เรื่องเมื่อวานทำเอาผมนอนแทบจะไม่หลับเลย แม้ว่าจะปฏิเสธลูเวียร์ไปอย่างแข็งขัน ทว่าตัวเธอนั้นไม่คิดจะยอมแพ้ง่าย ๆ เอ่อ ไม่ใช่ว่าผมไม่ดีใจหรอกนะที่มีคนมาชอบแต่ว่า ผมไม่อยากจะมีความรักแบบรวดเร็วจนเกินไป เอาจริง ๆ ถ้ารู้จักหรือสนิทกันมากกว่านี้ก็คงจะตอบตกลงไปแล้วนั้นแหละนะ
วันนี้เป็นวันทำงานของผมถึงแม้ว่าจะเป็นวันที่ต้องไปเรียนก็ตาม แต่เมื่อพี่ไปคุยกับทางโรงเรียนให้แล้ว ดังนั้นถ้านับรวมวันนี้ด้วยแล้วเวลาทั้งหมดสามวันนั้น ผมจะต้องมาดูแลกิจการดันเจี้ยนหมายเลข 7 แห่งนี้แทน
"ไปก่อนนะครับ"
"โอ้สสสสส รักษาตัวเองด้วยล่ะ"
ผมบอกพี่สาวที่กำลังทานข้าวเช้าด้วยท่าทางงัวเงียขั้นสุด เนื่องจากเธอนั้นนอนดึกยิ่งกว่าผมเสียอีก นาฬิกาบอกเวลาว่าตอนนี้คือประมาณ 8 โมงนิด ๆ ผมไม่รอช้ารีบขึ้นหลังม้าตัวโปรดที่ผมเรียกมันว่า 'พลูโต' เนื่องจากตอนเกิดมันตัวเล็กกว่าปกติ ไม่คิดว่าพอโตขึ้นแล้วจะตัวใหญ่ขนาดนี้แถมมันยังชอบมาคลอเคลียกับผมบ่อย ๆ ด้วยล่ะ
"ไกลเอาเรื่องเลยนะแบบนี้ต้องพึ่งเธอตลอดซะแล้ว"
"ครึกกกกก"
พลูโตถอนหายใจพร้อมสบัดหน้าไปมาเล็กน้อย ราวกับจะบอกว่าแค่นี้เองเหงื่อยังไม่ทันออกเลยให้กับผมได้รู้ ก็ถ้าเทียบแรงม้ากับแรงคนนี่มันคนละเรื่องกันเลยล่ะนะ ผมใช้เวลาขี่หลังพลูโตมาจนถึงหมู่บ้านเกือบ สิบห้านาที ทันทีที่มาถึงผมก็ไม่รอช้าเปลี่ยนจากการขี่หลังมาเป็นการจูงเดินไปด้วยแทน
ผมไม่รู้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อรึเปล่า แต่ขนาดของหมู่บ้านก็ใหญ่เอาเรื่องเหมือนกันนะนี่ มีที่กว้างพอสมควรมันก็เหมือนหมู่บ้านปกติทั่วไป มีคนอาศัยอยู่มีตลาดมีโรงเรียนหรือร้านค้าขายของทั่ว ๆ ไป ผมที่เดินจูงพลูโตเดินไปตามทางของหมู่บ้านนั้นถูกผู้คนของที่นี่มองด้วยสายตาแปลก ๆ เล็กน้อย จะว่าไปหมู่บ้านนี้ไม่มีการเลี้ยงสัตว์กันเลยรึไงกัน ทั้งที่มีพื้นที่ทำสวนทำไร่กันกว้างขนาดนี้แท้ ๆ
แน่นอนว่าบางอย่างนั้นผมสงสัยเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่อาจจะถามใครได้ เพราะกลัวว่านั้นจะเป็นการเหยียดฐานะของพวกเขา ผมเดินไปเรื่อย ๆ จนออกส่วนที่อยู่อาศัยหลักมาจนใกล้กับพื้นที่เพาะปลูก สายตาก็เหลือบไปเห็นคนสองคนกำลังนั่งทำอะไรสักอย่างอยู่กับผักในสวนที่อยู่ไม่ไกล
ผมไม่รอช้าที่จะทักคนสองคนนั้นเพื่อที่จะถามทางไปบ้านของคนที่ผมจะต้องไปพบ
"เอ่อ สวัสดีครับขอรบกวนถามทางหน่อยจะได้รึเปล่าครับ ?"
