ตอน2
ที่สถานีเบลนดิสกี
เพราะกีร์วางแผนจะไป เนโวสตอกค์แล้วกลับในวันเดียวแบบไปเช้าเย็นกลับ
บนโบกี้ที่ 7 หมายเลขนั่งบนหน้าตั๋วระบุหมายเลขที่นั่งคือ24 รถไฟขบวนชนิดชั้นธรรมดา
กีร์พบที่นั่งสำรองตายตัวห้ามเปลี่ยน "บันทึกบนตั๋ว"
ทันทีที่"กีร์"นั่งลงในระหว่างนั้น
ได้เหลือบตาไปเห็นผู้โดยสารนั่งหน้าพนักที่นั่งตรงกันข้ามเขา
คือ
ได้มีสตรีคนหนึ่ง "สวย"
แต่งตัวเรียบง่าย ที่โดยสารมาจากสถานีอื่นที่มิใช่เบลนดิสกี
ตอนนั้น
เธอกำลังนั่งอ่านหนีงสือพิมพ์
อย่างมีสมาธิและตั้งใจ
ทีเดียว
การตัดสินใจเดินทางสั้นๆในครั้งนี้ไกลกว่า 100 กิโลเมตรจริงๆระยะทางไกลกว่าแต่กีร์ลืมตัวเลขที่แท้จริง
นี้ไป
ที่กีร์ตั้งใจจะเดินทางมากับรถขบวนที่ 433 รถแช่เย็นสายนี้ จอดทุกสถานีและมีตู้สินค้าสีหมอกพ่วงมาด้วย สำหรับ ส่งต่อสินค้าชายแดนระหว่าง
ประเทศ
มันเป็นรถไฟมีหมายเลข
ที่เที่ยวนี้ หัวรถจักรจะเปลี่ยนทุกๆ200กิโลเมตร
เลขที่ขบวนรถไฟคันนี้มีคนโดยสารคนหนึ่งเป็นยายแก่ เคยถูกหวยและมีเคยเป็นข่าวแต่กีร์ไม่ชอบเล่นหวย
และคือไม่ชอบอย่างยิ่ง
กีร์ไม่ได้คิดอะไร? หรือฉุกคิดว่าจะมีอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิ
ตของตนเอง นอกจากการ
"เกิดมาและก็เมื่อได้เวลาก็ตายลง"
คนเรามีแค่นี้
นี่คืออภิปรัชญาของกีร์
ในโอกาสต่อๆ มา " แต่ต่อมาก็มีจนได้ นอกจากการเกิดและการตาย
ที่เดิมกีร์มุ่งมันว่ามีแต่เพียงสองสิ่งนี้เท่านั้นคนเรา
มันเป็นเรื่องยาวเหยียดเสียด้วย" กีร์นึกไม่ถึงเลยว่า"มันจะเกิด"
แต่ตนเองตอนนี้ที่เบาะนั่งนิ่ม
ๆ ตนเองพลันสำรวม
เพราะต้องให้เกียรติสตรีตรงม้านั่งตรงหน้าเขา
กีร์คิดนิดนึง
"เธอเป็นผู้หญิงเพศหญิงนั้นละเอียดอ่อนที่กีร์เรียนมาเราเป็นผู้ชายต้องให้เกียรติสตรี ๆให้กำเนิดลูกคนได้
แต่ชายทำไม่ได้ นี่คือประเด็นหนึ่ง
แบบว่าการถือว่าหญิงมาก่อนคือแบบ "lady first"ถูกต้อง
และกับเธอแต่เธอก็ไม่สนใจอะไ
ร?ตอนนั้นว่ากีร์จะเป็นใคร?
