เจ็บ...นั่นคือความรู้สึกแรกที่ผมรู้สึกได้หลังจากที่ ผมลืมตาขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยม เพดานสีขาวโพลน ปรือตามองรอบ ๆ โต๊ะไม้สักทองขนาดใหญ่ ข้างบนมีป้ายชื่อแกะสลักชื่อของเจ้าของ [นางเอมอร ฉัตรศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียน] ‘นี้ผมเข้ามาอยู่ที่นี้ได้ยังไงกัน ให้ตายเถอะ’ นึกย้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างทั้งร่างที่หนักอึ้งเหมือนคนที่โหมออกกำลังมาเป็นอย่างหนัก ผมลองคลำดูช่วงซี้โครงซ้ายเผื่อว่ามันจะเป็นเพียงฝัน แต่ความปวดร้าวบริเวณหน้าท้องยังคงหลงเหลืออยู่กลับเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นเป็นเรื่องจริง ผมค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง
"โอ้...ตื่นแล้ว" น้ำเสียงคล้ายโล่งใจดังขึ้น
ผมเบนสายตาไปทางต้นเสียงก็พบหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่ง เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังประจำตำแหน่ง แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบสีกากีแว่นตาสีทองพร้อมสายคล้องลูกปัด ที่คาดไว้ข้างบนหัว ‘นั่นมันผู้อำนวยการโรงเรียนไม่ใช่หรอ!’ ผมเด้งตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้เพื่อทำความเคารพ รู้สึกเจ็บแปลบที่ขยับตัวเร็วเกินไป ผมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู ประดับประดาด้วยกรอบรูปเกียรติบัตร และ ถ้วยรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันต่าง ๆ
"รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ" เสียงนุ่มนวลเอ่ยเรียกสติของผมอีกครั้ง
"คะ..ครับ" ผมเผลอตอบไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ผมมาโผล่อยู่ในห้องของผู้อำนวยการโรงเรียนได้ยังไง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าคืออะไร แล้วหมาป่าล่ะ ผมฝันอย่างนั้นหรือ แล้วความเจ็บปวดตรงท้องนี่อีกละ สิ่งที่วนเวียนอยู่ภายในหัว
"เพื่อนทั้งสองของเธอพามาที่ห้องนี้ ส่วนเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ฉันคิดว่า คนที่จะตอบเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ก็คงจะต้องเป็นพวกเขาทั้งสองนั่นแหละ" คล้ายกับมองออกหญิงวัยกลางคนเจ้าของห้องจึงได้เอ่ยไขข้อข้องใจให้
แสงแดดอ่อนลอดผ่านหน้าต่างส่องเข้ามากระทบใบหน้าของผม สีท้องฟ้าข้างนอกถูกย้อมไปด้วยสีส้มหม่น จวนจบแสงสุดท้ายของวันแล้วสินะ ถ้าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความฝัน ฝันครั้งนี้คงเป็นฝันที่แฟนตาซีที่สุดตั้งแต่ผมเกิดมาแต่เมื่อสำรวจตัวเองแล้ว แผลที่เจ็บแปลบ ๆ บริเวณ ท้อง รับประกันได้เลยว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง
“สองคน” ผมทวนคำพูด ผ.อ. เบา ๆ เพื่อนสองคน หรือว่า…
ลมหายใจสะดุดกึก
“เข้ามาสิ” สิ้นเสียงของ ผ.อ. ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผมหันไปมองผู้มาใหม่ก็พบกับเด็กนักเรียนทั้งสองคน คนแรกเป็นเด็กชายสูงโปร่ง ผิวสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาสีดำและรอยยิ้มที่ดูขี้เล่น กำลังพยายามที่จะยัดเสื้อนักเรียนที่หลุดลุ่ยเข้าไปในกางเกงนักเรียน ส่วนข้าง ๆ เขา เป็นเด็กหญิง เธอสวมฮูดแขนสั้นสีแดง ใบหน้าสวย ๆ ของเธอแต่กลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม แววตาไม่สบอารมณ์ของเธอดูเย็นชาเมื่อเทียบกับชายผิวเข้มที่ยืนข้าง เธอถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
