สามปีผ่านไป
ตอนนี้มาร์คอายุ9ปีแล้วรูปร่างน่าตาของเขานั้นดูดีมากซึ่งคนในโลกนี้ก็น่าตาดีกันอยู่แล้วด้วย
"นี้มาร์คเจ้าจะไปหาวงเเหวนวิญญาณตอนไหนหลอ"
เสียงของถังหวู่หลินดังขึ้นขณะที่มาร์คกำลังฝึกอยู่ภายในจิตใจอยู่
ร่างกายของถังอยู่หลินก็ไม่ต่างไปจากมังฮัวมากถึงแม้จะไม่มีน่าเอ๋อร์เป็นน้องสามก็ตามส่วนสูงของทั้งสองก็ไม่ได้ห่างกันมากโดยที่มาร์คนั้นจะสูงกว่าถังหวู่หลินอยู่นิดหน่อยแต่ก็สามารถบอกว่าทั้งสองส่วนสูงเท่ากันเลยก็ได้
"เร็วๆนี้แหละ"
เงินของมาร์คนั้นครบนานแล้วเพราะการขายมรดกเเต่ที่เขาไม่ไปไหนหรอเพราะเขาต้องเตียมเงินไว้ให้พอที่จะเลี้ยงดูน่าเอ๋อร์ด้วยและอีกอย่างหนึ่งเขาต้องการให้ตัวเขาเเข็งเเกร่งกว่านี้เสียก่อนเพื่อให้ตอนดูดซัฟดวงจิตภูตง่ายขึ้นบ้างมั้ง(แต่จริงๆแล้วเขาขี้เกลียด)
{แล้วเจ้าจะเอาแบบไหนหละ}
[ไม่รู้สิคงจะสุ่ม]
"วันนี้เจ้าจะให้ข้าไปยืนรอน่าเอ๋อร์ด้วยไหม?"
"ไม่ต้องก็ได้"
"ถึงเเม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรู้ว่าเจ้าเป็นพี่ชายของน่าเอ๋อร์แต่ถ้าเกิดการต่อสู้อีกแล้วใครจะคอยปกป้องน่าเอ๋อร์หละ"
"งั้นเจ้ามาด้วยก็ได้"มาร์คกล่าวอย่างหาคำโต้แย้งถังหวู่หลินไม่ได้
\*\*\*
มาร์คยืนพิงอยู่ที่ประตูโรงเรียนเพื่อยืนรอน่าเอ๋อร์ส่วนถังหวู่หลินก็ยืนอยู่ไม่ห่างกัน มากนัก
“ตอนนี้คงไม่มีใครเข้ามาหาเรื่องพวกเราเลยนะมีแต่คนมองอย่างเดียว เลย"
“ถ้าไม่โง่ก็คงอยากเจ็บตัวอ่ะถ้าจะ เข้ามาหาเรื่อง"
ฮะฮ่าๆ เจ้าก็พูดแรงเกินไปนะ”
“ไม่หรอก”
“อ่ะ น่าเอ๋อร์มาแล้ว!”
“ช้าหน่อยก็ได้นะเดี๋ยวก็ล้มหรอก”
มาร์คกล่าวพร้อมกับหันไปมองน่าเอ๋อร์ ที่สวนสูงไม่ค่อยเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ แต่เรื่อง ความงดงามในเด็กวัยเดียวกันนั่นคงงดงาม เหมือนเดิม..