ร่างทั้งสองที่ถูกเรียกนั้นค่อย ๆ หันหน้ามามองผมอย่างช้า ๆ โอ๊ะพวกเธอสองคนเป็นเด็กสาวที่น่าจะอายุน้อยกว่าผมสักสองสามปี ซึ่งกำลังเก็บผักอยู่เพราะผมเห็นตะกร้าผักที่อยู่ในมือของทั้งคู่ พวกเธอมีหน้าตาที่น่ารักเป็นอย่างมาก แถมยังดูเป็นธรรมชาติเพราะไม่มีการใช้เครื่องสำอางอีกด้วย คนหนึ่งมีผิวขาวอมชมพูส่วนอีกคนก็มีผิวสีแทนสวยดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
เอ่อ ผมไม่ควรจะคิดอะไรแบบนี้สินะ เดี๋ยวจะถูกหาว่าเป็นไอ้หื่นเอาได้ พวกเธอทั้งคู่ยืนขึ้นทำให้เห็นชุดที่สวมอยู่นั้นค่อนข้างเก่า อาจจะเพราะใช้ใส่ทำงานในไร่รึเปล่านะ ?
"สวัสดีค่ะคุณคงจะเป็นคนนอกหมู่บ้านสินะคะ มาหาใครหรือมีญาติในหมู่บ้านนี้อย่างนั้นเหรอคะ ?"
"ใช่ครับผมมาจากในเมืองน่ะ มาพบผู้ใหญ่บ้านของที่นี่พอจะรู้ทางไปรึเปล่าครับ ?"
"มาพบผู้ใหญ่บ้านสินะคะ รู้ค่ะรอตรงนั้นสักครู่นะคะ"
โดยคนที่คุยกับผมนั้นคือสาวผิวแทนผู้ไว้ผมยาวถักเป็นเปียไว้ทางด้านหลัง เธอพยักหน้ารับก่อนที่จะจูงมือเพื่อนอีกคนของเธอพร้อมวิ่งมาทางผม
"เอ่อ คุณชื่ออะไรเหรอคะ ?"
"เอ็กซ์เซ่ครับแล้วพวกคุณ ?"
"ฉัน 'ฟราน' ส่วนนี่คือ 'เอมิ' ยินดีที่ได้รู้จักนะ"
"สะ สวัสดีค่ะ"
"ครับ รบกวนหน่อยนะครับ"
ผมกล่าวทักทายทั้งสองคนก่อนที่พวกเธอนั้นจะนำทางให้ ระหว่างนั้นก็คุยทำความรู้จักกันอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยผมเป็นฝ่ายถามแล้วให้เธอตอบซะส่วนใหญ่เกี่ยวกับหมู่บ้านแห่งนี้
นั้นทำให้รู้ว่าหมู่บ้านนี้มีชื่อเรียกว่า 'เซเว่นเฮฟเวน' มีความหมายว่า สรวงสวรรค์ชั้นที่เจ็ด แต่ถึงจะมีชื่อที่ดี แต่จริง ๆ แล้วมันตรงกันข้ามเลยทำให้คนที่มาที่นี่หรือฉายาที่คนในหมู่บ้านตั้งให้เป็น 'เซเว่นเฮล' ที่แปลว่านรกขุมที่เจ็ดไปโดยปริยาย
ชื่อหลังโครตน่ากลัวเลยนะ แต่ก็พอจะเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง...
การเพาะปลูกที่แย่ลงทุกปีทั้งด้านราคาหรือจำนวนผลผลิต เดิมทีที่นี่มีการเลี้ยงสัตว์ด้วยแต่ตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็ล้วนขายพวกมันไปหมดแล้ว แม้จะมีพื้นที่ดันเจี้ยนเปิดให้ผู้คนเข้ามาท้าทาย แต่ระดับของมันก็ยากเกินไปแถมยังไกลจากเมืองหลวงมากอีกด้วย ทำให้แทบจะไม่มีใครมาที่นี่
"นี่เอ็กซ์เซ่คุงคงจะเป็นพวกเศรษฐีในเมืองหลวงใช่รึเปล่า ?"