ผมพยายามเค้นความทรงจำสุดท้ายของผมออกมา ‘เด็กชายคนนี้คือคนเดียวกับ คนที่พูดภาษาแปลก ๆ เมื่อตอนนั้นเขาร่ายคาถาม่านพลัง และลูกไฟ เออ อะไรสักอย่าง ช่วยผมจากหมาป่าเงา ส่วนนักเรียนหญิงอีกคนที่สวมฮูดสีแดงก็คงจะเป็นคนที่ร่ายคาถาก้อนแสงสว่างที่เผาหมาป่าตัวนั้น’
"ไง เด็กใหม่ เกือบตายแล้วไหมล่ะ" เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น "เรากาย"
“สวัสดี เราชื่อแพรวา” แพรวา พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผิดกับกาย
“สวัสดี ผมชื่อโอมครับ” กายยิ้มรับคำตอบของผมพร้อมกับขยับตาให้หนึ่งที ส่วนแพรวายังคงรักษาท่าทางเฉยชาได้เป็นอย่างดี
“ทั้งสองคน ช่วยเล่าให้โอมฟังหน่อยได้ไหมว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นคืออะไร” ขอบคุณ ผ.อ. เอมอร ที่ช่วยเปิดประเด็นแทนผม เพราะหากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ได้รับคำตอบผมคงลงแดงตาย
“งั้นผมเริ่มก่อนละกันครับ " กายเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงความกระตือรือร้นไว้เต็มเปี่ยม
“สัตว์ประหลาดที่นายเจอคืออสูรแห่งนาธาร ถ้าจำไม่ผิดมันน่าจะชื่อว่า วกะ มั้ง มันมาเพื่ออะไรไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ มันจ้องจะเอาชีวิตนาย” ขอบคุณสำหรับคำตอบ ช่วยได้เยอะจริง ๆ ผมแอบประชดในใจ แต่ทว่าประโยคสุดท้ายทำเอาผมสะเทือนใจไม่น้อย กับการถูกตั้งค่าหัวเป็นเป้าหมายของพวกหมาป่าพวกนั้น
“พวกมันมาได้ยังไง มาจากไหน ทำไมนักเรียนคนอื่น ๆ ถึงมองไม่เห็นละครับ แล้วพวกคุณรู้จักพวกมันได้ยังไง” ผมไม่รอช้า ยิงคำถามใส่เพื่อนใหม่ทั้งสองคนทันที ผมรู้สึกงงและสับสน ภาพของหมาป่าเงาที่โผล่ออกมาจากเงาของเพื่อนร่วมชั้นในตอนนั้นยังคงติดตา เสียงที่มันเอื้อนเอ่ยมายังตราตรึงในความทรงจำ
“เอาละ ใจเย็น ๆ ก่อน เดี๋ยวให้แพรวาช่วยอธิบายเพิ่มเติม ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เสียงของ ผ.อ. เอมอร ช่วยหยุดความคิดฟุ้งซ่านของผม ก่อนจะยกหน้าที่ไขข้อสงสัยทั้งหมดที่ผมมีไปที่แพรวา
แพรวาถอนหายใจ พร้อมตวัดตามองผมเล็กน้อย ก่อนที่จะเริ่มอธิบาย
“พวกเราเรียกตัวเองว่าผู้ถูกเลือก มีเพียงผู้ถูกเลือกเท่านั้น ที่เห็นและต่อสู้กับสัตว์ประหลาดพวกนั้นได้ ผู้ถูกเลือกทุกคนล้วนมีความพิเศษในตัว แต่ความพิเศษนั้นก็ต้องแลก กับชีวิตปกติของนาย นายจะไม่สามารถกินข้าว ดูหนัง เดินเล่น ช้อปปิ้งได้เหมือนอย่างเคย นั่นก็เพราะว่า พวกมันสามารถโผล่ออกมาได้ทุกที่บนโลก และพวกมันพร้อมที่จะสังหารนายได้ทุกเมื่อ ส่วนพวกมันมาได้ยังไง มาจากไหน ข้อนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราเพียงต่อสู้และป้องกันตัวเองก็เท่านั้น”
คำตอบของแพรวาทำให้ผมกระจ่างขึ้นมาบ้าง แต่สถานะผู้ถูกเลือกนั้นผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ "ผู้ถูกเลือกที่ว่าคืออะไรครับ แล้วมีหน้าที่อะไรหรือครับ แล้วถ้าหากว่า..."