นอกจากหน้าหนังสือพิมพ์ หน้าแรกพาดหัวข่าวใหญ่ๆ"ตัวโป้งไม้" ที่เธอตั้งใจจะเปิดอ่านติดตามรายละเอียดให้จบคอลัมน์นั้น
กีร์สันนิษฐาน
แวบๆ แวมๆต่อมา
กีร์แอบเห็นข้อความที่หน้าหนังสือพิมพ์ลงว่า "มีรัฐประหาร"
ตามปกติ ที่บนรถไฟขบวนนี้มี เด็กขึ้นมาเร่ขายหนังสือพิมพ์ทุก ๆ ขบวนเช้า
ตามปกติ
ชายผู้โดยสารอย่างกี
ร์ ไม่เคบซื้อหนังสือพิมพ์อ่านเพราะตนเองคิดว่าที่แท้จริงตนเองคือหนังสือพิมพ์
เขาชำเลืองมองมาทางเธอบ้างเป็นระยะๆ แบบธรรมชาติของแร่กัมมันตภาพรังสีระหว่างชายหญิงเมื่อเข้าใกล้กันจะไม่ใช่คนรักหรือคนรัก เท่าที่กีร์เชื่อ
เมื่อมันใกล้ๆกัน
มันก็
เหมือนแม่เหล็กมีขั้วที่เข็มลูกศรชี้ไปมันจะมันจะต้องหมุน
หันไปทางทิศเหนือเท่านั้นไม่ว่าจะกระทำอย่างไรกับตัวกล่องเข็มทิศ แผ่นป้ายชี้ทิศจะวางแบบไหนทิศทางใดๆ เข็มทิศมันจะชี้ไปทางเหนือเสมอ
ในทิศของแม่เหล็กโลกจริงๆ โดยเข็มทิศมันจะไม่สนว่ากล่องและป้ายบอกว่าทิศอะไร
แต่เมื่อเราทราบว่าเข็มทิศชี้ไปทางไหนเราก็ปรับทิศและกล่องไปทางทิศที่เราพบว่าเข็มมันชี้ไป
เราก็พบทิศแท้จริงตามป้ายและกล่องกำหนดมานั่นเอง นั่นคือทิศแม่เหล็กโลกที่ไม่เคยเปลุี่ยนเแแปลง
แต่การปรับกล่องและป้ายเราต้องปรับด้วยตนเองให้ถูกต้องตามทิศแท้จริงและทิศของสิ่งสมมุติให้เข้ากันด้วยตัวเราเอง
ขณะที่เธอขยับขาอันขาวๆ อวบๆสวยๆเนียนๆและเนียนๆของเธออย่างระวัง เพียงหยียดอริยาบถเท่านั้น
ใจของกีร์เริ่มคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเธอแต่มิใช่ความใคร่เพราะผู้หญิงเป็นเพศที่ต้องมีเซกส์ไดร์(sex drive)เสมอในทุกอิริยาบถมันเป็นคุณ
สมบัติของหญิง
แล้วมีคำถามว่าชายล่ะมีมั้ยเซกส์ไดรว์(sex drives)
ตอนนี้กีร์ไม่มีความคิดชนิดออฟแฮนด์(off hand) นะ กีร์นั่งคิดปรารภกับใจของตนเอง
ที่ตะเห็นเป็นควสมคิดปฐมฐานคือเห็นแต่สตังค์และความสำเร็จเท่า
นั้นที่ชายต้องมีเสมอจึงจะจัดเป็นชายมีเซกส์ไดร์ได้
กีร์คิดเสียว่ามันควรเป็นในสถานะเช่นนี้
อันนี้นั้นมันแน่นอน แล้วอะไรเป็นคำถามต่อไปสำหรับใจของกีร์
นั่นคือคำว่า
"รัฐประหาร"ตามพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์เช้านี้
สำหรับ
กีร์ไม่สนใจการเมืองและถือว่า
รัฐประหารคือการเมืองชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นกีร์ก็ไม่สนใจเรื่องนี้ด้วย
เพราะว่ารัฐประหาคือการเมือง
ตอนนี้กีร์สนใจขาอ่อนของเธอรึ!คำตอบก็ไม่เชิงว่าจะใช่!
