ผละจากโถงใหญ่ด้วยสีหน้าชืดชา เซียวเหยียนที่ใจลอยเล็กน้อยทำตามความเคยชิน ปีนป้ายขึ้นภูเขาด้านหลังนั่งบนยอดผา เหม่อมองทิวเขาสูงชันที่ปกคลุมด้วยม่านหมอกฝั่งตรงข้ามเงียบๆ ที่นั่นคือเทือกเขาสัตว์อสูรที่ขึ้นชื่อลือชาของจักรวรรดิเจียหม่า
“เฮอะๆ พลังฝีมือเอ๋ย...บนโลกนี้ ไม่มีพลังฝีมือยังต่ำต้อยยิ่งกว่าอุจจาระสุนัขกองหนึ่งอีก อย่างน้อยอุจจาระสุนัขยังไม่มีใครไปเหยียบ!”
ยักไหล่นิดหนึ่ง เสียงเยาะตัวเองของหนุ่มน้อยเจือรอยหม่นเคือง สะท้อนก้องเหนือยอดเขาสิบนิ้วสอดเข้าเรือนผมดำสนิท เซียวเหยียนกัดริมฝีปากแรงๆปล่อยให้คาวเลือดจางๆ อวลในปาก แม้กลางโถงใหญ่ เขามิได้แสดงท่าทีไม่เหมาะสมอะไรออกมา แต่ประโยคนั้นของน่าหลันเยียนหราน กลับไม่ต่างจากคมมีดกรีดบนหัวใจทำให้เซียวเหยียนสั่นระริกทั้งตัว…
“ความอัปยศในวันนี้ ข้าไม่ขอรับอีกเป็นคำรบสอง”
แบมือซ้ายที่มีรอยเลือดแนวหนึ่ง สุ้มเสียงเซียวเหยียนพร่าแตก ทว่าเด็ดเดี่ยว
“คิกๆ เด็กน้อย ดูเหมือนเจ้าต้องการความช่วยเหลือ!”
ขณะเซียวเหยียนสาบานในใจ เสียงหัวเราะแปลกๆ เหมือนคนแก่พลันดังเข้าหูสีหน้าแปรเปลี่ยน เซียวเหยียนหมุนตัวขวับ สายตาดุจเหยี่ยวกวาดมองเบื้องหลัง กลับไม่พบเห็นเงาคนแม้แต่น้อย
“คิกๆ อย่าหาเลย ข้าอยู่ในแหวนนี่”
ขณะที่เซียวเหยียนเข้าใจว่าตัวเองหูแว่ว เสียงหัวเราะประหลาดนั้นก้องดังขึ้นอีกครั้งลูกตาหดเล็ก สายตาของเซียวเหยียนพลันหยุดกึกที่แหวนโบราณสีดำบนมือขวา
“เป็นท่านกำลังพูด ?”
เซียวเหยียนข่มความตื่นกลัวในใจ บังคับให้เสียงตัวเองราบเรียบ
“เด็กน้อยจิตแข็งใช้ได้ ไม่ถึงกับตกใจจนกระโดดลงไป”
เสียงหัวเราะหยอกล้อดังขึ้นจากในแหวน
“ท่านเป็นใคร ไฉนอยู่ในแหวนข้า ท่านจะทำอะไร”
หลังเงียบไปอึดใจ เซียวเหยียนสอบถามถึงปัญหาสำคัญอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ข้าเป็นใครเจ้าอย่าเพิ่งใส่ใจ รู้แค่ว่าจะไม่ทำร้ายเจ้าก็พอ เฮ่อ หลายปีมานี้ ในที่สุดก็ได้เจอ คนที่ผ่านด่านการทดสอบพลังจิตแล้ว โชคดีจริงๆ คิกๆ แต่อย่างไรก็ต้องขอบใจเด็กน้อยที่เลี้ยงดูข้ามาสามปี ไม่อย่างนั้น เกรงว่าข้าคงต้องหลับใหลต่อไป”
“เลี้ยงดู?”