หลังจบคำถามของผม ทุกคนต่างนิ่งเงียบคล้ายกับจมอยู่กับความคิดของตัวเอง จนกระทั่งกายเป็นคนทำลายความเงียบงันนั่น
“พวกเราไม่มีหน้าที่ หรอก จะว่าไงดีล่ะ เอาเป็นว่าผู้ถูกเลือก ต่างถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่ต้น ขึ้นอยู่กับว่าพลังของแต่ละคนจะตื่นขึ้นมาตอนไหน บางคนก็โชคดีหน่อยพลังตื่นขึ้นมาก็มีผู้ชี้นำมาเจอแล้วก็สอนใช้พลัง แต่บางคนก็โชคร้ายถ้าพลังตื่นขึ้นมาแล้วดันไปเจอพวกสัตว์ประหลาดพวกนั้นเข้าก็ไม่รอด พวกเราเลือกไม่ได้ว่าจะเป็นหรือไม่เป็น หรือต่อให้นายไม่อยากเป็นผู้ถูกเลือกสุดท้ายแล้วโชคชะตาก็จะบีบบังคับให้นายก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น เพื่อต่อสู้กับไอ้พวกสัตว์ประหลาดพวกนั้น โลกของเราไม่ได้มีแค่หมาป่าเงาตัวเดียวหรอกนะ มันยังมีปีศาจอีกมากที่จะตามล่านาย”
ผมสัมผัสได้ว่าหน้าของผมต้องซีดเหมือนกระดาษ มือ เท้าเย็นเฉียบ ลมหายใจติดขัด ผมกลืนก้อนสะอึกลงคอ คำตอบของเรื่องนี้ช่างเลวร้ายเหลือเกิน ราวกับผมได้เข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องวุ่นวายที่ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าสายไฟประเทศไทย ชีวิตของผมต่อจากนี้อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ผมต้องเจอกับสัตว์ประหลาดที่ต้องมาคอยลุ้นว่ามันจะโผล่ออกมาตอนไหน ตอนนี้ในหัวผมโล่งไปหมดเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด คำพูดบางคำที่กายพูดไว้สะกิดใจของผม
“โชคชะตา” คำนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ผมพยายามนึก ทันใดนั้นคล้ายได้ยินเสียงแว่วลอยมากับสายลม "ข้าจะตามล่าเจ้า ช่วงชิงโชคชะตาของเจ้า" ก่อนที่หมาป่ายักษ์จะดับสลาย มันได้เอ่ยวาจาไว้...
“นายก็แค่ต้องจัดการมันก่อน ก็แค่นั้นจะไปยากอะไร” เสียงของแพรวาฉุดผมขึ้นมาจากภวังค์ แววตายังคงเฉยชาไม่เปลี่ยนแปลง เธอพูดราวกับว่าเธอผ่านการต่อสู้กับพวกสัตว์ประหลาดพวกนั้นมานับร้อยครั้งนับพันครั้ง เธอสูดลมหายใจก่อนอธิบายต่อ
“นายคิดว่าโลกของเรามีแค่ต้นไม้ ภูเขา ผู้คน สัตว์ป่า อย่างงั้นเหรอ ใช่ เพราะสิ่งเหล่านี้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี อย่างเช่น เรื่องที่เกิดขึ้นกับนาย จักรวาลใบนี้เกิดขึ้นมาตอนไหน ใครเป็นคนสร้าง นั้นก็หาคำตอบของเรื่องนี้ไม่ได้ แต่มีความจริงสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้ คือการก่อเกิดและการดับสูญ พลังทั้งสองก่อให้เกิดพลังงานรูปแบบหนึ่ง พลังงานจะถูกหมุนเวียนในระบบเหมือน หยินหยาง แทนการก่อเกิดเสมือนสีขาว แทนฝั่งดับสูญเสมือนสีดำพลังทั้งสองขั้วต่างก็มีสมดุลตรงกลาง พวกเราและนายคือเส้นแบ่งของพลังงานนี้ ผู้ถูกเลือกอย่างเราเปรียบเสมือนผู้พิทักษ์สมดุลป้องกันไม่ให้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งรุกล้ำเข้ามาซึ่งกัน”
น้ำเสียงราบเรียบของแพรวา ทว่ากลับทำให้คนฟังอย่างผมรู้สึกหนักอึ้ง เรื่องราวที่ได้รับฟังล้วนไม่เคยอยู่ในความคิดของผมเลย สำหรับผมแล้วเวทมนตร์คาถาล้วนเป็นเพียงเรื่องเล่าที่สร้างสรรค์จากจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น มันไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นจริงได้
“แล้วทำไม คนทั่วไปถึงไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขาควรได้รู้และป้องกันตัวนะครับ”
“ผิดแล้วพ่อหนุ่มผู้รักสันติ นายคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้น นอลมิก เออ ฉันหมายถึงคนทั่วไปน่ะ นายคิดว่าพวกเขาจะเชื่อนายเหรอ? เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีเหตุผล และพิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์น่ะเหรอ.. พวกเราเล่าผู้ที่ถูกเลือกล้วนทำตัวกลมกลืนไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปบนโลก บอกเล่าเรื่องราวของโลกอีกด้านด้วยเรื่องเล่าไม่มีมูลความจริง นิทานก่อนนอน นิยายปรัมปรา เพื่อทำให้โลกอีกฝั่งเป็นเพียงจินตนาการ และอีกเหตุผลคือปกป้องผู้คนเหล่านั้นจากความจริงอันโหดร้ายนี้”
กายพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบราวกับพูดถึงเรื่องฝนฟ้าอากาศทั่วไป แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนว่าโลกใบเดิมที่ผมรู้จักไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องโกหกก็คงไม่จริงเพราะแผลตรงซี้โครงด้านซ้ายยังสร้างความเจ็บปวดให้ผมจนถึงตอนนี้ แถมคำตอบของกาย ยิ่งเป็นการตอกย้ำเรื่องราวที่เกิดขึ้น โลกใบเดิมที่ผมเคยอยู่ ใช้ชีวิต กิน เที่ยว ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปอย่างปกติ เพราะความจริงพวกนี้ไม่ถูกล่วงรู้ หากผู้คนรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความปกติสุขคงหายไปตลอดกาล ผมถอนหายใจแม้ว่าสิ่งที่พบเจอจะน่าแปลกประหลาดไปสักหน่อยแต่ทว่าวูบหนึ่งในความรู้สึกของผมกลับมีระลอกความตื่นเต้นผุดขึ้นมา ชีวิตเรียบง่ายและน่าเบื่อเดิม ๆ ของผมอาจจะถูกแทนที่ด้วยความจริงนี้
“ในเมื่อผมเลือกไม่ได้ ผมก็ไม่อยากเอาแต่วิ่งหนี ผมอยากสู้ครับ ผมอยากแข็งแกร่งขึ้น” ผมตัดสินใจในเสี้ยววินาทีนั้น ในเมื่อชีวิตผมโดนลิขิตมาเป็นอย่างนี้ ผมจะสู้เพื่อความอยู่รอดของผม
“หนทางเดียวในตอนนี้ก็คือนายจะต้องฝึก ใช้พลังของนายให้ช่ำชอง มีเพียงเวทมนตร์เท่านั้น ที่จะต่อกรกับพวกมันได้”
“ครับ” ผมรับคำ ม่านพลังที่เด็กชายผิวเข้มที่ชื่อกายร่ายออกมา กวางสีทองที่โผล่ออกมาจากหนังสือ รวมถึงก้อนแสงที่เด็กสาวเสื้อแดงคนนั้นเรียกออกมาทุกอย่างล้วนมาจากสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์สินะ
“ดีมากจ้ะ แต่ก่อนที่เธอจะเรียนรู้เวทมนตร์มีสิ่งหนึ่งที่พวกเราต้องเล่าให้เธอฟังก่อน นานมาแล้วที่สรรพสิ่งได้ถือกำเนิด เราเรียกขานพลังแห่งการก่อเกิดที่เปรียบดั่งผู้สร้างว่า ลูฟ หรือ ลูมอส และเรียกพลังแห่งการดับสูญที่เปรียบดั่งผู้ทำลายว่า อาร์ค หรือ นาธาร ว่ากันว่านาธารได้ก่อกำเนิดอสูรรับใช้ทั้งสิบสองตนขึ้นเพื่อทำลายล้างและครอบครองเอกภพ พวกมันเข้ามายัง ลูเคีย หรือ โลกของเราผ่านทาง เงา แน่นอนงานของเหล่าผู้ที่ถูกก็คือการต่อสู้กับพวกอสูรแห่งนาธานไม่ให้มารุกกล้ำเข้ามา”
ผมฟัง ผ.อ. เอมอร อย่างตั้งใจ แต่กลับรู้สึกเหมือนฟังผู้ใหญ่นั่งเล่านิทานก่อนนอนให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลก่อนที่ผมจะเคลิ้มไปมากกว่านี้ ผ.อ.เอมอร ตบท้ายด้วยประโยคคำถาม “เธอมีอะไรข้องใจอีกไหม โอม
“มีครับ ตอนสู้กับหมาป่าเงา มันบอกว่ามันชื่อ 'วกะ' เป็นอสูรลําดับที่สิบเอ็ด ที่สำคัญมันพูดภาษามนุษย์ได้ด้วยครับ” แต่ละคนดูแปลกไป ผมสังเกตท่าทีของแต่ละคนรอบตัว ดูเหมือนว่ากายจะออกอาการกระอักกระอ่วนใจมากที่สุด
“มันเป็นเรื่องแปลกที่วกะจะปรากฏออกมาในตอนนี้ ปกติฉันจะเจอแต่อสูรปลายแถว ใช้คาถาไม่กี่บทก็เก็บกวาดเรียบร้อย แต่ครั้งนี้ต่อให้ให้ร่ายคาถาบทใหญ่ที่ไม่เคยคิดจะใช้มาก่อนแต่กลับทำได้เพียงไล่มันกลับไป เหมือนกับว่ามีใครบงการมันหรือมีอะไรกระตุ้นมันให้ออกมา” แพรวาอธิบายเพิ่มเติม
“เดี๋ยวนะเธอใช้คำว่าไล่ หมายความว่ามันยังไม่ตายเหรอ” สีหน้าของผมซีดลงเมื่อรู้ว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงการไล่มันไปเท่านั้น
“ใช่ พลังของฉันในตอนนี้ทำได้เพียงขับไล่มันกลับไปสู่ความมืด”
“ก็บอกแล้วว่ามึงอ่ะ ซวย ดันไปเจอตัวเป้งเข้า” กายพยายามพูดติดตลกเพื่อดึงสถานการณ์ให้ดีขึ้น
ผมไม่แน่ใจว่ามีเรื่องตกใจกี่ครั้งแล้วหลังจากลืมตาขึ้นมาภายในห้องพักของ ผ.อ. เอมอร ประโยคสุดท้ายก่อนที่หมาป่าเงา วกะ จะอันตรธานหายไป ผมคล้ายได้ยินเสียง... “วันหนึ่งความมืดจะกลืนกินหมดทุกสิ่ง...” หรือว่าที่มันปรากฏตัวจะเกี่ยวกับความมืด มันต้องมีแผนร้ายอะไรสักอย่างแน่ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่พวกมันจะออกล่าโดยไม่ทำอะไร ผมได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้ในใจเพราะไม่แน่ใจนักว่าจะมีใครให้คำตอบแก่ผมได้
“ตอนผมต่อสู้กับหมาป่าเงา หนังสือของผมเรืองแสงด้วยครับ พวกคุณมีไหมครับ” ผมชี้ไปที่หนังสือหนังเก่าที่ผมได้มาจากหญิงชราคนหนึ่งพลันนึกย้อนกลับไปเรื่องราวแปลก ๆ พวกนี้เริ่มต้นจากประโยคสุดท้ายในหนังสือเล่มนี้ที่ผมเผลอตอบคำถามมัน
ผ.อ. เอมอรยิ้มแล้วตอบคำถาม “พวกเราทุกคน ล้วนมีสิ่งของที่เป็นพันธะผูกพัน บางคนก็เป็นไม้กายสิทธิ์ ไม้เท้า ลูกแก้ว และอย่างในกรณีของเธอ ก็เป็นหนังสือ ผู้ถูกเลือกที่มีหนังสือเป็นพันธะน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่พวกนาธารพุ่งเป้าไปที่เธอก็ได้” ผ.อ. อธิบายอย่างใจเย็น พร้อมสีหน้าและแววตาที่เป็นห่วง
แพรวาหยิบเหรียญสิบบาทออกมา เธอโยนมันขึ้นไปหนึ่งเหรียญ ส่วนกายก็ทำเหมือนกัน “ทวิธาตุแห่งเหรียญตรา เทร เดียส ” สิ้นเสียงประสานคาถาปรากฏวงเวทบนพื้นที่ทั้งสองยืนอยู่ เหรียญสิบที่โยนขึ้นไปในอากาศก็หายไป ปรากฏเป็นไม้เท้าขนาดพอดีอยู่ข้างลำตัวของแพรวา ส่วนกายมีกิ่งไม้แห้ง ๆ แท่งขนาดพอดีมืออยู่ในมือขวาของเขา
“ของพวกนี้เป็นสิ่งของแห่งพันธะของพวกเธอหรอ”
“อื่ม ของสำคัญแบบนี้ไม่มีใครถือเดินไปไหนมาไหนหรอกนะ แล้วที่สำคัญ เกิดมึงถือของแบบนี้เดินไปไหนมาไหน คนอื่นเขาจะมองว่าบ้าพอดี” ผมค่อนข้างประหลาดใจนิดหน่อยที่ครั้งนี้กายตอบคำถามได้อย่างมีสาระมากว่าครั้งไหน ๆ ผ.อ. เอมอร กระแอมเบา ๆ ก่อนที่เธอจะเอ่ยบอกเรื่องสำคัญ
“ก่อนอื่นต้องขอขอบใจกายและแพรวาที่ช่วยเหลือผู้ถูกเลือกหน้าใหม่จากอสูรแห่งนาธารได้สำเร็จ และนอกจากนี้ยังช่วยไขข้อสงสัยให้กับเขาได้เป็นอย่างดี ผ.อ. เห็นถึงความสามารถและศักยภาพของพวกเธอทั้งสามและ เพื่อที่จะปกป้องพวกเธอจาก สิ่งชั่วร้ายเหล่านั้น การส่งพวกเธอไปเข้าศึกษาต่อที่ โฬม อาจจะเป็นเส้นทางที่เหมาะสมกว่า ผ.อ. จึงอยากถามความสมัครใจของพวกเธอก่อน”
“เยส ผมอยากไปครับ” เสียงของกายดังกว่าใครเพื่อนราวกับเขากำลังรอคอยสิ่งนี้อยู่ แต่แพรวากลับมีท่าทีเฉยชาไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ส่วนตัวผมนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโฬมเลยแม้แต่น้อย
“โฬมที่ ผ.อ. จะส่งพวกเราไปนั้นเป็นสถานที่แบบไหนเหรอครับ”
“โฬมเป็นโรงเรียนเวทมนตร์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ความรู้ต่าง ๆ ถูกรวบรวมและถ่ายทอดที่นั่นพวกเธอจะได้เรียนรู้อะไรอีกมากมาย แต่จุดประสงค์หลัก ก็อย่างที่บอกไป คือการที่จะปกป้องพวกเธอจากสิ่งชั่วร้ายที่จ้องจะเอาชีวิต แต่การจะไปได้นั้น พวกเธอต้องผ่านบททดสอบเสียก่อน”
“บททดสอบอะไรครับ อย่างพวกเราต้องทดสอบอีกหรือครับท่าน ผ.อ.” กายถามกลับ สีหน้าและแววตาของกายในตอนนี้ ดี้ด้าจนออกหน้าออกตา
“ทุกคนที่จะไปที่นั่นได้ต้องผ่านการทดสอบ ผ.อ. ก็บอกไม่ได้ว่าการทดสอบพวกนั้นคืออะไร แต่ละคนจะได้รับบททดสอบที่ต่างกัน ผ.อ. เป็นเพียงผู้ชี้นำไม่สามารถล่วงรู้บททดสอบของ โฬมได้ นี่เป็นเหรียญของผู้เข้าทดสอบ พวกเธอทั้งสามจงนำมันติดตัวไปด้วย ตรงหลักกิโลเมตรที่ศูนย์ ที่แห่งนั้นจะมีประตูเชื่อมไปยังสถานที่ทำการทดสอบ”
พวกเราทั้งสามคนรับเหรียญสีทองขนาดเท่านิ้วโป้งจาก ผ.อ. กายแสดงท่าทีดีอกดีใจจนเอาเหรียญขึ้นมาจูบอย่างรักใคร่ ส่วนแพรวาหลังจากรับเหรียญก็ทำตัวเฉยชาเช่นเคย เรื่องราวการเดินทางของผมกำลังจะเริ่มต้นกับสองคนนี้ ผมเก็บเหรียญที่พึ่งจะได้รับมาเข้ากระเป๋ากางเกง
ในเมื่อมันเป็นโชคชะตาของผม ดังนั้นผมจะขอทำให้มันเต็มที่ อย่างน้อยการเริ่มต้นในครั้งนี้ของผมก็ไม่ได้เริ่มด้วยตัวคนเดียวอีกแล้ว
“ผมตัดสินใจแล้วครับ ผมจะไป โฬม”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 12
Comments