ก็ไม่ใช่อีกสำหรับชายอย่างกีร์
ความรักและเรื่องชีวิตทางกามารมณ์ของกีร์ถูกฝึกปรือมาจากแม่ว่าไว้
แล้วว่า
แม่จะจัดให้ "ห้ามออกนอกกรอบนี้"
จะรักใคร่ชอบใครบอดแม่ก่อน
จะไปขึ้นเคียงนอนกียใคนรบอดแม่ก่อน
หรือถ้าลูกริคิดเที่ยวโสเภณีบอกแม่ก่อน
ไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวกับสตรีเพศ
ถ้าแม่เห็นดีเห็นงามด้วยจึงทำได้แล้วแม่จะให้ๆเงินไปเที่ยวกับคนรักนั้นๆตามจุดประสงค์ของกีร์ได้
กีร์ยอมรับเรื่องนี้มนชีวิตแบบฝังแน่นเอาทีเดียว
แม่อาจจะมิลิตัน(militan)กับลูกเกินไป แต่แนวคิดนี้จากแม่ของตนเอง เป็นของบริสุทธิ์ กีร์ถือว่าอย่างนั้น
หรือว่าแม่จะรักลูกหวงลูกเกินไปเพื่อรักษาพรหมจรรย์ของลูกไว้เพื่อ
อตนเองคือแม่เองเอาลูกทำผัว
แต่แม่ของกีร์ไม่มีความคิเและท่าทีแสดงออกในเรื่องนี้เน่ะ!จวบจนวาระสุดท้ายแม่ผู้บังเกิด้กล้าของกีร์และของกีร์เองได้ตายลงไปแล้ว
แต่วาทกรรมของแม่กีร์ยังผนึกไว้แน่นที่ทรางอกลูกตราบนิจนิรันดร์
ฉะนั้น กีร์เชื่อฟังวาทกรรมของแม่ดีกว่าคนใครอื่นทั้งหมดในโลกใบนี้
ในการมีความคิดกีร์ถือว่าแม่เป็นที่ปรึกษาชีวิตด่านสุดท้ายที่มีอยู่เมื่อ
เกิดมาเป็นคนมาด้วยดีด้วยกัน
กีร์คิดว่าสิ่งที่ตนคิดคัดสินใจนี่นะถูกต้องแล้ว
แม้ตอนนี้ ณ วินาทีนี้
กีร์ก็ยังคงและยังคงรำลึกถึงคำ
ฝึกสอนฝึกปรือสอนลูกของแม่ตนเองอยู่ ชนิด"ไม่ลืม" ประกบฉากเห็นขาอ่อนหญิงสวยๆ ที่อดจะนึกไม่ชอบไม่ได้ ไม่ชำเลืองมองอย่างมีมรรยาทว่าเอาเป็นว่าอยากมองและจ้องมันไปเสียไม่ได้
สำหรับกีร์นั่นยังบริสุทธิ์ไม่รู้
เลยว่าเพศรสจะเริ่มตรงไหนก่อนและอย่างไรเลย ไร้เดียวสาถึงขนาด
แต่กีร์ก็ภูมิใบในตนเองว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐที่เกิดมาเป็นคนแบบนี้
ที่สังคมเขาเรียกว่าอ่อนโลก อะไรอะรายก็ตามมนโลกนี้มันก็ได้อย่างเสียอย่างทั้งนั้น
นี้เป็นบทสรุปทางปรัชญาของกีร์หลังเข้าเรียนวิชาปรัชญาครบ 3 หน่วยกิตที่มหาวิยาลัยเบลนดิสกี เรื่องเดินขบวนอะไรเนี่ยกีร์ไม่เป็นกีร์กลัวการปะทะ กลัวลูกปืน แต่เสียภาษี และมีอุดมการณ์ทางการเมือง รักชาติ
ตามผู้ชนะ กีร์เป็นคนอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ สู้ๆแต่ และคลั้งไคล้แต่ไม่บ้าคลั้งระห่ำเลือดสาด ไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่สังคมเสมอ กีร์มิใช่เด็กปัญญาอ่อน
เชื่อมั่นในหลักนิติธรรม นั่นมีจริง
แม้ตนเองยังไม่แต่งงานและแม่ตนเองก็ตายไปแล้วตอนนี้
ใจเริ่มเลื่อนลอย
แต่กีร์ก็วกกลับมาที่
ข่าวเรื่องรัฐประหาร
"เพราะรัฐประหารก็เป็นการเมือง"
กีร์คิดอย่างถูกมุม
ตอนนี้
ทุกอย่างบนสังคมคนโดยสารรถไฟ
"มันเป็นธรรมดา ระหว่างเพื่อนผู้โดย
สาร ที่จะมองหน้าแล้วผ่านไปมองเป็นอย่างอื่น
มีแบบนี้กันบ้างและที่จะคุยกันนิดนึงบ้าง แบบว่าไปไหน อะไรทำนองนี้
แม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน"
"เพรารถไฟถ้าจะชนกันหรือมีอุบัติเหตุรถไฟตกราง หรือมีเหตุร้าย จะเกิดเมื่อใดกับรถไฟขบวนนี้ไม่มีใครรู้ ล่วงหน้า นั้นคือมั่นใจ
สิ่งที่มั่นใจต่อไปสำหรับกีร์คือ
มันมิใช่รัฐประหารที่เบลนดิสกีแน่นอนเพราะเบลนดิสกีไม่มีการเ
มืองชนิดนี้ สงสัยเป็นเมืองใดเมือง
หนึ่งของโลกที่มีอิทธิพลทาวเศรษฐกิจและการทหารชนิดเข้มข้นอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่
หรือมิจฉาชีพกุข่าวลวงโลกหรือมุขของเฟคนิวส์(fake news) หรือว่าเป็นข่าวหนังสือแฟนตาซี(Fantacy) ทำขึ้นมาให้เร้าใจคนอ่านสนุกก็เป็นได้เพื่อหนังสือพิมพ์จะได้ขายดิบขายดี
อนึ่งตอนกีร์เรียนหนังสือวิชาหลักคือที่คณะเศรษศาสตตร์สากล มหาวิทยาลัยเบลนดิสกีทุนส่วนตัว พ่อแม่ส่งเรียน
ในมหาวิทยาลัย มีเพื่อนรักของกีร์คนหนึ่งเคยประสบภัยรัฐประหารด้วยตนเองในเมืองที่ห่างไกลจากเบลนดิสกีมาก
เพื่อนคนนั่นชื่อว่า"เจวา"ๆบอ
กว่า
เดินทาง ไปเที่ยวพักร้อนทางไกลพบเหตุรัฐประหารเกิดขึ้นที่นั่น
แต่มิใช่ในสนามรัฐประหารส่วนกลางของเมืองหลวง แต่เป็นเหตุการณ์บนรถโดยสารที่เจวาโดยสารไปทางถนนสายใหญ่เข้าเมืองหลวงแต่ห่าง
ไกลจากเมืองหลวงมากตอนนั้นเจวาจำได้ว่าเป็นรถโดยสารขาออกจากเมืองหลวงเป็นรถประจำทางขาออกเป็น รถประจำทางชนิดติดแอร์
เจวากำลังนั่งอยู่บนรถโดยสาร
รถหยุดทันที เมื่อนายทหารเป็นสารวัตทหาร2นายในเครื่อวแบบมีอาวุธปืนสงครามในครอวครอง
ได้โบกรถโดยสารที่"เจวา"เดินทางมา
ให้รถโดยสารหยุด
"รถจอดทันที"
เจวาพบว่าทหารถือปืนสะพายที่โบกรถให้หยุดนั้นและขออนุญาตตรวจค้น
อาวุธ
ทุกคนทุกที่นั่งไม่ยกเว้น
เจวาถูกตรวจหนังสือเดินทางและกระเป่า
เมื่อเขาตรวจทหารทั่ง2คนก็เดินลง
จากรถโดยสารที่เจวาโดยสารมเจวาจำได้ว่าเป็นสารวัตรทหาร
ทหารแต่งชุดทหารเรือและทหารอากาศ
ทหารมีอาวุธสงคราม
ลักษณะเตรียมพร้อมเมื่อมีภัย
เหตุเกิดตอนเที่ยงวัน
บนถนนสสายใหญ่สายหนึ่งของเมืองนั้นที่เจวาเดินทางไป เมืองนั้นเมื่อต่อมาการเมืองที่นั่นสงบลง เจวากล้าเปิดเผยชื่อเมื่องนั้น
ชื่อเมืองนั้นมีชื่อว่าเมือง"เทรา"
กีร์จึงคิดว่า
ก็วันนี้หากเกิดรัฐประหารจริง
ตามข่าว
ถ้างั้นกีร์คิด