กะพริบตาด้วยความสงสัย อึดใจถัดมา ใบหน้าเล็กๆของเซียวเหยียน พลันเคร่งขรึมขึ้น เค้นเสียงเยียบเย็นผ่านไรฟันออกมา
“ที่ปราณแห่งยุทธ์ในกายข้า หายไปโดยไม่รู้สาเหตุ เป็นฝีมือท่าน?”
“คิกๆ ข้าเองก็จำใจ เด็กน้อยอย่าได้ถือโทษ”
“เป็นไปไม่ได้!”
เซียวเหยียนที่สุขุมเยือกเย็นตลอดมา ยามนี้กระโดดโหยงราวคนบ้า หน้าตาดุร้าย และไม่สนว่านี่คือมรดกที่มารดาทิ้งไว้ให้ตน พลันกระชากแหวนบนนิ้วโดยไม่เสียเวลาครุ่นคิด จากนั้นเขวี้ยงลงหุบเหวสูงชัน แหวนเพิ่งพันมือ เซียวเหยียนใจหายวูบ รีบยื่นมือไขว่คว้า แต่แหวน ที่พ้นมือได้หล่นร่วงสู่เหวลึกแล้วตะลึง มองแหวนที่หายลับไปกับไอหมอก เซียวเหยียนอึ้งงันอยู่อึดใจ ใบหน้า ค่อยกลับสู่ความสงบอีกครั้ง ตบหน้าผากอย่างกลัดกลุ้ม
“เจ้างั่ง หุนหันเกินไป หุนหันเกินไปแล้ว”
เพิ่งรับทราบว่า ตัวการที่ทำให้ตน ได้รับการเหยียดหยามมาสามปี ที่แท้เป็นแหวน ที่ใส่ติดตัวตลอดเวลา มิน่าเซียวเหยียน จึงควบคุมสติอารมณ์ไม่อยู่ นั่งอยู่ริมผาพักใหญ่ เซียวเหยียนค่อยส่ายหน้าอย่างจนใจ ลุกยืนขึ้น หมุนกาย ดวงตาเบิกกว้าง นิ้วมือสั่นสะท้านเมื่อชี้วัตถุตรงหน้า...
เบื้องหน้าเซียวเหยียน ยามนี้ลอยคว้างอยู่ด้วยแหวนโบราณสีดำวงหนึ่ง ที่ทำให้เซียวเหยียนแตกตื่น ยังคงเป็นท้องฟ้า บริเวณเหนือแหวนมีเงาร่าง ชราภาพที่โปร่งแสงคนหนึ่งพลิ้วลอยอยู่
“คิกๆ เด็กน้อย ไยต้องโมโหปานนี้ ก็แค่ดูดกลืนปราณแห่งยุทธ์ สามปีของเจ้าเอง”
ชายชราโปร่งแสง ยิ้มกริ่มจ้องมองเซียวเหยียนที่ปากอ้าตาค้าง พลางเปิดปากกล่าวมุมปากกระตุก ในสุ้มเสียง ของเซียวเหยียน สะกดเพลิงโทสะเต็มที่
“ตาเฒ่า ในเมื่อท่านซ่อนอยู่ในแหวนข้า เช่นนั้นก็คงทราบว่า เพราะท่านดูดกลืนปราณแห่งยุทธ์ของข้า นำมาซึ่ง เสียงเยาะหยันมากน้อย เท่าใดกระมัง”
“แต่ในเสียงเยาะหยันสามปีนี้ เจ้าก็เติบโตขึ้นมิใช่หรือ ถ้าไม่ใช่สามปีนี้ เจ้าจะมีความอดทนและสติปัญญาเช่นนี้ได้หรือ”
หัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้าน ผู้สูงวัยกล่าวซีดๆขมวดคิ้ววูบหนึ่ง อารมณ์ของเซียวเหยียนเริ่มสงบลง หลังบันดาลโทสะ ความยินดีปรีดาพลันมาเยือน ในเมื่อไขปริศนา การหายไปของปราณแห่งยุทธ์ได้แล้ว เช่นนั้นบัดนี้ พรสวรรค์ของเขาย่อมต้องหวนคืนเช่นกัน!