ในระหว่างสามปี ความสัมพันธ์ของ พวกเขาดีขึ้นกว่าตอนแรกๆพอสมควร ในขนาดที่เป็นพี่ชายกับน้องสาวได้เลยถึง แม้มาร์คจะยังไม่เคยเอ่ยปากบอกให้อีกฝ่าย มาเป็นน้องสาวของตนก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้ ปฏิเสธที่จะให้อีกฝ่ายมาเป็นน้องสาม
“พี่ชายทั้งสอง ข้าอยากกินอมยิ้ม”
น่าเอ์อกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผิด จากสามปีก่อนแรกๆที่ไม่ค่อยยิ้ม.. แต่พอ ผ่านไปไมนานจะยิ้มบ่อยมากขึ้นกิเถอะ
"ได้สิ"
"เดี๋ยวข้าจ่ายเองหรือเจ้าอยากจ่ายเเทนหละ"มาร์คหันไปถามถังหวู่หลิน
"ก็เจ้าสิเงินของเจ้ามีมากกว่าข้าอีกนะ"
"ฮ้าฮ้า"
หลังจากจากที่มาร์คซื้ออมยิ้มให้น่าเอ๋อร์เสร็จเเล้วก็พาน่าเอ๋อร์กลับบ้านจากนั้นมาร์คจึงไปทำงาน
หอวิญญาณ
ตอนแรกที่มาร์คมาถึงนั้นก็เหมือนว่าจะโดนมองว่าน่ารำคาญใส่แต่มาร์คก็ไม่ได้สนใจ
ซึ่งมาร์คนั่นถือว่าโชคดีที่ได้มาเป็นหนึ่ง ร้อยปี แต่เขาก็ยังไม่ได้หลอมรวมกันมันใน ทันที...
รูปร่างของมันเหมือนกับนกที่มีเปลวไฟออกจากตัวมันบางๆจนเเทบจะมองไม่เห็น
\*\*\*
“กลับมาแล้วน่าเอ๋อร์
"ยินดีต้อนรับกลับพี่ชาย เป็นยังไง
"บ้าง?"
น่าเอ๋อร์ โผล่ออกมาจากด้านในบ้าน และเดินเข้ามาหามาร์คที่ปิดประตูหน้าบ้าน วันนี้เขาไม่จําเป็นต้องไปทำงานเพราะ ลาไว้
“... ได้เจ้านี่มา"
มาร์คขี้ไปที่ไหล่ของตนเพื่อบ่งบอกว่า เขาได้อะไรมา
"แล้วหิว ยังละ? จะได้ไปทำอาหารให้"
“อืมหิว เยอะๆเลยนะ"
"เดี๋ยวก็อ้วนหรอก...
'ถึงจะกินเยอะทุกวันก็เถอะแต่รูปราง ไม่เปลี่ยนซักนิด...'
“ข้าไมอ้วนหรอก”
“จ้าฯ”
{เจ้าเนียเอ็นดูน่าเอ๋อร์จริงๆนะ}
มันก็จริงแหละ .. แต่ก็ต้องดูแล ให้ดีที่สุดจนกว่าจะถึงวันที่เธอจากไปละ
{เจ้าจะได้ไม่เสียใจ?}
'ไมรู้สิ ในเมื่อเธอเป็นน้องสาวฉันแล้ว คงจะดูแลและเตรียมใจไว้ขนาดไหนฉันก็คงเศร้าอยู่ดีนั่นแหละนะ'
หลังจากที่ทำอาหารให้น่าเอ๋อร์แล้ว มาร์คก็กลับขึ้นไปบนห้องและนั่งลงตรงพื้น กลางห้องเพื่อที่จะทำการหลอมรวม
มาร์คเรียกให้มันมาอยู่ที่มือซ้ายของเขาแล้วมาร์คก็หลับตาลงเพื่อทำสมาธิและหลอมรวมกับ นกที่มีเปลวไฟจางๆรอบตัว
เวลาผ่านไปได้ซักระยะดาบในมือข้างซ้ายก็ได้ ปรากฏขึ้นเหนือมือซ้ายของมาร์คนกตัวนั้นก็ค่อยๆบินเข้าไปยังดาบดาบอย่างช้าๆ... ก่อนที่มันจะ แบ่งแสงออกมาและนกก็ค่อยๆหลอมรวมเข้ากับดาบข้างซ้ายอย่างช้าๆ
