องหน้าตาประหลาดส่งเสียงร้องหวีดทันทีเมื่อถูกเปิดเครื่อง ข้างในนั้นดูแออัดให้ความรู้สึกเย็นวาบเหมือนเป็นโรงเย็นสำหรับเก็บศพยังไงยังงั้น ตอนนี้ขาของนิคเริ่มสั่นผับแรงขึ้นกว่าเดิม บางคนเริ่มตื่นตระหนกและร้องโวยวายขึ้น แต่ก็ถูกชายชุดดำสองสามคนควบคุมตัวเอาไว้ บ้าชิบ...ทำไมมันดูไม่ปลอดภัยแบบบี้นะ จินที่อยู่ตู้ถัดไปเริ่มร้องไห้ออกมาแล้ว แต่เขาก็ยังแข็งใจนอนลงไปอยู่ดี น่าแปลกที่ขนาดของเครื่องนี้พอดีกับตัวอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนกับถูกวัดและคำนวนมาแล้วอย่างนั้นแหล่ะ

    เอาวะ....

    นิคนึกในใจ เขาต้องทำใจดีสู้เข้าไว้ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดน่า เขามาถึงขั้นนี้แล้ว นิคค่อยๆ นอนลงไปในเครื่องประหลาดๆ นี้ ข้างในนี้มันช่างเย็นเฉียบและกลิ่นฉุนเหมือนโรงพยาบาล ทันทีที่เด็กหนุ่มนอนแนบลงไปนั้นเครื่องนี่ก็ปิดฝาลงทันที เตียงที่นิคนอนอยู่ก็เริ่มบีบรัดแรงขึ้น เป็นจังหวะที่นิคนึกตัดสินใจได้แล้ว

    "หยุดได้แล้ว!!!" นิคตะโกน "พอได้แล้ว ไม่เอาแล้ว หยุดเถอะ!" นิคตะโกนสุดเสียง แต่ข้างนอกนั้นเหมือนจะไม่ได้ยินเขา ตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว เครื่องบ้านี่ก็เริ่มบีบรัดเขาแรงขึ้น จนกระทั่ง......

    โอ้ยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!

    เหมือนมีเข็มแหลมๆ หลายสิบด้ามแทงเข้าที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ไม่วายยังรู้สึกเหมือนฉีดอะไรบางอย่างเข้าสู้ร่างกายจนมันปวดและร้อนวาบไปทั้งตัว นิคทั้งดิ้นและร้องโหวกเหวก สายตาของเขาตอนนี้เริ่มพร่ามัวแล้ว มันค่อยๆ มืดลงและจากนั้น ทุกอย่างคือดับสนิทไป.......

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!