แค่คิดว่ามีโอกาส หลุดพันจากสมญานามเศษสวะได้ ในที่สุดเรือนร่างของเซียวเหยียน ปลอดโปร่งเหมือนเกิดใหม่ และตาเฒ่าตัวแสบตรงหน้า ก็พลอยแลดูไม่น่าชังไปด้วยของบางสิ่ง มีเพียงสูญเสียไป จึงถ่องแท้ในคุณค่าของมัน!
สูญแล้วได้คืน จะทำให้คนทะนุถนอมยิ่งขึ้น!
ยืดเหยียดข้อมือเบาๆ เซียวเหยียนผ่อนลมหายใจคำหนึ่ง แหงนหน้ากล่าว
“แม้ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครกันแน่ แต่ข้าใคร่ถามสักข้อ ต่อไปท่านยังคิด จะสิงอยู่ในแหวน ดูดกลืนปราณแห่งยุทธ์ของข้าอีกหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าขอเตือนว่ายังคงหาที่อยู่ใหม่เถอะ ข้าเลี้ยงท่านไม่ไหว”
“คิกๆ คนอื่นกลับไม่มีญาณ สัมผัสที่แก่กล้าเช่นเจ้า”
ผู้สูงวัยลูบเครากระจุกหนึ่งพลางยิ้มกล่าว
“ในเมื่อข้าเลือกที่จะเผยโฉมออกมาเอง เช่นนั้นต่อไปก่อนได้รับอนุญาตจากเจ้า ย่อมจะไม่ดูดกลืนปราณแห่งยุทธ์ของเจ้าอีก”
เซียวเหยียนกลอกตาค้อน แค่นหัวเราะไม่พูดจา เขาตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าตาเฒ่านี่จะกล่อมด้วยวาจาหวานหูปานใด ก็จะไม่ให้อีกฝ่ายติดตามข้างกายตนอีกแล้ว
“เด็กน้อย อยากเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งหรือไม่ อยากได้รับการเทิดทูน บูชาจากผู้อื่นหรือไม่”
แม้กำหนดแน่ในใจ ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีก ครั้นได้ยินถ้อยคำชุดนี้ หัวใจของเซียวเหยียนยังคงอดเต้นโครมมิได้
“ตอนนี้ข้าล่วงรู้สาเหตุ การหายไปของปราณแห่งยุทธ์แล้ว ด้วยพรสวรรค์ของข้า เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งยังต้องพึ่งพาท่านหรือ?”
สูดหายใจเนิบๆ เซียวเหยียนเอ่ยเสียงจืดชืด เขาตระหนักแก่ใจ ใต้หล้านี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่กินเปล่า ยอมรับบุญคุณ จากบุคคลลึกลับผู้หนึ่ง โดยไม่มีสาเหตุ หามิใช่การตัดสินใจที่ชาญฉลาด
“เด็กน้อย พรสวรรค์ของเจ้าแม้ดีมาก แต่เจ้าควรทราบ ตอนนี้เจ้าสิบห้าขวบแล้ว และปราณแห่งยุทธ์ของเจ้ากลับเพิ่งถึงช่วงที่สาม ข้าเหมือนเคยได้ยินว่า ปีหน้าเจ้าก็ต้องเข้าพิธีโตเต็มวัยแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าคิดว่าภายในหนึ่งปีสั้นๆ อาศัยแค่การฝึกมานอย่างหนัก ก็พุ่งพรวดถึงช่วงที่เจ็ดได้? อีกอย่างเจ้าเพิ่งเดิมพัน กับสาวน้อยคนนั้น ในอีกสามปีถัดไป พรสวรรค์ของเด็กหญิงคนนั้นกลับมิได้ต่ำทรามกว่าเจ้าเท่าใด เจ้าอยากไล่ให้ทันนางกระทั่งเหนือกว่านาง ไหนเลยง่ายดายปานนั้น”
ใบหน้าเหี่ยวย่นของผู้สูงวัย ยามนี้คล้ายดอกเบญจมาศที่บานแฉ่งดอกหนึ่ง
“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านดูดกลืน ปราณแห่งยุทธ์ของข้า ข้าหรือจะถูกนางสบประมาทปานนี้? ท่านมันตาเฒ่บัดซบ!”