ทหารของคณะรัฐประหารคงต้องขึ้นมาตรวจอาวุธบนรถไฟขบวนนี้แน่นอน และคงจะต้องมีตำรวจ
และทหารขึ้นมาตรวจอาวุธผู้โดยสารทุกคนแน่นอน
แต่นี่ไม่เห็นมีอะไร
ทุกอย่างปกติ
จะมีก็แต่เสียงนกกาและเสียงรถไฟกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า
กีร์คิดจะยืมหนังสือพิมพ์ของสตรีผู้นั้
นทีนั่งหน้าที่นั่งผู้โดยสารของตนเองมาอ่านก็เกรงใจเธอ
แม้เธอจะอ่านเสร็จพับครึ่งฉบับวางลงไว้ข้างๆที่นั่งของเธอ
รัฐประหารมัน ไม่เหมือนสงคราม คือถ้าสงครามเกิดทุกคนต้องรู้ ต้องประสบภัยตรงหรือทางอ้อมทุกหย่อมหญ้า
แม้แต่หมาก็ต้อ
งหายใจด้วยความระวัง
ถ้ามีสงครามเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งจริงๆ
"กีร์คิด"
ทำไมหรือทำไมสงครามจึงไปเกี่ยวกับเรื่องหายใจของหมาสัญจรหรือหมาบ้านด้วย เพราะสงครามจะเกิดภาวะไร้ความสะเวกของแพงเงินถูก
เศรษฐกิจจะเฟ้อมากหรือฝืดเคืองมากขึ้นมาเส้นอิคลิลิเบรียม(equilibrium) ทางเศรศาศาสตร์มันจะไม่ปกติ คือขาดสมดุลย์เหมือนที่มันเป็นในภาวะสงบสุขปกติแบบตอนไม่มีสงคราม
เพราะสงครามมีผลกระทบมว
ลทุกอย่างทั้งหมด ไม่มากก็น้อย
ตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์
แต่นี่เป็นเพียงรัฐประหารมิใช่เป็นสงคราม
คือรัฐประหารเป็นการปะทะระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ที่มีทางทหารกับทางทหารหรือกบฎของทหารต่อกบฎของทางทหารที่มาสู้กันเพื่อเอาแพ้เอาชนะกัน
ผู้ชนะเป็นรัฐะผู้แพ้เป็นกบฎ
คิดง่าย ๆ อย่างนี้เป็นสังกัป
นี่คือนิยามตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เขานักคอลัมนิสต์เขียนๆอ่านประกาศ
ที่กีร์เข้าใจ
แม้แบบผิดบ้างถูกบ้างตรงบ้างเขวไปบ้างแต่กีน์เชื่อว่าประมาณนี้
ตามปรัชญาของรัฐประหารและการเมืองการปกครองในสังคม
ที่นั่งและอำนาจและอธิปไตยเป็นของผู้ชนะ ใครจะได้ก็ต่อเมื่อมีคนชนะได้สมบูรณ์นั้นเท่านั้น
เพราะมีคนเก่งปืนเก่งยุทธวิธีทางปืนและใช้เป็น ใช้อำนาจและคำสั่งปกครองแบบชั่วคราวเพื่อแสวงหาความยุติธรรมทวนกระแสจนเกิดขิดนิดก่รปดครองที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้แม้จะเป็นแบบชั่วแวบๆ แวมๆนึงๆ
ก็ตาม
และด้วยเหตุนี้รัฐประหารจึงเกิดขึ้นมาเพื่อแก้เหตุผลพิบัติทางการเมืองที่หาข้อยุติไม้ได้
แต่ ที่เบลนดิสกี ที่กีร์เกิดและเป็นประชากรและมีสัญชาติตามหนังสือเดินทางของเบลนดิสกีๆ
ไม่เคยมีรัฐประหาร เบลนดิสกี สงบเงียบ
เรียบร้อยด้วยดีเสมอมา
ไม้รู้ว่าเป็นได้อย่างไรอีกนอกนี้จากที่ตนเองเข้าใจ
และกีร์ไม่สนใจวิชารัฐศาสตร์