"อะ ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะครับผมไม่ใช่พวกคนมีเงินอย่างที่คิดหรอกนะครับ"
"โกหก กลิ่นสบู่แล้วก็แชมพูของนายน่ะชัดขนาดนี้ยังบอกว่าไม่มีเงินอีกงั้นเหรอ"
อ้าวชิบ...ลืมไปเลยว่าถ้าไม่ได้มีฐานะทางบ้านหรือเป็นชนชั้นกลาง คนรากหญ้าหรือชนชนชั้นอื่นเขาจะไม่ใช่ของพวกนี้กันเนื่องจากราคาที่แพงจนเกินความจำเป็น มันก็แน่นอนอยู่แล้วเพราะการผูกขาดสูตรการผลิตทำให้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้วิธีทำของพวกนี้ แม้แต่ทางบ้านของผมเองก็ด้วย ดังนั้นการที่ผมจะโกหกส่ง ๆ แบบนั้นมันก็คงจะไร้ประโยชน์ล่ะสินะ
"ถ้างั้นผมก็คงเป็นอย่างที่คุณฟรานคิดนั้นแหละครับ แหะ แหะ ขอโทษที่โกหกไปก็แล้วกันนะครับ"
"ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เอ็กซ์เซ่ชอบผู้หญิงผิวแผนบ้างรึเปล่า ?"
เอาอีกแล้วทำไมถึงโดนถามแบบนี้ตลอดเลยนะ อุส่าหนีจากโรงเรียนแล้วยังจะมาเจอตรงนี้อีกเหรอเนี่ย แต่ก็พอจะรู้สาเหตุว่าทำไมเธอถึงถามแบบนี้ ทั้งที่เราพึ่งจะเจอกันครั้งแรก
"ก็ไม่ได้รังเกียจหรือไม่ชอบสักทีเดียวหรอกนะครับ"
"จริงเหรอ นายพูดจริง ๆ เหรอ ?"
ฟรานพูดด้วยท่าทางดีใจแบบสุด ๆ ก่อนที่จะเข้ามาคล้องแขนผม สัมผัสอุ่น ๆ ของลูกกลม ๆ ตรงอกของเธอนั้นมันทะลุเสื้อจนรับรู้ได้อย่างชัดเจน ทำให้ผมรีบดึงแขนตัวเองออกทันทีเพราะกำลังตกใจ
"แบบนี้มันจะดูไม่ดีนะครับคุณฟราน"
"เอ๋ อะไรกันเล่าไหนบอกว่าไม่รังเกียจไง ?"
"เดี๋ยวเถอะฟรานเธอกำลังรบกวนแขกของพ่ออยู่นะ!!"
จู่ ๆ ก็มีเสียงเข้ม ๆ ของชายสูงอายุที่น่าจะแก่กว่าผมมากดังขึ้นตรงหน้าของพวกเรา อะ คุยเพลินไปหน่อยจนมาถึงที่หมายแล้วหรือนี่ พวกเราเดินมาจนมาถึงปลายทาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ตรงหน้าของผมนั้นมีชายสูงวัยผมหงอกยาวยืนกอดอกอยุ่ตรงหน้าประตู ฟรานที่เห็นชายคนนั้นก็รีบกระโดดออกจากผมทันที
"เอ่อ หนูไม่ได้ทำอะไรเลยนะท่านพ่อ"
"หุบปากเห็นอยู่ตำตา เอ่อ ขออภัยที่เสียมารยาทครับคุณคงจะเป็น ท่านเอ็กซ์เซ่สินะครับ"
"ครับผมเอ็กซ์เซ๋ที่จะมาคุยเรื่องธุรกิจคุณคงจะเป็นผู้ใหญ่บ้านของที่นี่ คุณ 'เดมิคัตซ์' คนนั้นใช่รึเปล่าครับ"
"ทำการบ้านมาไม่เบานี่เจ้าน่ะ ยังเด็กอยู่เลยข้าก็นึกว่าจะอายุมากกว่านี้ซะอีก แต่ก็เอาเถอะเด็กวัยรุ่นถึงแม้จะอ่อนประสบการณ์แต่ก็ไฟแรงดีข้าชอบ เชิญ ๆ เข้ามาคุยในบ้านกันเถอะ"
"ขอบคุณนะครับ"
ผมกล่าวขอบคุณแต่ก็แวะพาพลูโตไปผูกไว้ต้นไม้ข้างบ้านเสียก่อน ให้มันได้พักกินหญ้าหรือดื่มน้ำสักหน่อยระหว่างที่ผมทำธุระ ยังงี้เองสินะงั้นก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมทั้งสองคนถึงรู้ทางมาบ้านของคุณเดมิ ก็เพราะทั้งคู่เป็นลูกสาวของเขายังไงล่ะ
"เชิญดื่มชาให้สบายใจก่อนแล้วเราก็มาพูดถึงเรื่องจริงจังกัน แล้วพวกลูกจะมานั่งข้างพ่อทำไมเนี่ย"
คุณเดมิคัตซ์เชิญผมให้นั่งลงตรงข้ามกับเขาในห้องรับแขก ภรรยาของเขาเดินเข้ามาเสิร์ฟของว่างเป็นขนมปังอบกรอบพร้อมชาแดงให้กับผม ซึ่งฟรานกับเอมินั้นพวกเธอเองก็มานั่งลงข้าง ๆ กับผู้เป็นพ่อประกบทั้งซ้ายและขวา
"หรือพ่อจะให้พวกหนูไปนั่งข้างเขาล่ะ อุส่าพามาให้เลยนะ"
"นั่งที่เดิมเถอะ อืมมมมมม ขอโทษที่ลูกสาวเสียมารยาทนะพอดีว่าพวกเธอไม่เคยเข้าเมืองน่ะ พอมีคนจากนอกหมู่บ้านมาก็เลยเป็นแบบนี้แหละ"
"ไม่เป็นไรครับผมไม่ถือหรอก เรามาคุยกันเลยดีกว่านะครับผมว่ายิ่งเร็วมันก็จะยิ่งดี"
"อืมนั้นสินะ ว่าไงล่ะเธอมีแผนคิดจะปรับปรุงที่นี่ยังไงให้ดีขึ้นงั้นเรอะ ขอบอกก่อนนะว่าเธอไม่ใช่คนแรกที่มาหาฉัน เพราะฉะนั้นถ้าพูดตรง ๆ ไม่ต้องอ้อมก็จะดีไม่น้อย เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฉัน"
"เห จะดีเหรอครับ ?"
"เอาสิ บอกมาเลยว่าต้องการอะไรหนุ่มน้อย พื้นที่หรือว่าแรงงาน ตามสัญญาพวกเธอได้พื้นที่ดันเจี้ยนทั้งหมดก็จริงดังนั้นฉันจะไม่ยุ่งกับพื้นที่ส่วนนั้นที่พวกเธอได้ซื้อไป ว่าไงล่ะต่อจากนี้ถ้าอยากได้แรงงานล่ะก็ฉันจะถามคนในหมู่บ้านนี้ให้เอง หรือว่าจะ..."
"ไม่ล่ะครับขอพวกนั้นผมไม่อยากได้ของไม่มีประโยชน์อะไรแบบนั้นหรอก"
คำพูดของผมนั้นทำให้ผู้ใหญ่บ้านนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมหุบรอยยิ้มลงในทันที ใช่แล้วไม่ใช่แค่คุณเดมิคัตซ์แต่ลูกสาวทั้งสองของเธอก็ด้วย
"มะ หมายความว่ายังไงเหรอ ?"
"ก็ตามที่พูดไปนั้นแหละครับ ผมไม่ต้องการแรงงานไร้ประโยชน์พวกนั้นหรอกครับ เพราะทางนี้สามารถหาแรงงานที่ดีมีฝีมือได้ครับ เรื่องนั้นเลยไม่จำเป็นเลย"
"แล้วถ้างั้นเธอมาที่นี่เพราะเรื่องพื้นที่รอบดันเจี้ยนงั้นเรอะ ?"
"ใช่ครับแต่ก็ไม่เชิงว่าจะต้องการทั้งหมดหรอกนะครับ"
"ให้ไม่ได้หรอก!!"
ผู้ใหญ่บ้านตอบกลับผมมาอย่างรวดเร็ว โดยที่ผมนั้นยังพูดไม่จบ มาแล้วสินะเงื่อนไขต่อรองน่ะ
"ทำไมล่ะครับ"
"เพราะว่าฉันน่ะทำไม่ได้ไงล่ะ ฉันไม่สามารถกล่อมหรือบังคับลูกบ้านที่อาศัยอยู่ที่โดยรอบดันเจี้ยนให้ย้ายออกไปได้น่ะสิ"
"ถ้างั้นผมก็จะเป็นคนไป..."
"ไม่ไหวหรอกหนุ่มน้อย คนในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะย้ายบ้านหรือเปลี่ยนที่ทำมาหากินกันหรอกนะ เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าแล้ว ตั้งแต่พื้นดินยังเพาะปลูกอะไรก็ขึ้นไปหมด แม้จะมีคนย้ายออกไปบ้างแต่ส่วนใหญ่พวกเขาก็คงไม่มีทางคุยหรือรับฟังคนนอกหมู่บ้านแบบเธอหรอก"
"ไม่ให้ลองแล้วจะรุ้ได้ยังไงกันล่ะครับ"
"นี่เธอไม่ได้ฟังที่ฉันพูดรึไง ?"
"ฟังสิครับแต่ว่าเชื่อสิว่าผมจัดการได้ครับ ขอแค่ให้ผมได้คุยกับพวกเขาสักหน่อย อีกอย่างผมรู้หรอกนะว่าคุณน่ะกลัวว่าผมจะเอาคุณไปอ้างแล้วเสียชื่อเสียงใช่มั้ยล่ะ ไม่ต้องห่วงครับผมจะไม่ทำแบบนั้นแน่นอน ไม่เหมือนกับคนก่อน ๆ หน้านี้แน่นอน"
ผมพูดพร้อมแสดงรอยยิ้มที่จริงใจให้กับคุณเดมิที่นั่งอยู่ตรงหน้า ใช่แล้วธุรกิจน่ะมันไม่ได้มีเส้นทางเดียวให้เลือกเดินสักหน่อย หากรู้อยู่แล้วว่าการขอร้องมันทำไม่ได้ก็คงใช้ทางอื่นแทนซะก็สิ้นเรื่อง
แต่พอจะรับรู้ได้ว่าคู่ธุรกิจก่อนหน้าที่มาคุยนั้นเป็นแบบไหน ก็นะพวกข้าราชการที่ใช้แต่อำนาจแต่ไม่เคยแข่งขันกับใครมันก็แบบนั้นแหละ เพราะเห็นว่าเป็นชาวบ้านเลยพยายามขู่ให้พวกเขาย้ายออก แต่ว่าตามกฎหมายแล้วมันทำไมแบบนั้นไม่ได้หรอกเพราะพวกเขาล้วนมีโฉนดที่ดินเป็นของตัวเอง ถึงจะให้ผู้ใหญ่บ้านที่เห็นดีเห็นงามด้วยไปขอร้อง แต่พวกชาวบ้านที่ขยาดกันแล้วก็เลยหัวแข็งกับคนนอกหมู่บ้านกันหมด
นั้นสินะ...สายตาที่ทุกคนมองเราด้วยความรังเกียจตอนที่เหยียบเท้าเข้ามา แล้วพอมีพ่อค้าหรือนักลงทุนคนอื่นเข้ามา ด้วยยาเบื่อที่คนของราชการทำเอาไว้ทำให้เป็นเรื่องยากที่ใครอยากจะมาที่นี่
"เธอมีแผนดี ๆ งั้นเหรอ ?"
"แน่นอนครับผมมีแต่ว่าจะบอกว่าดีก็ไม่ได้หรอกครับ โลกของธุรกิจมันมีทั้งมืดแล้วก็สว่างแล้วแต่มุมมอง แต่บอกได้แค่ว่าไม่ใช่เรื่องของความรุนแรงครับ"
"งั้นเเหรอถ้าเธอว่างั้นฉันก็จะเชื่อใจเธอ แต่ว่าเรื่องงานไร้ประโยชน์นั้นล่ะ ?"
"ก็ตรงตามที่พูดครับผมไม่ต้องการ เอางี้ก็แล้วกันผมจะบอกคุณเดมิตรง ๆ เลยนะครับ หมู่บ้านนี้มันกำลังจะตายแล้วในอีกไม่ช้า ต่อให้ได้เงินจากการขายพื้นที่ตรงดันเจี้ยนจากพวกผมไป แต่ผมถามหน่อยผู้ใหญ่จะเอาเงินนั้นไปทำประโยชน์ยังไงเหรอครับ ?"
"...ประโยชน์งั้นเหรอก็คงจะแจกให้พวกชาวบ้าน"
"น่าเสียดายจังเลยครับที่คุณตอบมาแบบนั้น นั้นไม่ใช่ประโยชน์หรอกครับ เพราะถึงคุณจะแจกเงินนั้นไปแต่ชีวิตชาวบ้านก็ไม่ได้ดีขึ้น"
"หมายความว่ายังไง ?"
"เงินที่แจกน่ะหากมันไม่ได้หมุนกลับเข้ามาในระบบ มันก็เหมือนการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำยังไงล่ะครับ คุณนึกดูสิว่าพอแจกเงินให้ชาวบ้านแล้วพวกเขาจะเอาเงินนั้นไปไหนต่อ ที่นี่มันไม่มีอะไรเลยข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า หรือของจำเป็นที่มีคุณภาพดีจำเป็นต้องไปซื้อในเมืองหลวง พอเป็นแบบนั้นเงินที่คุณโปรยลงไปแทนที่จะออกดอกผลกลับเข้ามาพัฒนาหมู่บ้าน กลับไหลออกไปด้านนอกซะหมด เดี๋ยวนะครับถ้างั้นการแจกเงินนี่เป็นนโยบายของผู้ใหญ่บ้านเหรอครับ ?"
"ก็ใช่น่ะ"
คุณเดมิตอบผมกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว นั้นสินะหากในมุมนักการเมืองแล้ว มันก็เป็นวิธีการหาฐานเสียงที่ดีอยู่หรอก หากพวกชาวบ้านเป็นพวกที่ขยันรอแต่เงินแต่ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงด้วยแล้วล่ะก็...
"ถ้างั้นผมจ้างคุณได้รึเปล่าล่ะคุณเดมิ ผมให้คุณเลยหนึ่งแสนเหรียญทองคำขาว"
"หนึ่งแสนเลยเหรอจ้างอะไรกันล่ะ ?"
เมื่อได้ยินถึงเงินก้อนโตขนาดนี้มีหรือที่ใครจะไม่อยากได้ ทั้งเดมิหรือฟรานต่างก็หูผึ่งกันหมด จะมีก็แต่เอมิที่จ้องหน้าผมด้วยแววตาที่ตรงกันข้ามกับทั้งสองคน ซึ่งนั้นทำให้ผมเห็นอะไรบางอย่างออกมาจากตัวของเด็กคนนั้น
เพชรเม็ดงามในกองหินงั้นเหรอ ?"
"ใช่ครับหนึ่งแสนนั้นผมจะขอจ้างให้ผู้ใหญ่บ้านให้ยอมทำตามทุกอย่างที่ผมพูดน่ะ แน่นอนว่าผมไม่สั่งอะไรที่เป็นปัญหาหรอก แต่อาจจะมีบ้างหากว่าพวกข้าราชการมาตรวจสอบผมน่ะนะ ยอมรับได้รึเปล่าล่ะถ้ายอมได้ผมจะจ่ายให้คุณทันทีตอนนี้เลยครึ่งหนึ่ง"
"...!!"
นี่เป็นแค่การลองเชิงหย่อนเบ็ดให้ปลาดมกลิ่นเฉย ๆ ก็เท่านั้น ทัศนคติของผู้ใหญ่บ้านนั้นก็คงไม่ต่างจากลูกบ้านนักหรอก ใช่แล้วเพราะคนเราน่ะมันไม่ได้แข็งไปซะทุกด้านยังไงล่ะ ผมเริ่มจะจับจุดนี้ได้ก็เพราะคำพูดของพวกเขาเอง มาตราฐานของมนุษย์ทุกคนล้วนมีอีโก้ แต่จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่คนไป อีกอย่างเลยที่สำคัญเพราะการถูกบังคับให้ย้ายที่ออกไปโดยไม่มีอะไรตอบแทน มันเลยทำให้พวกคนในหมู่บ้านต่างมีอคติกับนักลงทุนหรือคนภายนอก ดังนั้นวิธีแก้มันก็คือการทำในสิ่งตรงข้ามกับอคติขอบงพวกเขา
เอาล่ะลองกินเบ็ดดูสิครับ เพราะถ้าหากกินเบ็ดของผมไปเมื่อไหร่ หมู่บ้านนี้ก็จะอยู่ในการควบคุมของผมโดยทันที แล้วหลังจากนี้ก็จะไม่มีอะไรยากอีกต่อไปในแผนที่วางไว้หลังจากนี้
ผมยิ้มที่มุมปากขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทางที่กำลังสับสนของคุณเดมิคัตซ์...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments