แว่วเสียงรัก จากปลายไร่

แว่วเสียงรัก จากปลายไร่

1 กลเกมรัก

'ดวงใจฉันมีปีกบิน ล่องลอยไปไกลแสนไกล สุดแดนเหนือจรดภูผาใหญ่ ฝากลมให้ช่วยพาไป หอบดวงใจฉันไปหาเธอ' 

......

อิทธิพัทธ์ ชายหนุ่มหน้าคมขับรถไปยังไร่หม่อน "หวานใจ" พร้อมกับฮัมเพลงที่เปิดคลอจากวิทยุเบาๆ เหตุที่เขาต้องมาถึงที่นี่เป็นเพราะ เสี่ยพาทิตย์ เจ้านายของเขาสั่งให้ไปช่วยดูแล เรื่องการชำระหนี้ของผู้สืบทอดรุ่นที่สามของไร่หวานใจ หลังจากเกิดวิกฤตโรคระบาดที่ส่งผลกระทบให้มีลูกค้าเข้าใช้บริการในคาเฟ่และเยี่ยมชมไร่จำนวนน้อยลงจนเจ้าของไร่คนแรกถึงกับต้องกู้เงินมาเพื่อพยุงชีวิตคนในไร่เกือบร้อยชีวิตไม่ให้ตกงาน 

อิทธิเลี้ยวรถเข้าไปในไร่หวานใจ และหาที่จอดหลังจากใช้เวลาขับรถมาจากตัวเมืองเชียงใหม่หลายต่อหลายชั่วโมง กว่าเขาจะถึงไรที่อยู่นอกเขตเมืองเพชรบูรณ์ก็เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

'ว้นนี้คงต้องหาโรงแรมพักแถวนี้ก่อนละมั้งไอ้เผือกเอ้ย' 

เขาจอดรถในที่จอดรถสำหรับลูกค้าของคาเฟ่ ก่อนจะดึงที่ที่บังแดดหน้ารถลงมาส่องกระจกดูแล้วจัดแต่งทรงผมเสียหน่อย เขาสวมถุงเท้าและรองเท้า ก่อนจะก้าวออกจากรถและเปิดประตูเข้าไปในร้านที่เงียบสนิทราวกับไม่มีใครมาเยือนที่นี่มากกว่าสองปีแล้ว เก้าอี้ฝุ่นเขรอะถูกวางคว่ำไว้บนโต๊ะกลม ไฟหน้าร้านก็ปิดมืด แต่แปลกที่ประตูกลับไม่ได้ปิดล็อคเอาไว้ 

เขาเริ่มระมัดระวังตัว มันผิดปกติมากๆในสายตาของคนที่ทำงานกับพวกผู้มีอิทธิพลและกลุ่มโจรที่ต้องระแวดระวังในทุกย่างก้าวอย่างเขา เพราะถ้าหากร้านปิดจริงๆก็ควรต้องล็อคประตูก่อนที่จะออกจากร้าน อย่างน้อยถ้ามีคนอยู่ด้านในก็ต้องล็อคประตูจากด้านในไม่ให้คนนอกเข้ามาอย่างง่ายดายขนาดนี้ เขาเริ่มเอามือไปจับไว้ใกล้ที่เก็บปืนข้างกาย เผื่อว่าเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นจะได้นำมาใช้ได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัว คล้ายจะเป็นโชคดีที่เขายังไม่จำเป็นต้องใช้มันในวันนี้ เพราะอยู่ๆหญิงสาวในชุดผ้ากันเปื้อนคนหนึ่งก็เดินทะเล่อทะล่าออกมา และกรีดร้องสุดเสียง เพราะเห็นแขกไม่ได้รับเชิญอย่างเขาย่องมาใกล้พร้อมกับกุมด้ามปืนไว้ เขารีบวิ่งไปประชิดตัว เอามือปิดปากเธอไว้หลวมๆก่อนจะใช้นิ้วชี้แนบริมฝีปากเขาเป็นสัญญาณให้เธอเบาเสียงและใจเย็นลงเสียก่อน

"ผมมาดีนะครับคุณ ผมมาหาเจ้าของไร่แห่งนี้ ไม่ทราบว่าเขาอยู่ไหนเหรอครับ"

หญิงสาวหายใจสะดวกขึ้นหลังเขาเอามือที่ปิดปากเธอออก ที่จริงเขาก็รู้ว่ามันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอที่กรีดร้องออกมาอย่างนั้น แต่เขาจำเป็นต้องทำให้เธอเงียบลงก่อนจะเกิดเรื่องใหญ่ตามมา 

"คุณมาหาคุณไอยศิกาเหรอคะ วันนี้คุณไอย กลับไปที่บ้านใหญ่ในเมือง พรุ่งนี้เช้าถึงจะกลับมาค่ะ" 

"คุณไอยศิกา เขาเป็นเจ้าของไร่เหรอครับ"

"เอ มีญ่าก็ไม่ทราบหรอกค่ะ แต่ว่าเธอเป็นผู้ดูแลไร่ลูกหม่อนที่นี่ เป็นรุ่นที่3 แล้วล่ะค่ะ ถัดจากพี่สาวที่แต่งงานไปเมื่อปีก่อน กับคุณแม่ของพวกเธอ"

"อ๋อ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ ถ้าคุณเจ้าของไร่มา ช่วยแจ้งด้วยนะครับว่าผมมาจากทางเชียงใหม่ เป็นคนของเสี่ยพาทิตย์ มาคุยเรื่องเงินกู้ที่คุณนาเดียเคยกู้มาช่วยไร่นี้เอาไว้น่ะครับ" 

"ได้ค่ะ ว่าคุณชื่ออะไรเหรอคะ" 

"อิทธิพัทธ์ครับ"

เธอเข้าไปหาที่จดโน้ตและปากกาด้านในครัว และเดินกลับออกมาจดข้อมูลติดต่อที่เขาฝากไว้ให้เจ้านายของเธอในวันพรุ่งนี้

"ผมว่าจะกลับมาคุยพรุ่งนี้ ยังไงจดเบอร์ผมไว้ด้วยก็ได้ครับ ว่าแต่แถวนี้มีโรงแรมใกล้ๆมั้ยครับเนี่ย" 

"มีค่ะ แต่ว่ามีญ่าไม่แน่ใจว่าเจ้าของเคียงผารีสอร์ทจะอารมณ์ดีพอจะรับแขกขนาดไหนน่ะค่ะ" 

มีญ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงความไม่แคร์ใครของนายอาคม เจ้าของเคียงผารีสอร์ทที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก แต่ด้วยความที่อยู่ใกล้ไร่หวานใจที่สุดจึงแนะนำให้เขาเป็นที่แรก เช่นเดียวกับที่เคยแนะนำลูกค้าท่านอื่น

"มีที่แบบนั้นด้วยเหรอครับ" 

เขาหัวเราะออกมาเพราะความแปลกใจ ตามปกติแล้วมีแต่คนอยากได้ลูกค้า ใครกันที่จะอินดี้ขนาดอารมณ์ไม่ดีพอก็ไม่อยากจะรับแขก แต่เขาก็ต้องลองไปเสี่ยงดู เพราะนี่ก็เริ่มมืดค่ำแล้ว เขาเตือนให้เธอล็อกประตูจากด้านในถ้ายังไม่กลับบ้าน เพราะช่วงค่ำมีอันตรายมากมายที่อยู่ข้างนอกไรนั่น แต่มีญ่าก็ยืนยันว่าไม่จำเป็นขนาดนั้น 

"มันก็ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกค่ะ มีญ่าอยู่มาหลายปี ยังไม่เคยเจอเรื่องโจร หรือคนร้ายเลย แต่ขอบคุณมากค่ะ มีญ่าจะระวังนะคะ" 

เขากลับไปในรถแล้วเริ่มเปิดจีพีเอสหา เพื่อไปยังเคียงผารีสอร์ทที่มีญ่าแนะนำไปเมื่อครู่ และเพื่อความไม่ประมาท เขาจึงแวะร้านสะดวกซื้อภายในปั๊มข้างทางเพื่อซื้อของกินง่ายๆและน้ำเข้าไปก่อน หากไม่มีของกินหรือเจ้าของไม่สบอารมณ์จนไม่อยากทำอะไรให้กินจริงๆเขาก็ยังมีเสบียงสำหรับคืนนี้

เขามาถึงรีสอร์ทไวกว่าที่คาดไว้ เมื่อเขาก้าวออกจากรถและเปิดประตูเพื่อจะติดต่อด้านในออฟฟิศ เด็กสาวผมยาวอายุประมาณ20ปีคนหนึ่งก็วิ่งมาต้อนรับพร้อมกับนำอัลบั้มรูปที่มีรูปห้องต่างๆมาให้เขาดูแทบจะทันที

"คุณน้าสนใจห้องไหนคะ" 

เธอพูดเสียงใสแล้วยิ้มให้เขาจนเขายิ้มตามเธอในที่สุด 

"ห้องนี้แล้วกันครับ คืนละเท่าไหร่เหรอ" 

"ห้าร้อยค่ะ มีแอร์ มีไวไฟ มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วย" 

แล้วเจ้าของอยู่ไหนวะ....เขาคิดอยู่ในใจแล้วมองไปรอบห้อง

"คุณพ่อไม่สบายค่ะ บอกว่าให้อิงจันทร์มาดูแลแทนก่อน" 

"อ๋อ ครับ ห้องนี้แหละ พี่อยู่แค่คืนเดียว" 

เธอวิ่งไปเอากุญแจห้องมาให้ แล้วขอทำสำเนาบัตรประชาชนเก็บไว้ก่อนเหมือนที่พ่อเธอเคยสอน

"แล้วแม่ล่ะ ไม่สบายเหมือนกันเหรอครับ" 

เด็กสาวหลุบตาลง ก่อนจะยิ้มแห้งๆ

"พ่อบอกว่าคุณแม่เสียชีวิตเพราะมาลาเรียไปสองปีแล้วค่ะ อิงอยู่กับพ่อคมสองคน" 

"อ๋อ พี่ขอโทษที่ถามเรื่องส่วนตัวนะ พี่ไม่รู้จริงๆ" 

"ไม่เป็นไรค่ะ" 

เธอส่งบัตรคืนให้แล้วส่งน้ำให้เขาสองขวด

"อยากได้หมอนข้างเพิ่มบอกอิงได้นะคะ ใช้โทรศัพท์โทรจากที่ห้อง แล้วกดศูนย์มาเลยค่ะ อิงอยู่ถึงสี่ทุ่ม ช่วงนี้ที่มหาลัยปิดเทอม" 

เขารู้สึกเอ็นดูเด็กสาวที่คอยดูแลรีสอร์ทแห่งนี้แทนเจ้าของตัวจริงมาก เพราะเธอทำให้เขานึกว่าหากนายน้อยโตขึ้นก็คงจะขยันเหมือนเด็กคนนี้ หรืออาจจะน่ารักมากกว่านี้แน่นอน อิทธิเดินไปที่ห้อง201 แล้วใช้คีย์การ์ดเสียบเพื่อเปิดไฟในห้อง ก่อนจะโทรหาคุณพาทิตย์เจ้านายของตนเองเพื่อจะรายงานความคืบหน้าต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้

"สวัสดีครับเสี่ย ผมถึงเพชรบูรณ์ซักพักแล้วครับ"

[อ้าว แล้วนี่กินอะไรรึยัง ที่บ้านฉันมีปาร์ตี้ชาบู ด้วย เสียดายที่นายไม่อยู่มากๆเลย]

"ฮะ.... ฮ่าๆๆ ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย อย่าทำให้ผมหิวสิ"

[แล้วนี่ไปพักรีสอร์ทแถวนั้นเหรอ จะเจอคุณไอยเมื่อไหร่ล่ะ] 

"ครับ คงต้องรอพรุ่งนี้เพราะเธอไปบ้านใหญ่ ผมให้พนักงานในคาเฟ่จดเบอร์ผมไว้แล้ว น่าจะไม่มีปัญหา" 

[โอเค นายก็คุยดีๆ แล้วก็เจรจาเรื่องดอกเบี้ยให้ชัดเจนด้วยนะ] 

"ครับเสี่ย ผมจะจัดการให้เรียบร้อย" 

[อย่างนี้สิ สมกับที่ไว้ใจให้เป็นมือขวาจริงๆเลย ใช่มั้ยครับที่รัก] 

พาทิตย์ที่อยู่ปลายสายหันไปคุยกับภรรยาและแอบเล่นกับลูกสาวซักครู่ก่อนจะกลับมาคุยใหม่ 

[นายยังโสดอยู่ใช่มั้ย คุณไอยก็ยังโสดนะ สนใจก็ลองดู ตีหัวลากเข้าห้องไปเลย]

"โห เสี่ย ไม่ดีมั้งครับ ฮ่าๆๆ ผมเป็นคนดีแล้วนะ"

[นึกว่าจะบอกว่าดีเลย.... รีบกลับมานะ นายน้อยคิดถึงคุณลุงแย่แล้ว ใช่มั้ยคะลูก] 

เสียงอ้อแอ้ของเด็กสาววัยขวบต้นๆดังขึ้นมาจากปลายสาย ทำให้อิทธิพัทธ์ยิ้มได้อีกครั้งและนึกถึงเด็กที่มาต้อนรับเมื่อครู่

"แล้วผมจะรีบกลับไปครับ ไม่ต้องห่วง แค่นี้นะครับเสี่ย"

 [อื้ม ฝากด้วยนะ] 

เสียงรถจากที่ไหนซักแห่งดังมา เขาเดาว่าน่าจะมาจากห้องข้างๆ คงจะเป็นแขกอีกรายที่เข้ามาพักที่นี่ล่ะมั้ง เขาได้ยินบทสนทนาของชายหนุ่มสองคนแทนที่จะเป็นเด็กสาว จึงแอบลอบมองจากหน้าต่างห้องนอน สิ่งที่เขาเห็นเป็นชายวัยเกือบห้าสิบ ที่หน้ายังคงความหล่อคมเข้มแบบไทยโบราณ แต่หน้าเขาออกจะดุๆหน่อย ทำให้เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมมีญ่าจึงห่วงว่าเจ้าของที่นี่จะไม่รับแขก ....

"ห๊ะ อ๋อ ครับ ผมจะมาพักสองคืน... ชื่อคิมหันต์ครับ" 

เขาจับใจความฝั่งเจ้าของรีสอร์ทได้ไม่ชัดนัก แต่ก็คุ้นชื่อของคิมหันต์อยู่นิดหน่อย .... เผือกกลับไปทานข้าวที่อุ่นเรียบร้อยแล้วจากร้านสะดวกซื้อกับน้ำเย็นขวดนึง จากนั้นก็นอนแผ่บนโซฟาแล้วเปิดขนมกินระหว่างดูทีวี เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตนเองปีนไปหลับบนเตียงเอาตอนไหน ตื่นมาอีกทีฟ้าก็สว่างแล้ว หลังจากตื่นเต็มตา เขาจึงคว้าเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำ วันนี้เขานัดเจ้าของไร่หวานใจเอาไว้ เลยเตรียมชุดที่ดูเป็นทางการเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับสูทสีน้ำเงินที่เนื้อผ้าไม่หนาเกินไปสวมทับไป 1 ตัว ท่อนล่างเป็นกางเกงสีน้ำเงินเข้าชุดกับสูทที่ใส่อยู่เหมือนจงใจนำมาเข้าชุดกันอย่างพอดิบพอดี

หลังจากเช็คเอาท์กับเจ้าของรีสอร์ทเสร็จแล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของรีสอร์ทนั้นมีชื่อว่า อาคม มีลูกสาวหนึ่งคนซึ่งก็เป็นเด็กสาวชื่ออิงจันทร์ที่ต้อนรับเขาเมื่อคืนนั่นเอง 

อิทธิขับกลับไปยังไร่หวานใจที่เพิ่งแวะไปเมื่อเย็นวานอีกครั้ง แต่วันนี้คาเฟ่เปิดตามปกติ ทั้งเก้าอี้และโต๊ะที่เย็นวานดูฝุ่นจับเขรอะก็ได้รับการเช็ดและจัดเรียงไว้อย่างสะอาดสะอ้านและดูมีดีไซน์มากขึ้น พนักงานสาวคนเดิมยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์รอรับออเดอร์ยามเช้า เมื่อพบว่าเขากำลังจะเดินเข้ามา เธอจึงเดินมาต้อนรับที่หน้าประตูด้วยความคล่องแคล่วในทันที

"สวัสดีค่ะคุณอิทธิ คุณไอยศิกาเข้ามาที่ไร่แล้วค่ะ น่าจะมาที่คาเฟ่ประมาณสิบโมงเช้า"

มีญ่ารายงานเสียงใสและยิ้มให้เขาเล็กน้อย 

"ขอบคุณครับ น้องชื่อมีญ่าใช่มั้ย พี่จำได้ "

"ใช่ค่ะ นั่งรอที่เก้าอี้ก่อนได้นะคะ จะรับเครื่องดื่มอะไรหรือเปล่าคะ" 

"งั้นผมขอดูเมนูหน่อยแล้วกันครับ"

มีญ่านำใบเมนูมาส่งให้เขาที่โต๊ะ อิทธิเปิดเล่มเมนูก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเรียบๆอย่างระมัดระวัง

"ผมว่าถ้ามีรูปเมนูชัดๆหน่อยแล้วเพิ่มขนาดตัวอักษรสักนิดก็จะดีมากเลยครับ เอาเป็นว่าผมขอน้ำมัลเบอรี่แก้วนึงแล้วกัน" 

มีญ่ารับใบเมนูกลับไปวางที่เคาน์เตอร์ แล้วนำน้ำมัลเบอร์รี่ใส่แก้วสีสวยมาให้เขาแทบจะทันที 

"ขอบคุณครับ" 

เขารับแก้วน้ำผลไม้จากมีญ่าแล้วคิดไปต่างๆนาๆว่า เมื่อเธอเข้ามาเขาควรจะเกริ่นยังไงให้ดูไม่เป็นการทวงหนี้มากจนเกินไป จะใช้เสียงโทนไหนดี รวมถึงสายตาที่ใช้มองเธอควรจะอ่อนโยนแค่ไหน ยังไม่ทันตกลงกับตัวเองได้ เสียงโมบายที่ประตูก็กระทบกันเป็นสัญญาณว่าเขาควรจะตั้งสติแล้วหันไปหาเป้าหมายที่รอคอยมาตั้งแต่เมื่อวาน 

ผู้หญิงที่เดินเข้ามาน่าจะอายุไม่มากนัก 

'น่าจะซักยี่สิบกว่าๆเกือบสามสิบล่ะมั้ง'

เขาประมาณอายุโดยคร่าวๆ ก่อนจะสบตาเธอที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมา ตาสีออกเขียวอมน้ำตาลเป็นสัญลักษณ์ว่าเธอเป็นลูกครึ่ง ... ไม่มีใครเคยบอกเรื่องนี้ซักคนว่าเธอมีเชื้อสายจากประเทศอื่นด้วย ว่าแต่เธอเป็นคนที่ไหนกันแน่ล่ะเนี่ย ผมที่ออกน้ำตาลอ่อนถูกถักไว้เป็นเปียหลวมๆ เธอเหมือนจะรู้ตัวว่าถูกจับตามองจึงวางของที่เตรียมมาลงบนโต๊ะที่เขานั่งอยู่ และนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะยิ้มให้แขกผู้มาเยือนที่เธอรู้ชื่ออยู่แล้ว

"สวัสดีค่ะคุณอิทธิพัทธ์ ได้ยินว่าคุณมาหาไอยตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้โทรแจ้งก่อนว่าต้องไปบ้านใหญ่ด่วน พอดีคุณแม่ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่" 

ถึงหญิงสาวตรงหน้าจะดูเหมือนคนต่างชาติ แต่ก็น่าจะเพราะพันธุกรรมบางอย่าง เพราะเธอพูดภาษาไทยชัดซะยิ่งกว่าเขาที่เป็นคนไทยเสียอีก 

'ว่าแต่ตูเป็นคนไทยจริงรึเปล่าวะ' 

เขาคิดในใจ ก่อนจะแนะนำตนเองไปตามมารยาท

"ครับ ผมเองอิทธิพัทธ์ เรียกผมอิทธิก็ได้ คุณน่าจะทราบแล้วว่าเหตุผลที่ผมมาที่นี่เพราะเรื่องที่พี่สาวคุณเคยกู้เงินมาจ่ายให้ลูกน้องเมื่อสองปีก่อน พ่อเลี้ยงพาทิตย์ให้ผมมาสอบถามว่าตอนนี้กิจการเริ่มพอไปไหวรึเปล่าน่ะครับ" 

ความเป็นมือขวาของอิทธิพัทธ์ไม่เหมือนกับมือขวามาเฟียโดยทั่วไป เขาคีพลุคผู้ชายอบอุ่นและมีคำพูด รวมถึงการแต่งกายที่เป็นทางการ ไม่ว่าจะเรื่องยื่นกู้ยืมเงิน หรือการให้คำปรึกษาต่างๆ ก็ดูเหมือนเขาเป็นนักธุรกิจมากกว่ามือขวาเสียด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ทำให้คนที่เขาไป ทวงถามหนี้ รู้สึกไม่เหมือนว่าถูกทวงเงินเลยซักคน

"ต้องขอบคุณพ่อเลี้ยงพาทิตย์มากค่ะที่ส่งคนมาสอบถามเบื้องต้นแบบนี้ ไอยแอบรู้สึกอบอุ่นแปลกๆนะคะ เนี่ย ฮ่าๆๆ" 

เธอหัวเราะให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองในตอนนี้แล้วสบตาเขาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

"ค่ะ โดยรวมก็ดีขึ้นมากแล้ว ล่าสุดก็พอมีคนซื้อของ มาชมไร่บ้าง ส่วนเรื่องหนี้สินเดี๋ยวฟา...เอ้ย ไอยจัดการให้นะคะ" 

"ชื่อเดิมคุณ ไม่ใช่ไอยศิกาใช่มั้ยครับ ผมรู้สึกได้ แล้วก็... ไม่น่าใช่คนไทยแท้ๆด้วย แต่คุณพูดไทยชัดมากเลยนะครับเนี่ย" 

"Terima Kasih ขอบคุณค่ะพี่อิทธิ จริงๆแต่ก่อนชื่อฟารีดาค่ะ พอดีเปลี่ยนชื่อให้เรียกง่ายหน่อย และ ... ค่ะ เป็นลูกครึ่งอินโดนีเซียค่ะ แม่เป็นคนไทย" 

เธอยิ้มให้เขาที่ดูท่าจะมองดวงตาสีเขียวเข้มเจือน้ำตาลอ่อนของเธออย่างไม่ละสายตา แถมมือเจ้ากรรมที่เขาอุตส่าห์พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ประหม่าก็ดูเกร็งไปหมด ...

'แหม คุณพี่นี่เนาะ' 

เธอยื่นมือของตนไปจับมือเขาเพื่อทดสอบว่าเธอคิดถูกรึเปล่าที่ว่าเขากำลังประหม่ากับการเจอหน้าเธอ และอาการตกในภวังค์ของเขาก็ยืนยันว่าเธอคิดถูกจริงๆ 

"ขอโทษครับ คือผมรู้สึกว่าคุณสวยมากๆ ก็เลย ... " 

"คุณเป็นถึงมือขวามาเฟียเชียวนะคะ จะมาหลงลูกหนี้ไม่ได้นะรู้มั้ยคะ คุณจะเสียเปรียบเอานะเนี่ย" 

เธอพูดออกมานิ่งๆแม้ในใจจะรู้สึกสนุกกับการได้เจอของเล่นใหม่ แล้วจัดการส่งอะไรบางอย่างมาที่มือถือของเขา 

"เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยรอบแรกจะส่งเดือนหน้า ส่วนที่เหลือจะทยอยส่งทุกเดือนค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ใครๆก็บอกว่าไอยศิกาเครดิตดีมาก ส่วนที่ส่งให้พี่ไป คือไลน์ส่วนตัวของไอยเองค่ะ ถ้าอยากคุย อยากจีบ หรือบ่นอะไรก็ส่งข้อความมาได้ตลอดนะคะ" 

เธอแอบแอดไลน์เขาไว้ตั้งแต่มีญ่าส่งโน้ตให้เธอในไลน์เมื่อคืน น่าจะเพราะเขาหลับไม่รู้ตัวตั้งแต่หัวค่ำ จึงไม่ทันสังเกตเห็น อิทธิหัวเราะให้กับการกระทำที่ดูออกง่ายจนเกินเหตุของตนเอง เขาไม่เคยตกหลุมพรางลูกหนี้ซักคน คนนี้อาจจะเป็นคนแรกที่ทำเขาเหม่อลอยจนหมดท่าขนาดนี้

"จริงๆผมก็กลัวเสียเปรียบเพราะคนสวยตรงหน้านี่แหละ เอาเป็นว่าขอบคุณครับ เดี๋ยวผมแจ้งพ่อเลี้ยงเรื่องการชำระหนี้รอบแรกก่อน ส่วนเรื่องไลน์ของคุณ"

เขาเว้นไปซักครู่ก่อนจะกดรับเป็นเพื่อนแล้วส่งสติกเกอร์แมวให้ตัวนึง 

"ถ้าว่างๆผมจะทักไปนะครับ ขอบคุณที่รู้ใจผมนะคุณไอยศิกา" 

ไอยศิกายิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะบอกลาอิทธิแล้วเดินออกไปจากร้าน เพราะว่าเธอเองก็ต้องไปนำลูกค้าเที่ยวชมไร่ และเขาเองก็ต้องรีบกลับเชียงใหม่เพื่อรายงานให้นายทราบถึงข้อตกลงที่เธอแจ้งมาเมื่อซักครู่และกลับไปทำงานต่อซะที เขานึกเสียดายที่ไม่สามารถจะอยู่ชมความงามทั้งของไร่และเจ้าของไร่ต่อได้อีกนิด แต่เขาก็แน่ใจว่าเดี๋ยวเขาก็ต้องได้มาอีก จึงไม่ได้รู้สึกค้างคาอะไรเท่าไหร่

.....

ไร่หวานใจ เป็นสวนมัลเบอร์รี่ที่อยู่ในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ที่มีเนื้อที่ไม่ใหญ่นัก แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นสวนที่เล็กจนเกินไป ฟารีดา เจ้าของสวนคนปัจจุบันที่อายุเพิ่งจะเข้าเลขสามในปีนี้ เป็นทั้งเจ้าของและผู้จัดการไร่ เนื่องจากหลังเกิดวิกฤตโรคระบาด พี่สาวเธอก็ไม่สามารถที่จะเลี้ยงคนงานและพนักงานบางส่วนไหว หลายคนก็เลยกลับบ้าน หรือมีงานใหม่กันหมดแล้ว เมื่อฟารีดาเข้ามาช่วยและสืบทอดงานหลังจากนาเดีย ผู้เป็นพี่สาวที่ไปแต่งงานกับคุณแสน นักธุรกิจจากแม่ฮ่องสอน และย้ายไปเป็นอาซ้อประจำร้านขายขนมจีนน้ำเงี้ยวที่ถนนคนเดินแทน

ฟารีดายอมเอาหนี้ทั้งหมดรับมาจัดการต่อ แม้จะรู้สึกว่าลำบากพอสมควร แต่พ่อเลี้ยงเมืองเชียงใหม่รายนี้เป็นคนใจดี ขอแค่เครดิตดี ไม่หนี และจ่ายครบ เท่านั้นเอง ปัญหามีอยู่อย่างเดียวคือเธอไม่เคยรู้เลยว่าเสี่ยพาทิตย์ไม่เคยเดินทางไปทวงถามหนี้ด้วยตัวเองซักครั้ง เพราะยุ่งอยู่กับการช่วยเหลือคนในพื้นที่เคียงคู่กับภรรยาของเขา แต่มักจะส่งนายอิทธิพัทธ์ มือขวามาดนักธุรกิจมาเจรจาเรื่องการส่งเงินกู้ไปตามจังหวัดต่างๆ ยิ่งลูกหนี้เป็นผู้หญิง ก็ยิ่งเข้าทางนายอิทธิเป็นอย่างมาก เพราะเขาจะใช้ทั้งหน้าตา คารม และน้ำเสียง มาหลอกล่อให้สาวๆยอมส่งเงินตามกำหนดได้อยู่เสมอ .... แต่เธอจะไม่ยอมหลงกลตกหลุมพรางเขาเหมือนคนอื่นแน่

เวลาผ่านไปได้ไม่นานนัก ร่วมสองเดือนหลังจากอิทธิมาเยือนไร่หวานใจ ไอยศิกา(ซึ่งก็คือฟารีดานั่นเอง)ก็สามารถผ่อนเงินกู้ล็อตแรกได้สำเร็จ รวมถึงสะสมเงินไว้บางส่วนเพื่อใช้หนี้ก้อนต่อไป ไร่หม่อนหวานใจมีทั้งคณะทัวร์แบบครอบครัวและพนักงานบริษัทมาเพื่อเก็บลูกหม่อนสดๆจากต้น และเข้าไปซื้อของฝากในคาเฟ่ รวมถึงไอศกรีมซอร์เบต์ลูกหม่อนก็เป็นของที่ไร่ของเธอภูมิใจนำเสนอมาก

ไอยศิกานั่งที่เก้าอี้หินอ่อนสีขาวที่ตั้งไว้ด้านนอกคาเฟ่หลังจากพาลูกทัวร์เที่ยวชมไร่ด้วยความอ่อนเพลีย เธอมองดูบรรยากาศโดยรอบที่เริ่มครึกครื้นมากขึ้น ทั้งต้นไม้ และผลมัลเบอร์รี่ที่ออกผลสีแดงสดสวยแซมกับสีม่วงเข้มประปรายเต็มไปทั่วทั้งสวน และลูกค้าบางคนก็มักจะเดินเข้ามาคุยกับเธอที่นั่งตรงม้าหินนั้น 

"สวนนี้สวยมากเลยค่ะคุณไอย คราวหน้าถ้ามีเวลาว่างจะกลับมาเยี่ยมชมอีกแน่นอนค่ะ ใช่มั้ยคะลูก"

"ใช่ค่ะ ลูกหม่อนอร่อยมากเลยด้วย"

"ฉันขอพาลูกสาวไปซื้อไอติมก่อนนะคะ"

ผู้เป็นแม่โค้งตัวแล้วดันหลังลูกสาวเข้าไปในคาเฟ่ได้ไม่นานนัก ก็ออกมาพร้อมถือถ้วยไอศกรีมสูตรเด็ดประจำสวนออกมา ไอยศิกายิ้มและมองดูเด็กน้อยกินไอศครีมกันอย่างมีความสุขจนลืมดูมือถือไปเลยว่ามีเสียงแจ้งเตือนจากอิทธิพัทธ์ เมื่อเริ่มเข้าห้าโมงเย็นเธอก็จัดแจงเคลียร์คาเฟ่ จากนั้นก็เก็บมือถือและกระเป๋าเข้าไปในรถ แล้วออกเดินทางกลับไปที่บ้านหลังเล็กที่ปลายไร่เพื่อพักผ่อนจากงานต่างๆที่ทำมาทั้งวัน 

บ้านของไอยเป็นบ้านไม้ขนาดกลางแต่มีการออกแบบให้ออกแนวมินิมอล เรียบหรูด้วยไม้สีเข้มกับกระจกบานใหญ่ ด้านในบ้านจะมีทั้งหมดห้าห้องด้วยกัน ห้องครัวและห้องนั่งเล่นจะมีหน้าต่างและประตูแบบกระจกบานเลื่อน ครัวถูกกั้นออกด้วยฉากกั้นห้องที่ทำจากไม้ไผ่ เนื่องจากเป็นบ้านที่อยู่อาศัยเพียงคนเดียวและไม่ได้ปราณีตกับเรื่องรับประทานอาหารซักเท่าไหร่ เธอจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องสร้างห้องทานข้าวให้วุ่นวาย ไอยศิกาจึงจัดโต๊ะเล็กไว้ทานข้าวในห้องครัว และวางโซฟายาวเพียงตัวเดียวในห้องนั่งเล่น รวมถึงโต๊ะวางของและชั้นหนังสือก็จัดไว้ที่ห้องนั่งเล่นทั้งหมด ห้องนอนจะถูกแยกออกไปชั้นบน รวมถึงห้องน้ำก็จะมีทั้งหมดสองห้อง ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ห้องนอนชั้นบนจะเป็นคล้ายกับโฮมออฟฟิศ มีเตียงสี่เสาพร้อมมุ้งสีฟ้าที่ถูกรวบไว้ตามเสาทั้งสี่ด้าน บ้านของไอยไม่นิยมใช้พรมเนื่องจากมีปัญหาเรื่องภูมิแพ้อยู่บ่อยๆ จึงปล่อยพื้นไม้โล่ง และมีรองเท้าใส่ในบ้านไว้ใช้แทน 

ชั้นเอกสารต่างรวมถึงโต๊ะทำงานก็วางอยู่บนห้องนอน แต่ก็ได้รับการจัดวางเป็นระบบและสะอาดอยู่เสมอ เพราะจะมีแม่บ้านมาดูแลวันละครั้ง ห้องน้ำชั้นบนจะมีโซนเฉพาะสำหรับอาบน้ำ โดยจะก่อปูนเปลือยที่มีความสูงเกินเมตรเจ็ดสิบเป็นคอกและฝังฝักบัวไว้ที่ด้านหนึ่ง 

'คุณหนูไอยศิกามักชอบให้อะไรๆมันสะอาดและเป็นระเบียบ'

แม่บ้านมักจะบอกอย่างนี้กับเพื่อนทุกคนที่มาเยือนถึงห้องเธอตั้งแต่เรียนจบจนแต่ละคนก็มีครอบครัวกันไปหมดแล้ว มีแค่ไอยศิกาเท่านั้นที่ยังคงโสดสนิทเพราะเอาแต่ทำงานหาเงินใช้หนี้แทนพี่สาว 

 เหมือนโลกใบนี้จะเริ่มเห็นใจเธอ ไอยศิกาที่เริ่มเคลียร์หนี้เงินกู้ได้บ้างแล้วก็ดูจะมีความสุขกับการเล่นเกมปั่นประสาทกับอิทธิพัทธ์ ชายหนุ่มที่มาพบเธอเมื่อวันก่อนอย่างมาก แต่นานๆเข้า ทั้งสองก็เริ่มจะสนิทกันมากขึ้นทุกทีเช่นกัน

ไอยเปิดดูแจ้งเตือนต่างๆหลังจากอาบน้ำ สระผมและไดร์ผมให้แห้งเรียบร้อยแล้ว เธอคาดไว้ไม่ผิดนักที่เห็นว่าเขาทักเธอมาอีกรอบหลังจากคุยกันไปแล้วตั้งแต่ช่วงบ่าย

(อิทธิ : คุณๆ วันนี้เป็นยังไงบ้าง งานยุ่งมั้ย) 

'ก็นิดหน่อยค่ะ คุณล่ะ หายไปสองสามวันเลย งานเยอะเหรอคะ' 

(อิทธิ : นิดหน่อยครับ เพราะคุณจ่ายหนี้ตรง ผมเลยไม่ต้องไปหา เสียดายจัง ผมล่ะคิดถึงคุณจริงๆเลย)

'แหม อะไรกันคะ คุณอิทธิจะจีบไอยรึเปล่าเนี่ย' 

(อิทธิ : ก็เป็นไอเดียที่ดีนะครับ แต่ผมจะต้องเสียค่าสินสอดเยอะแน่ๆ) 

'ลองเล่นเกมกันดูมั้ยล่ะคะ ใครรักใครก่อนถือว่าแพ้ ถ้าฉันรักคุณก่อน คุณก็ไม่ต้องจ่ายสินสอด แต่ถ้าคุณแพ้ คุณต้องจ่ายเท่าที่ไอยเรียกนะ' 

(อิทธิ : โห คุณ .... อย่าแกล้งกันแบบนี้สิ) 

'ก็แค่ใจแข็งซักนิดซักหน่อย เป็นถึงมือขวามาเฟีย ยังไงก็ต้องคีพลุคให้โหดเป็นปกติอยู่แล้วนี่คะ ไม่น่ายาก' 

(อิทธิ : คุณไอยชอบผู้ชายโหดรึไงครับ)

   ไอยศิกานิ่งไปซักพัก ไม่เคยมีใครถามเธอแบบนี้ซักครั้งเดียว เขาเป็นคนแรกที่ถามเธอออกมาตรงๆ แต่เธอก็ไม่เคยรู้ตัวว่าชอบคนแบบไหนอยู่ดีน่ะแหละ 

'ไอยชอบคนแบบไหน ไอยก็ไม่เคยรู้หรอกค่ะ ไม่เคยนึกถึงชีวิตที่คบใครซักคนมาก่อนเหมือนกัน' 

(อิทธิ : ผมว่าคุณไอยไม่ต้องรีบหรอก คนที่โสดมานานคงนึกภาพเวลามีคู่ไม่ออกอยู่แล้ว ผมเองก็ไม่เคยมีแฟนจริงจังเหมือนกัน) 

'อ๋อ ค่ะ คุณอิทธิออกจะหน้าตาดี ทำไมถึง...' 

(อิทธิ :  ฮ่าๆ ขอบคุณครับที่ชม ผมล่ะดีใจจริงๆ แต่ผมเคยเป็นคนชั่วมาก่อน ถ้าคุณรู้ คุณอาจจะเกลียดผมมากๆเลยก็ได้นะ) 

'ถ้าตอนนี้คุณไม่ได้ทำแบบนั้นแล้ว ไอยก็ไม่ได้สนใจว่าอดีตที่เคยมีมันจะเป็นยังไงค่ะ ไอยรักคนที่เข้าใจและพร้อมเดินไปด้วยกัน ทั้งปัจจุบันและในอนาคตมากกกว่า' 

(อิทธิ : แปลว่าคุณจะยอมพิจารณาคนแบบผมงั้นสิ)

'ก็อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ.... ' 

ไอยเว้นช่วงไปซักพักเพื่อสร้างความสงสัยให้กับอีกฝ่ายที่กำลังรอคำตอบ 

'ใครรักใครก่อน คนนั้นแพ้ค่ะ' 

(อิทธิ : งั้นได้ครับ ผมจะลองเข้ามาเล่นในเกมแสนอันตรายของคุณเอง) 

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!