ราชามังกรดวงดาวมองดูอยู่ได้กล่าว แบบที่ไม่ให้มาร์คได้รับรู้
{ไหนๆแล้วขาจะช่วยอะไรบางอย่าง ให้ละกัน...}
ลมจางๆ ได้พัด มาอย่างเงียบๆ ทําให้ผมและเสื้อผ้าของมาร์คโบกสบัดเล็ก น้อย. แสงระยิบระยับร่องลอยอยู่รอบตัวของมาร์คและได้หลอมรวมเข้ากับตัวของมาร์คอย่างเงียบๆ
น่าเอ๋อร์ที่เดินขึ้นมาหามาร์คเพราะมี เรื่องจะถามเกี่ยวกับอสูรสปิริต พอเปิดประตูเข้าไปเมื่อได้เห็นมาร์คกำลัง หลอมรวมอยู่ได้นิ่งไปซักระยะก่อนจะ ค่อยๆเดินออกไปแล้วปิดประตูเอาไว้เหมือน เดิม
ขณะที่ทุกอย่างดูจะไปได้สวยมาร์ค ก็รู้สึกแปลกๆและเริ่มกัดฟันเล็กน้อย เหงื่อเริ่มไหลออกมาอาบร่างกายหนักกว่า เดิมก่อนจะไอออกมาเป็นเลือดสีด้า
“แค่กๆ”
เวลาผ่านไปซักสามสิบนาทีมาร์คได้ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยสภาพที่ร่างกายเต็ม ไปหมดเหงื่อ แต่ร่างกายของเขากลับดูเบา ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มาร์คหันมองดูมือของตัวเองที่ตอนนี้ นกตัวนั้นได้หายไปแล้วก่อนจะมองเลือดสิ ค่าตรงหน้า
"แกเป็นคนทํา?"
{ใช้ข้าเป็นคนทํา ข้าข่วยเอาเลือดเสียจากรางกายของเจ้ามันจะทำให้ ร่างกายเจ้าเบา และดูจะแข็งแรงกว่าปกติแถมหล่อกว่าเดิมด้วยนะ}
'.........ไม่ได้อยากหล่อขึ้นเลยซักนิด'
{แต่มันก็ทําให้เจ้าเก่งขึ้นนั่นแหละ}
'แต่พื้นห้องมันเละ'
{ก็แค่ทําความสะอาดเอง}
'ก็เองไม่ได้ทำนิหว่า!'
มาร์คเดินลงไปข้างล่างเพื่อที่จะหยิบ เอาของขึ้นไปทําความสะอาดห้องแต่พอลง มาก็เจอกับน่าเอ๋อร์ที่กำลังรอเขาอยู่พอดี
"พี่ชายเป็นยังไงบ้าง?"
"ก็เรียบร้อยดี"
วันเวลาได้ผ่านพ้นไปเรื่อยๆจนมาถึง วันที่น่าเอ๋อร์หายไป... เหลือไว้เพียงแค่ จดหมายบอกลากับจี้ห้อยคอสีเงิน นเล็ก ตัวจี้เป็นอัญมณีที่มีสีเงิน ผิวอัญมณีรูปทรง กลมเป็นเหลี่ยมมุมไม่เรียบเนียนและมีเส้น ด้ายสีเงินร้อยผ่านตัวจี้
ภายในตัวอัญมณีมีแสงเจ็ดสีสอง ประกายระยิบระยับเป็นครั้งดูแล้วเป็น อัญมณีที่ดูล้ำค่า
มาร์คจ้องมองจดหมายสลับกับจี้ห้อย คออย่างเงียบๆด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่สามารถระบุได้
{....เจ้านั่งแบบ มาได้ 5 นาทีแล้วนะ}
"..อืม"
มือของมาร์คสันเล็กน้อย... ถึงจะ เตรียมใจและร้อนาคตข้างหน้าอยู่แล้วแต่ การจากไปของน่าเอ๋อร์มันก็กระทบจิตใจ ของเขาอยู่ดี...
มาร์คถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเกาหัวของตัวเองเบาๆอย่างช่วยไม่ได้
"...ยังไงเราก็คงได้เจอกันอีกในวัน ข้างหน้าแหละนะ"
{แต่เจ้าก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นเสียก่อนนะ}
"...ก็แข็งแกร่งขึ้นตามเวลานั่นแหละน่า"
{นั่นสินะแต่ถ้าเจ้าจะดูดวงแหวนอัน ใหม่แล้วบอกข้านะข้าจะได้เตรียมตัวช่วย เจ้าด้วย}
"เออได้แหละแต่ขออย่างเดียว.. ไม่เอาหล่อเพิ่มนะเดี๋ยวมีปัญหา"
หลังจากที่น่าเอ๋อร์หายไปมาร์คก็จบการศึกษาขั้นต้น
มาร์คเดินไปหน้าแท่นบรรยายและรับจดหมายแนะนำที่หลินซีเมิ่งยื่นส่งให้ นี่เป็นจดหมายแนะนำที่โรงเรียนหงซานออกให้ เมื่อมีจดหมายแนะนำฉบับนี้ เขาก็ไปรายงานตัวที่โรงเรียนขั้นกลางสำหรับผู้ใช้ภูตได้แล้ว นักเรียนคนใดก็ตามที่สามารถฝึกถึงระดับผู้เชี่ยวชาญภูตในระหว่างการเรียนโรงเรียนขั้นต้นได้ ล้วนจะได้รับการรับรองให้เรียนในโรงเรียนขั้นกลางเพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น การมีวงแหวนภูตหนึ่งวงเป็นเงื่อนไขบังคับ ส่วนดวงจิตภูตจะเป็นอะไรนั้น ไม่ได้มีเงื่อนไขกำหนดไว้ถังหวู่หลินก็ได้จดหมายเเนะนำเช่นกันทำให้ทั้งสองจึงเรือกที่จะเรียนโรงเรียนที่เดียวกัน
\*\*\*
สถานีรถไฟพลังวิญญาณแห่งเมืองตงไห่ รถไฟพลังวิญญาณสีน้ำเงินเข้มขบวนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่สถานีพร้อมกับลดความเร็วลงเรื่อยๆ ในเมืองตงไห่แห่งนี้ รถไฟพลังวิญญาณแทบจะทั้งหมดล้วนใช้โทนสีน้ำเงินเป็นหลัก
เมื่อรถไฟจอดสนิท ประตูจึงเปิดออก ผู้คนเดินเรียงแถวกันออกจากขบวนรถไฟ โดยคนจำนวนมากจะมีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ติดตัวมาด้วย เวลาเพียงครู่เดียว สถานีรถไฟก็พลันคึกคักขึ้นมาในทันใด ผู้คนจำนวนมาพากันเดินมุ่งหน้าไปยังทางออก
ถังหวู่หลินและมาร์คดึงเป้ที่สะพายอยู่ข้างหลังของตน แล้วจึงเดินตามกลุ่มคนเหล่านั้นออกไปด้านนอก นี่เป็นครั้งแรกของทั้งสองที่มาเยือนเมืองใหญ่แห่งนี้ ถังหวู่หลินมองทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างด้วยความสงสัยใคร่รู้แต่สำหรับมาร์คนั้นไม่ใช่ในชีวิตก่อนของมาร์คภาพแบบนี้นั้นพบเห็นได้ค่อนค่างง่าย
พวกเขามาที่เมืองนี้ก็เพื่อที่จะมาเข้าเรียนที่เมืองแห่งนี้ และกำลังจะไปรายงานตัวที่โรงเรียนตงไห่แห่งเมืองตงไห่
"แล้วเราจะเอาไงกันต่อหละมาร์ค"
"ก็คงจะไปที่นั้นเพื่อถามทางไปโรงเรียนตงไห่กันก่อนหละมั้ง"
พวกเขามุ่งหน้าไปมีหอคอยตั้งอยู่ บนนั้นมีคำว่า หน่วยงานปกครอง
ในหอคอยมีเจ้าหน้าที่ที่สวมเครื่องแบบอยู่สองราย ถังหวู่หลินและมาร์คเดินเข้าไปถังหวู่หลินกล่าว “สวัสดี ท่านลุงเจ้าหน้าที่ รถรับส่งของโรงเรียนตงไห่อยู่ที่ไหนหรือ?”
หลังจากที่มาร์คและถังหวู่หลินรู้จุดที่รถรับส่งของโรงเรียนตงไห่อยู่แล้วทั้งสองจึงมุ่งหน้าไป
ตงรถรับส่งของโรงเรียนตงไห่มีป้ายที่มีพื้นสีขาวตัวหนังสือสีน้ำเงินอยู่ตรงนั้นจริงๆ บนนั้นมีตัวอักษรตัวใหญ่เขียนไว้ว่า โรงเรียนตงไห่
ใต้ป้ายนั้นมีโต๊ะและเก้าอี้ หลังโต๊ะมีชายหญิงอายุราวสิบเจ็ด สิบแปด ที่สวมชุดกีฬาสีน้ำเงินอยู่หลายคน
เมื่อเห็นถังหวู่หลินและมาร์ควิ่งตรงมา หญิงสาวที่มีผมสีดำก็กล่าวกับเขาพร้อมรอยยิ้ม “น้องชาย เจ้ามารายงานตัวใช่ไหม?”
หญิงสาวผมดำมีดวงตาคมสวย รูปร่างปานกลาง รูปหน้าสวยหวาน และมีท่าทางเป็นกันเอง
"สวัสดีพี่สาวข้าชื่อถังหวู่หลินและนี้มาร์คเพื่อนข้าเองมารายงานตัวครับ"
หลิวหยู่ซินพิจารณาเด็กผู้ชายทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึงเล็กน้อย ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนเด็กอายุสิบเอ็ด สิบสองปี แต่หากมาเพื่อรายงานตัวเป็นนักเรียนใหม่ ก็ต้องมีจดหมายแนะนำมากจากโรงเรียนเดิม นั่นก็คือ เด็กคนนี้มีอายุเพียงแค่เก้าปี
ถึงแม้จะมีอายุน้อย แต่หน้าตาพวกเขาช่างงามยิ่งนัก ใช่แล้ว หลิวหยู่ซินใช้คำว่างามในการบรรยายถึงหน้าตาของถังหวู่หลินที่อยู่ตรงหน้า เพราะดวงตาคู่โตและขนตายาวที่ทำให้ตนเองรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยนั่น แล้วไหนจะสีหน้าท่าทางที่แสดงออกถึงความมึนงงและกระวนกระวายเล็กน้อยนั่นอีก ส่วนของมาร์คดวงตาคู่โตและขนตายาวที่ทำให้ตนเองรู้สึกอิจฉานั้นอีกและในดวงตามีความเปล่งประกายลาวกับดวงดาว คล้ายกับผู้หญิงก็มิปราณ
“สวัสดี ข้าคือหลิวหยู่ซินที่อยู่ปีหนึ่งของภาคการศึกษาขั้นสูงในโรงเรียนตงไห่ รับผิดชอบการต้อนรับนักเรียนใหม่ในครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่ของพวกเจ้าล่ะนะ มานี่สิ เจ้ามาลงทะเบียนก่อน แล้วเดี๋ยวแสดงจดหมายแนะนำจากโรงเรียนขั้นต้นของพวกเจ้าด้วยล่ะ”
หลิวหยู่ซินยื่นแบบการลงทะเบียนให้ถังหวู่หลินและมาร์ค
หลิวหยู่ซินมองดูถังหวู่หลินกรอกใบลงทะเบียนพลันอ่านออกเสียงอย่างอดไม่ได้ “ถังหวู่หลิน อายุเก้าปี จบการศึกษาขั้นต้นจากโรงเรียนหงซานแห่งเมืองอ้าวหลาย ขั้นที่สิบเอ็ด ผู้ใช้ภูตประเภทพฤกษา ดวงจิตภูตคือหญ้าสีฟ้า เอ๋ ดวงจิตภูตของเจ้าคือหญ้าสีฟ้างั้นหรือ?”
ถังหวู่หลินพยักหน้า
หลิวหยู่ซินยิ้มหวาน “เจ้าสามารถฝึกจนหญ้าสีฟ้ามีระดับขั้นที่สิบเอ็ดด้วยอายุเพียงเท่านี้ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยนะ”
เขาไม่ได้ยินคำเหยียดหยามที่ได้ยินเป็นประจำ ทำให้ความรู้สึกดีที่ถังหวู่หลินรู้มีต่อรุ่นพี่ผู้นี้เพิ่มขึ้นมากทีเดียว เขาเกาหัวเล็กน้อยพร้อมกล่าว “พี่สาว ท่านรู้จักผู้ใช้ภูตที่มีดวงจิตภูตเป็นหญ้าสีฟ้าคนอื่นด้วยหรือ?”
หลิวหยู่ซินกล่าวพร้อมรอยยิ้มละมุน “มีสิ! ในโรงเรียนของพวกเรานี่แหละ และเขาทำได้ไม่เลวทีเดียว อันที่จริง ผู้ใช้ภูตอย่างเราคงอยู่มานานกว่าหลายหมื่นปี จนพัฒนามาถึงทุกวันนี้ ดวงจิตภูตจะเป็นอะไรนั้นไม่สำคัญเหมือนที่เคยเป็นในอดีตกาลแล้วล่ะ เพราะพวกเราสามารถพัฒนาด้านต่างๆผ่านการหลอมรวมกับวิญญาณภูตได้ นอกจากนี้ เมื่อเจ้าขึ้นภาคการศึกษาขั้นสูงก็จะรู้เอง ว่าดวงจิตภูตไม่ใช่จุดสำคัญถึงเพียงนั้น สิ่งที่สำคัญจริงๆคือการมีพลังวิญญาณในระดับขั้นที่สูงพอ และพรสวรรค์ในด้านหุ่นจักรกลต่างหาก อย่างไรเสีย การมีอยู่ของหุ่นจักรกล ก็สามารถทำให้ผู้ใช้ภูตที่มีดวงจิตภูตไม่โดดเด่นเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ดังนั้น น้องชาย เจ้าต้องตั้งใจเรียนเข้าล่ะ ต่อไปเจ้าก็เรียกข้าว่ารุ่นพี่แล้วกัน”
“ขอบคุณรุ่นพี่” ถังหวู่หลินรู้สึกขอบคุณรุ่นพี่ที่งดงามผู้นี้ด้วยความจริงใจ คำกล่าวของนาง ช่วยคลายความรู้สึกตื่นเต้นของเขาที่เพิ่งเคยได้มาเยือนเมืองใหญ่เป็นครั้งแรกได้มากทีเดียว
หลิวหยู่ซินตรวจดูจดหมายแนะนำจากโรงเรียนของถังหวู่หลินและมาร์ค แล้วจึงประทับตราและคืนให้เขา จากนั้นจึงส่งแผ่นป้ายโลหะเล็กๆให้กับมาร์คเเละถังหวู่หลิน
“พวกเจ้าแขวนป้ายโลหะนี้ไว้บนคอนะ นี่เป็นหลักฐานที่จะทำให้เจ้าสามารถเข้าออกโรงเรียนได้ก่อนที่เจ้าจะเริ่มเข้าเรียนจริงๆ เมื่อถึงโรงเรียนแล้ว ต้องไปรายงานตัวอีกครั้งเพื่อรับข้าวของเครื่องใช้ พวกเจ้าไปขึ้นรถโดยสารพลังวิญญาณด้านหลังก่อน รอให้คนเยอะสักหน่อยแล้วจะส่งพวกเจ้าไปโรงเรียนนะ”
ถังหวู่หลินกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วจึงสะพายกระเป๋าสัมภาระของตนและเดินตรงไปยังรถโดยสาร
เมื่อมาร์คกับถังหวู่หลินขึ้นรถไปแล้วทั้งสองจึงหาที่นั่งเป็นอันดับแรกถังหวู่หลินนั่งติดหน้าต่างส่วนมาร์คนั่งถัดไปจากถังหวู่หลิน..
ขนาดของรถนั้นใหญ่พอที่จะรองรับคนได้ถึงห้าสิบคนเลยทีเดียว
\*\*\*
"มาร์คถึงโรงเรียนแล้ว"ถังหวู่หลินปลุกมาร์คที่หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้
หลังจากที่มาร์คและถังหวู่หลินลงมาจากรถแล้วหลินหยู่ซินก็ได้มาหาพวกเขาเพื่อที่จะพาไปยังสำนักวิชาการระหว่างทางหลินหยู่ซินก็ได้เเนะนำเรื่องต่างๆภายในโรงเรียนให้พวกเขา
"ทางนั้นคือสำนักวิชาการพวกเจ้าต้องไปรายงานตัวที่นั่นส่วนหอพักภาคการศึกษาขั้นกลางอยู่ข้างหลังของอาคารเรียนตรงนั่นต่อไปถ้ามีปัญญาหรือเรื่องอะไรให้มาหาข้าที่ภาคการศึกษาขั้นสูงได้ข้าอยู่ปีหนึ่งห้องหนึ่งภาคการศึกษาขั้นสูง"
"ขอบคุณ"
หลังจากนั้นทั้งสองจึงเดินไปหอวิชาการสิ่งที่ได้ก็มีชุดเครื่องเเบบนักเรียนสองชุดเเละกุญเเจหอพักหนึ่งดอกส่วนหนังสือเรียนจะได้ตอนเริ่มเรียนอย่างเป็นทางการแล้ว
ถังหวู่หลินได้อยู่ห้องห้าส่วนมาร์คอยู่ห้องสาม
น.ห้องพักของมาร์ค
"นี้มันห้องเ. ี้ยไรเนี่ย"มาร์คได้อุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้เพราะห้องที่เขาได้มันทั้งลกและฝุ่นเกาะหนามากเหมือนไม่มีคนใช้มานาน
{ดูแล้วเจ้าคงได้อยู่คนเดียวสินะ}
"อยู่คนเดียวมันก็ดีแต่สภาพห้องมันก็ลกเกิน!"
มาร์คจึงทำความสอาดก่อนข่อยไปขออะไรนิดหน่อยที่หอวิชาการ
มาร์คใช้เวลาไม่นานในการเดินมาที่หอวิชาการ
"ผมขอเข้าประเด็นเลยละกันช่วยย้ายผมไปที่ห้องห้าหน่อยสิ"
"ไม่ได้ แล้วทำไมเจ้าถึงอยากอยู่ห้องห้าความสามารถของเจ้ามันก็มากพอที่จะอยู่ห้องสามนะข้าขอเหตุผลหน่อยสิ"
"มันก็ไม่มีไรมากหลอกแค่ในห้องห้าของมีเพื่อนของข้าอยู่แค่นั้น"
"ได้แล้วเจ้าอย่ามาขอเปลี่ยนห้องอีกหละ"
หลังจากมาร์คได้เปลี่ยนมาอยู่ห้องห้าแล้วจึงไปที่ห้องอาหาร
"เฮ้อ..หิวสะมัดเลย"
{มาถึงเจ้าก็หิวเลยนะ}
"ก็ใช้สิ"
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 6
Comments
be stuck
ต่อครับ
2022-10-25
1