โดนผู้สูงวัยแทงถูกใจดำ ใบหน้าเซียวเหยียนบูดบึ้งอีกครั้ง โมโหจนเอ็ดตะโร ขึ้นมาหลังแผดด่ายกใหญ่ เซียวเหยียนกลับสู่ความซึมเซา เรื่องราวถึงขั้นนี้ ก่นด่าอย่างไรก็ไม่มีอะไรดีขึ้น การฝึกปราณแห่งยุทธ์ พื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญมาก ปีนั้นสี่ขวบตนเริ่มฝึกฌาน ฝึกอยู่หกปีเต็มๆ ถึงบรรลุปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่เก้า ต่อให้ตอนนี้พรสวรรค์ของตนฟื้นฟูกลับมา แต่คิดจะฝึกถึงช่วงที่เจ็ดภายในเวลาหนึ่งปี โดยปกติแล้วแทบไม่มีความเป็นไปได้ถอนใจอย่างท้อแท้ เซียวเหยียนเหลือบมองผู้สูงวัยโปร่งแสงที่ท่าทางสูงส่งคนนั้น หัวใจพลันกระตุกวูบ เม้มปากก่อนกล่าว
“หรือท่านมีวิธี?”
“อาจจะ”
ผู้สูงวัยยิ้มตอบกำกวม
“ท่านช่วยข้าบรรลุ ปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่เจ็ดในเวลาหนึ่งปี เรื่องที่ท่านดูดพลังข้าสามปี ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน เป็นอย่างไร”
เซียวเหยียนหยั่งเชิง
“คิกคิก เจ้าเด็กน้อยหัวหมอดีนี่”
“หากท่านไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า เช่นนั้นข้าไยต้องพกพาตัวภาระนี้ไว้ข้างกาย ข้าว่า ท่านผู้เฒ่ายังคงหาร่างอื่นสิงเถอะ”
เซียวเหยียนแค่นหัวเราะ สนทนาได้สักพัก เขาพอมองออกว่า ผู้สูงวัยร่างโปร่งแสงท่านนี้ คล้ายไม่สามารถดูดกลืนปราณแห่งยุทธ์ จากใครได้ทุกคน
“เจ้าไม่เหมือนหนุ่มน้อยสิบห้าขวบสักนิด ดูเหมือนสามปีนี้เจ้าเติบโตขึ้นมากจริงๆ นี่ถือเป็นกรรมสนองข้าใช่หรือไม่”
แลเห็นเซียวเหยียนเจ้าเล่ห์ปานนี้ ผู้สูงวัยผงะวูบ พลันส่ายหน้าไปมา อย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เซียวเหยียนแบมือ เอ่ยชืดๆ
“อยากให้ข้าเลี้ยงดูท่านต่อ ท่านก็ควรแสดงความจริงใจบ้าง”
“เด็กน้อยที่ปากคอฉาดฉาน ตกลง ตกลง ใครใช้ให้เราตาแก่ ยังมีเรื่องขอร้องเด็กน้อย ตัวแสบอย่างเจ้า”
ผงกศีรษะระอาใจ เงาร่างของผู้สูงวัยพลิ้วลง พื้นสายตาพินิจ เซียวเหยียนขึ้นลงหลายรอบ รอยยิ้มพิลึกประหนึ่ง แผนชั่วลุล่วงชนิดหนึ่งผุดขึ้นบนใบหน้า ก่อนหายวับอย่างรวดเร็วรวนเร เล็กน้อยค่อยเปิดปากอย่างไม่เต็มใจนัก
“เจ้าอยากเป็นนักปรุงโอสถหรือไม่”
“นักปรุงโอสถ?”
สดับคำถาม เซียวเหยียนตะลึงงัน ตามด้วยขมวดคิ้ว
“ในมหาพิภพโต้วชี่ ขอเพียงเป็นคน ต่างปรารถนากลายเป็นนักปรุงโอสถ แต่นักปรุงโอสถใครๆ ก็สามารถเป็นได้อย่างนั้นหรือ เงื่อนไขที่โหดร้ายเหล่านั้น”
คำพูดชะงักกึก เซียวเหยียนเงยหน้าอ้าปากกว้าง
“ข้าบรรลุเงื่อนไขแล้ว?”
ค่อนข้างชื่นชมสีหน้าตื่นเต้นดีใจระคนวาดหวังของเซียวเหยียนผู้สูงวัยลูบเคราดรุ่นคิดเล็กน้อย พินิจขึ้นลงอีกรอบ ก่อนทอนถอนอย่างลำบากใจ
“แม้คุณสมบัติจะผ่านแบบเฉียดฉิว แต่ใครใช้ให้ข้าติดค้างน้ำใจเจ้าเรื่องหนึ่งเล่า เฮ่อ ช่างเถอะ ถือว่าชดใช้หนี้บุญคุณแล้วกัน”
เหล่มองผู้สูงวัยที่ปั้นหน้าฝืนใจเต็มที ในใจของเซียวเหยียน มักรู้สึกที่ตาเฒ่าคนนี้บอกว่า คุณสมบัติผ่านแบบเฉียดฉิว ออกจะเสแสร้งชอบกล แต่ตอนนี้เขาคร้านจะซักไซ้ เพียงแต่ในความยินดีปรีดา ยังแฝงความสงสัยอยู่หลายส่วน
“ต่อให้ข้าบรรลุเงื่อนไข แต่นักปรุงโอสถโดยปกติล้วนต้องผ่านการอบรมสั่งสอน จากอาจารย์โดยตรง หรือท่านเป็นนักปรุงโอสถ?”
จ้องมองดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงน ผู้สูงวัยหัวเราะ ยืดอกเล็กน้อย ในน้ำเสียงเจือรอยภาคภูมิใจ
“มิผิด ข้าก็คือนักปรุงโอสถ”
กะพริบตาปริบๆ แววตาเซียวเหยียนที่มองดูผู้สูงวัย พลันเปล่งประกายขึ้นมา นักปรุงโอสถ!
นั่นคือบุคคล้ำค่าเชียวนะ!
“ท่านผู้เฒ่า เรียนถามเล็กน้อย เมื่อก่อนท่านเป็นนักปรุงโอสถระดับใด”
เซียวเหยียนเลียริมฝีปาก สุ้มเสียงอ่อนใสแฝงรอยเกรงใจหลายส่วน ในมหาพิภพโต้วชี่ นักปรุงโอสถแม้ล้ำค่า ฐานะสูงส่ง หากก็มีระบบ การแบ่งระดับชั้นอย่างชัดเจน จากต่ำถึงสูง แบ่งออกเป็นระดับหนึ่งถึงเก้าก่อนหน้านี้ในห้องโถงใหญ่ เจ้าของโอสถผนึกปราณในมือเก่อเย่...ราชาโอสถกู่เหอ ก็เป็นนักปรุงโอสถระดับหกท่านหนึ่ง ในโลกปรุงยาของจักรวรรดิเจียหม่า ได้รับการยกย่องเป็นอันดับหนึ่ง
“ระดับใด คิกๆ จำไม่ได้แล้ว...เอ๊ะ เด็กน้อย ตกลงเจ้าจะเรียนหรือไม่เรียน”
ส่ายศีรษะไปมา ผู้สูงวัยพลันโพล่งถามน้ำเสียหงุดหงิด
“เรียน เรียน!”
เซียวเหยียนไม่ลังเลอีกแล้ว ศีรษะเล็กๆ รีบผงกขึ้นลง นักปรุงโอสถ แม้แต่สำนักม่านเมฆา ที่อิทธิพลกว้างขวาง ก็ยังยกย่องให้เป็นอาคันตุกะชั้นสูง
“คิกๆ เช่นนั้นก็กราบอาจารย์เถอะ”
ผู้สูงวัยนั่งขัดสมาธิบนหินก้อนหนึ่ง หัวเราะเจ้าเล่ห์
“ยังต้องกราบอาจารย์อีกหรือ?”
“เหลวไหล เจ้าไม่กราบอาจารย์ก็คิดจะให้ข้าประสิทธิประสาทความรู้ให้ ฝันกลางวัน!”
ผู้สูงวัยค้อนตาหลับตาเหลือก เห็นชัดว่าตาเฒ่าที่นิสัยค่อนข้างคร่ำครึ ให้ความสำคัญ กับความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์มากเบะปากจนใจ เพื่อกลายเป็นนักปรุงโอสถที่ล้ำค่าคนหนึ่ง เซียวเหยียนได้แต่ทำพิธี กราบอาจารย์ด้วยความนอบน้อม แลเห็นเซียวเหยียนกราบไหว้ ครบถ้วนกระบวนความ ผู้สูงวัยค่อยผงกศีรษะพึงใจ ในน้ำเสียงยิ่งทวีความสนิทสนมขึ้น
“ข้าเรียกว่าเย่าเหล่า ส่วนความเป็นมาของข้า ตอนนี้ขออุบไว้ก่อน เลี่ยงมิให้เจ้าเสียสมาธิ เจ้ารู้ไว้แค่ว่า เจ้าคนที่ได้รับการยกย่อง เป็นราชาโอสถอะไรนั่น อันที่จริง..อันที่จริง ก็แค่ชนชั้นสามัญคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
มุมปากกระตุก เซียวเหยียนมองดูท่าทางสบายๆ ของผู้สูงวัยคำพูดที่กำลังจะหลุดปากพลันกลืนกลับลงไป 'ตาเฒ่านี่มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ราชาโอสถกู่เหอที่โด่งดังไปทั่ว จักรพรรดิเจียหม่า เขากลับไม่เห็นอยู่ในสายดา คำพูดนี้หากสะพัดออกไป คงได้ถูกคนทั้งจักรวรรดิเจียหม่า หัวเราะว่าเป็นคนบ้าแน่ๆ'สูดหายใจนิดหนึ่ง ข่มความตื่นตระหนกในใจ เซียวเหยียนกลอกตาคราหนึ่ง ยิ้มกริ่มขณะกล่าว
“ไม่ทราบอาจารย์ จะทำให้ข้าบรรลุปราณ แห่งยุทธ์ช่วงที่เจ็ด ภายในหนึ่งปีได้อย่างไร”
“แม้สามปีที่ผ่านมา ปราณแห่งยุทธ์ของเจ้า ลดลงตลอด แต่ก็เพราะเหตุนี้ จึงส่งผลให้รากฐานของเจ้าแข็งแรงมั่นคงเหนือผู้อื่น การฝึกปราณยุทธ์ รากฐานคือสิ่งสำคัญที่สุด วันหน้าเจ้าก็จะสัมผัสได้เอง ว่าสามปีที่พลังฝีมือถดถอยนั้น นำผลดีมาให้เจ้าปานใด”
รอยยิ้มบนใบหน้าเย่าเหล่าค่อยๆ เลือนหาย ขณะกล่าวน้ำเสียงจริงจัง เซียวเหยียนงงงัน เขาไม่ทราบจริงๆ พลังฝีมือถดถอย สามารถนำผลดีอะไรมาให้ตน
“เช่นนั้นเมื่อใดจะสอนวิชาปรุงยาให้ข้า”
เซียวเหยียนกลอกตาคราหนึ่ง พุ่งความสนใจไปยังสิ่งสำคัญที่สุด
“อยากกลายเป็นนักปรุงโอสถ จำเป็นต้องมีเปลวเพลิงปราณยุทธ์สนับสนุน ดังนั้นก่อนเรียนวิชาปรุงยา อย่างน้อย เจ้าต้องกลายเป็นนักยุทธ์ รวมทั้งต้องฝึกเคล็ดวิชาปราณยุทธ์ที่เป็นธาตุไฟ วิชาหนึ่งเสียก่อน”
“เคล็ดวิชาธาตุไฟ? ฮาๆ อาจารย์ ในเมื่อข้าเป็นศิษย์ของท่าน เช่นนั้นท่านก็เอาเคล็ดวิชาธาตุไฟ ชั้นฟ้ามาให้ข้าฝึกเถอะ”
เซียวเหยียนยื่นมือออกไป เอ่ยขอพร้อมเสียงหัวเราะ
“เหลวไหล เจ้าคิดว่าเคล็ดวิชาชั้นฟ้า คือหัวมันหัวเผือกหรือไร พูดออกมาได้!”
สดับวาจา เย่าเหล่าหนังหน้ากระตุก ด่าทออย่างหัวร่อไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก
“ตาเฒ่า ในเมื่อกราบไหว้เป็นศิษย์ท่านแล้ว จะให้ข้าไปหาเคล็ดวิชาจากในตระกูลอีกหรือ ในตระกูลพวกเรา เคล็ดวิชาธาตุไฟที่ดีที่สุด ข้าจำได้ว่าก็แค่ชั้นทองขั้นสูงเท่านั้น นี่ออกจะอัปลักษณ์เกินไปกระมัง”
เซียวเหยียนปั้นหน้ากลัดกลุ้ม
“เจ้าลูกสัตว์ นี่อาจารย์ ไม่ใช่ตาเฒ่า!”
ฉุนกับคำเรียกขาน ของเซียวเหยียนจนค้อนควัก เย่าเหล่าคิดไม่ถึง นี่เพิ่งกราบไหว้อาจารย์แท้ๆ เจ้าหมอนี่ก็ลามปามถึงศีรษะแล้ว
“ ในเมื่อเป็นศิษย์ข้า ย่อมไม่ให้เจ้าอัปลักษณ์แน่นอน เคล็ดวิชาชั้นฟ้า ข้าไม่มี! แต่ข้ากลับมีเคล็ดวิชาที่พิสดารพันลึกกว่าเคล็ดวิชาชั้นฟ้าเจ้าจะเรียนหรือไม่”
แค่นเสียงคำหนึ่ง ในดวงตาพร่ามัวของเย่าเหล่าพลันแพรวพราว ด้วยเหลี่ยมเล่ห์
“พิสดารพันลึกยิ่งกว่าเคล็ดวิชาชั้นฟ้า?”
หัวใจเต้นรัว เซียวเหยียนกลืนน้ำลาย ลูกตาดำเข้มทอประกายร้อนแรงไม่รู้ตัว
“นั่นเป็นเคล็ดวิชาระดับใด”
“ชั้นทองขั้นต้น”
เสียงหัวเราะของเย่าเหล่า ทำให้เซียวเหยียนชักสีหน้า
“ตาเฒ่า ท่านแกล้งข้า?”
อึดใจให้หลัง เหนือยอดผาปรากฏเสียงคำรามกราดเกรี้ยว ของหนุ่มน้อยก้องดังขึ้น แลเห็นหนุ่มน้อยโมโหจนหน้าตาเหยเก เย่าเหล่าหัวเราะสะใจ สามารถทำให้เซียวเหยียน ที่เยือกเย็นจนเหมือนปีศาจน้อย กลายเป็นสภาพนี้ได้ เขารู้สึกภาคภูมิใจจริงๆ
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 200
Comments