แต่สิ่งที่กีร์สนใจมากคือวิชาเคมีและวิทยาศาสตร์เท่านนั้น แต่ก็ไม่เคสไก้เรียนมันมให้ได้มากกว่า 3 หน่วยกิต
เลยในชีวิตนี้
กีร์รำพันให้กับตนเอง
ถึงแม้จะมีผลกระทบจากการรัฐประหารอย่างไร กีร์ไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลยและที่เบลนดิสกีก็ไม่เคยมีวัฒนธรรมรัฐประหารเลย นับจากวันที่กีร์ได้เกิดขึ้นมามองดูโลกของทที่นี่
ถ้าหากเกิดมีรัฐประหารที่เบลนดิสกี
ต่อกีร์
เองก็จะไม่สนใจการเมืองชนิดนี้มากนัก มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่และนักการเมืองและทหารเท่านั้น
ประชาขรอย่สวกีร์โง่เกินไปืาตะติดตามเรื่องนี้
กัร์สนใจแต่สีเขียวชอุ่มของใบไม้และกลิ่นหอมของดอกไม้ที่เกิดจากแหล่งธรรมชาติเท่านั้น
ทำไมกีร์เป็นเช่นนั้น
คำคอบคือแม่ของกีร์สอนมา
เพราะแม่ของกีร์สอนมา
ว่า
กีร์อย่าไปสนใจการเมืองเสียภาษีตามสัดส่วนให้รัฐก็เพียงพอแล้ว และไปใช้สิทธิเลือกตั้งเมื่อที่เมืองเบลนดิสกีจัดให้มีขึ้นตามสิทธิของพลเมือง
(civic)และปฏิบัติตัวทำตามสัญญาประชาคม(social contract) ก็เพียงพอแล้วเป็นมนุษย์สมบูรณ์ที่ดีสุดแล้วหากกีร์ทำได้.
อันนี้กีร์สารภาพว่า"แม่บอกมา"
ปล่อย
ให้คนมีความพร้อมและแข็งแรงกว่าเขา
สนใจเถิดการเมือง"แม่ของกีร์กล่าวสอนลูกในที่สุดอย่างนี้
หลักการสอนลูกของแม่กีร์ที่ลูกต้องจดจำคือท่านจะสอนหลังลูกอิ่มข้าวแล้วค่อยๆพูดค่อยๆจา ปกติท่านไม่ชอบพูดพร่ำเพรื่อพูดมากหรือติดขึ้บ่นอะไรนะ และท่านใจดีไม่หวังสิ่งต่างตอบแทนอะไรจากลูกเลยในชีวิตท่าน
"แม่ของกีร์เป็นอย่าวนั่นจริงๆ"
แล้วเวลาท่านจะสอนและพูดไปทำงานบ้านของ
แกไปเรื่อยๆ
กีร์จึงต้องจำทุกอย่างที่แกพูดอย่างเข้ากระดูกดำเลยทีเดียว
กีร์จำได้ว่าท่านทำแก้วใบสีใสใบหนึ่งหล่นตกแตกกระจายขณะเช็ดถูแก้วอย่างประณีตและบรรจงทำ
และทำมันตกกลงสู่พื้นปูนซิเมนต์ในห้อง
ครัว
กีร์เสนอตัวช่วยท่านกวาดมันไปทิ้ง
ท่านกลับบอกว่า"กีร์อย่าเข้าม
า
ใกล้"
"แม่จะทำมันเอง"
และท่านก็ค่อยๆกวาดและกวาดเอาไปทิ้งในที่ปลอดภัยสำหรับแก้วแตกเฉพาะของบ้านเบลนดิสกี
แม่กีร์มีชื่อเล่นว่า"ไวโอเลต"
ท่านเคยสอนกีร์ในปริบทของการเมือง ในฐานะแม่
"ไวโอเลตกล่าวต่อ"
เพราะกีร์เรียนมหาวิทยาลัย มันไม่วายที่ปัญญาชนต้องคิดเรื่องการเมืองกอร์ปไปด้วย
เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เกิดในสังคมอย่างอุดม
ในฐานะนักศึกษาคือคนเรียนระดับนี้ต้องรู้ดีรู้ขชั่ว รู้จักผิดชอบชั่วดีเป็นคุณสมบัติ
และจบมาในระดับที่ใช้การได้คือได้มีการประสาทปริญญาบัตรเป็นหลักประกัน
แต่สำหรับกีร์ ไวโอเลตกำชับให้คิดอีกครั้ง เพราะไม่มีจิตการเมือง
ใช่ว่าจะมีชีวิตที่ดีไม่ได้ "ท่านย้ำ"
แล้วท่านก็พูดต่ออย่างน่าเชื่อน่าฟัง
"เรายังอ่อนโลก ครอบครัวเราไม่แข็งแรงพอ ที่จะไปสนใจการเมือง"
นั่นคือคำสอนของไวโอเลต
แม่ของกีร์สำหรับกีร์ ส่วนคนอื่นเรื่อง
ของเขา อย่าไปเอาอย่างเขา
"จงทำอย่างกาและจงเป็นกา แต่อย่าเอาเยี่ยงก
า""
และเมื่อรัฐประหารของฝ่ายชนะประสบความสำเร็จก็จะเกิดและเกิดการปกครองชั่วคราวขึ้นมา เช่นรัฐธรรมนูญฉบับเตรียมเผาทิ้งต่อไปขึ้นมา
จนมีรัฐธรรมนูญสากลตามมา
เพราะในการรัฐประหาร
ปืนคือคำสั่ง ปืนทุกคนมันคงจะระวังไม่หวาดไม่ไหว อาจจะนอนกอดปืนกันคยมุ่งร้ายเมื่อตนเองได้อำนาจมาแล้วชนิดถ้าอยาจะนอนแต่ก็คงไม่หลับได้
การมีรัฐธรรมยนูญคือทางออกเพื่อการบยุติการรัฐประหารฉบับการกบฎที่จะทำให้คนถือปืนได้
นอ
นตาหลับ หลังรัฐประหารได้สำเร็จ
ได้อันนี้เป็นเนติของความยุติธรรม
ของมนุษย์ยุคปัตจุบัน
ภายใต้หัวข้อความเป็นจริงคือเสรีภาพอันนี้เป็นสำคัญ
นั่นทุกคนต้องถือว่า
คือว่าเสรีภาพมในการกินการใช้
และการอยู่ได้ด้วยกันอย่างสงบปกติสุขนั่นเอง
รัฐประหารเกิดขึ้นได้เพราะ
คือเพราะเหตุผลพิบัติทางการเมือง
นี่คือสิ่ง
ที่กีร์มีความเชื่อและเชื่ออย่างเป็นและอย่างเป็นอุตมะเเละเป็นปฐม
แม้ตอนนี้ที่เมืองเบลนดิสกีที่กีร์เกิดมาแล้วรอดอยู่ได้ เบลนดิสกีเป็
นภายใต้เมฆหมอกและฟ้าสีครามที่เป็นเมืองที่มีภาวะที่ไม่มีสงคราม"
ส่วนว่าการโดยสารรถไฟขณะที่กีร์พบ เหตุการณ์แบบนี้
แม้ว่ากีร์จะโชคดีที่เสมียนที่สถานีเบลยดิดสกี้ จะตีตั๋วให้ได้
ที่นั่งใกล้เธอผู้โดยสาร
ในอึกมุมมองนึงหรือเสมียนออกตั๋วรถไฟจะจงใจและมีแผนให้กีร์กับเธอมานั่งใกล้ๆกัน"อันนี้กีร์ไม่รู้"
เช้าวันนั้น กล่าวคือผู้โดยสารอย่างสตรีผู้นี้ที่กีร์ถือว่ามีคุณภาพมิใช่ พบเด็กอ่อน คนขึ้เมาและขขี้คุย คนแก่คนพิการ สำหรับกีน์มองมัน
อย่างนี้
คนขอทานอะไรงี้ยังงี้แม้จะ มีเลขสำรองนั่งติดใกล้กันเท่านั้น
กีร์ถือว่าได้เพื่อนผู้โดยสารที่ด้อยคุณภาพ แต่กีร์ก็ไม่รังเกียจหากจะมีขึ้น
ที่กีร์ไม่ชอบนักเพราะที่กล่าวมาในตอนหลังข้อความที่อ้างถึงเรื่องนี้นั้นนั่น กีร์ถือว่าผู้โดยสารที่ไม่มีคุณภาพสำหรับกีร์เอาเลยละ แต่กีร์ไม่เคยโชคร้ายที่จะได้ตั่วดี
เมื่อเดินทางไปไหนกับรถไฟที่จะได้เพื่อนผู้โดยสารที่แปลกหน้าและได้มาพบกัน แบบคลุมถุงชน หรือแบบถูกมัดมือชกใคฐานะเป็นผู้โดยสาร
ที่มากับตั๋ว
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments