กลางโถงใหญ่ เซียวจั้นและผู้อาวุโสสามท่าน กำลังสนทนา กับผู้สูงวัยแปลกหน้าท่านนั้น อย่างกระตือรือร้น แต่ผู้สูงวัยท่านนี้คล้าย มีสิ่งใดที่ยากเอ่ยกระนั้น ทุกครั้งเมื่อคำพูดถึง ปากล้วนจะกลืนกลับลงไปอย่างอ่อนใจ และทุกครั้งสาวน้อยงาม ระหงทางด้านข้างเป็นต้องถลึงตา ใส่ผู้สูงวัยแวบหนึ่งอย่างเหลืออดรับฟังได้ครู่หนึ่ง เซียวเยียนส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย
“พี่เซียวเหยียน ท่านทราบหรือไม่พวกเขาเป็นใคร”
ขณะเซียวเหยียนเบื่อจัดจนสัปหงก ซวินเอ๋อร์ด้านข้างใช้นิ้วพลิกเปิดหน้าหนังสือเก่าแก่อีกครั้ง ยิ้มถามโดยไม่เบนสายตา “เจ้ารู้?” เหลียวหน้ามาด้วยความฉงน เซียวเหยียนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“เห็นกระบี่เงินลายเมฆา ที่ชายแขนเสื้อของพวกเขาหรือไม่”
ซวินเอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ
“โอ?”
สะดุดใจวูบ สายตาเซียวเหยียนจับจ้องปลายแขนเสื้อของทั้งสาม พบว่ามีกระบี่เงินลายเมฆาอยู่จริง
“พวกเขาเป็นคนของสำนักม่านเมฆา?”
เซียวเหยียนเอ่ยเบาๆ อย่างอัศจรรย์ใจแม้มิได้ออกไปสะสมประสบการณ์ภายนอก แต่เซียวเหยียนเคยเห็นข้อมูลเกี่ยวกับ สำนักกระบี่แห่งนี้ จากในหนังสือมาบ้างเมืองที่บ้านตระกูลเซียว ตั้งอยู่มีชื่อว่าเมืองอูถ่าน เมืองอูถ่านอยู่ได้การปกครอง ของจักรวรรดิเจียหม่า ถึงแม้เมืองนี้อยู่ติดเทือกเขาสัตว์อสูร และติดอันดับเมืองใหญ่ของจักรวรรดิเจียหม่า หากก็จัดอยู่ท้ายแถวเท่านั้นตระกูลของเซียวเหยียนมีอิทธิพลในเมืองอูถ่านพอสมควร ทว่ากลับมิใช่ครองอำนาจแต่ผู้เดียว ในเมืองนี้ยังมีอีกสองตระกูลซึ่งทรงอิทธิพล ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลเซียว สามฝ่ายห้ำหั่นทั้งที่ลับที่แจ้ง มาหลายสิบปี ยังคงไม่อาจชี้วัดต่ำสูงได้ หากกล่าวว่าตระกูลเซียวคือหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพล ของเมืองอูถ่านเช่นนั้นสำนักม่านเมฆาที่เซียวเหยียนพูดถึง อาจบางทีสมควรกล่าวว่าเป็นผู้ทรง อิทธิพลของทั้งจักรวรรดิเจียหม่า!
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนี้ ประหนึ่งคลองหงโกวคั่นกลาง มิน่าเล่า แม้แต่ท่านพ่อที่ปกติเคร่งขรึม ยามนี้ยังพูดจาด้วยน้ำเสียงยำเกรง
“พวกเขามาทำอะไรที่ตระกูลเรา”
เซียวเหยียนกระซิบถามเสียง ฉงนปลายนิ้วเรียวที่เคลื่อนขยับชะงักเล็กน้อย ซวินเอ๋อร์นิ่งเงียบอึดใจหนึ่งจึงกล่าว
“อาจเกี่ยวข้องกับพี่เซียวเหยียน...”
“ข้า? ข้าไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับพวกเขานี่”
สดับวาจา เซียวเหยียนแปลกใจ ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ทราบหรือไม่สาวน้อยคนนั้นชื่อว่าอะไร”
ซวินเอ๋อร์กวาดมองดรุณีสวยสง่าด้านตรงข้ามแวบหนึ่งอย่างซีดชา
“ชื่ออะไร”
หัวคิ้วขมวดมุ่น เซียวเหยียนซักไซ้
“น่าหลันเยียนหราน!”
ใบหน้าซวินเอ๋อร์ผุดแวว ประหลาดเมื่อชำเลืองเซียวเหยียนที่ตัวแข็งค้าง
“น่าหลันเยียนหราน? หลานสาวของน่าหลันเจี๋ยแม่ทัพใจสิงห์แห่งจักรวรรดิเจียหม่า น่าหลันเยียนหราน? คู่หมั้นของข้าที่หมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่อยู่ในท้อง ?”
เซียวเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
“คิกๆ ตอนนั้นท่านปู่เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย กับน่าหลันเจี๋ยประจวบ กับท่านและน่าหลันเยียนหราน เกิดพร้อมกันพอดี ดังนั้นท่านผู้เฒ่าทั้งสอง จึงกำหนดเรื่องวิวาห์นี้ขึ้น แต่เสียดาย ปีที่สามหลังจากท่านเกิด ท่านปู่ก็สู้ศึกกับศัตรูจนเสียชีวิต เวลาผันผ่านนานเข้า ความสัมพันธ์ของตระกูลเซียว และตระกูลน่าหลันจึงจืดจากลง...”
ซวินเอ๋อร์หยุดนิดหนึ่ง มองดูดวงตาเบิกกว้างของเซียวเหยียน อดหัวเราะเบาๆ มิได้ ก่อนพูดต่อ
“น่าหลันเจี๋ยคนนี้ไม่เพียงนิสัยหยิ่งทะนงซ้ำยังเป็นผู้ยึดมั่นในคำสัญญายิ่งชีพ เรื่องหมั้นหมายในตอนนั้นเป็นเขารับปากด้วยตนเอง ดังนั้นต่อให้ระยะนี้ชื่อเสียงของพี่เซียวเหยียนตกต่ำเขาก็ไม่เคยส่งคนมาขอถอนหมั้น”
“ตาแก่นี่นับว่าหยิ่งทะนงได้น่ารักมาก...”
ฟังถึงตรงนี้ เซียวเหยียนอดหัวเราะส่ายหน้ามิได้
“น่าหลันเจี๋ยมีสิทธิ์ขาดในตระกูล วาจาของเขาโดยปกติไม่มีใครกล้าคัดค้าน แม้เขาจะรักน่าหลันเยียนหรานหลานสาวคนนี้มาก แต่หากจะให้เอ่ยปากยกเลิกการหมั้นหมาย กลับยากเย็นอยู่บ้าง”
ดวงเนตรสวยของซวินเอ๋อร์ เป็นเส้นโค้งเล็กน้อยเมื่อกล่าวกระเช้า
“ทว่าก่อนหน้านี้ห้าปี น่าหลันเยียนหรานถูกเจ้าสำนักม่านเมฆาหยุนยุ่นรับเข้าเป็นศิษย์ช่วงห้าปีนี้ น่าหลันเยียนหรานแสดงออกถึงพรสวรรค์ฝึกยุทธ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ยิ่งส่งให้หยุนยุ่นรักเอ็นดูนางไม่คลาย เมื่อคนผู้หนึ่งมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตตนเอง นางจะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดทิ้ง ซึ่งสิ่งไม่พึงประสงค์ของตน และโชคร้าย เรื่องแต่งงานของพี่เซียวเหยียนกับนางก็คือจุดที่ทำให้นางไม่พอใจที่สุด”
“เจ้าหมายความว่า ครั้งนี้นางมายกเลิกสัญญาหมั้น?”
สีหน้าแปรเปลี่ยน โทสะขุมหนึ่งทะลักขึ้นในใจเซียวเหยียน แรงโทสะนี้หาใช่เป็นเพราะ น่าหลันเยียนหรานสบประมาทเขา กล่าวตามสัตย์สาวน้อยด้านตรงข้ามแม้งดงามเฉิดฉาย แต่ถึงจะแต่งงานกับนางไม่สำเร็จอย่างมากเซียวเหยียนก็แค่เสียใจอยู่บ้าง แต่หากนางขอยกเลิกสัญญาหมั้น กับท่านพ่อตนต่อหน้าผู้คน เต็มโถง เช่นนั้น ท่านพ่อในฐานะประมุขตระกูล ไยมิใช่เสียหน้าใหญ่หลวง แล้วน่าหลันเยียนหราน ไม่เพียงรูปโฉมงดงาม ฐานะสูงส่ง ซ้ำยังมีพรสวรรค์เป็นเลิศ ไม่ว่าใครเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ย่อมจะคิดว่าเขาเซียวเหยียนคือคางคกริอ่านจะกินเนื้อห่านฟ้า กลับถูกห่านฟ้าเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้า...
เช่นนี้แล้ว วันหน้าไม่เพียงแต่เซียวเหยียน ต่อให้บิดาเขาก็จะกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่น สูญสิ้นเกียรติยศศักดิ์ตรีสูดไอเย็นเบาๆ ดำหนึ่ง ฝ่ามือของเซียวเหยียนที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อม้วนกำจนแน่น 'หากตอนนี้ตนเป็นคุรุยุทธ์คนหนึ่ง ใครยังกล้าย่ำยีถึงเพียงนี้แน่นอน หากเวลานี้เซียวเหยียน มีพลังฝีมือระดับคุรุยุทธ์ เช่นนั้นต่อให้น่าหลันเยียนหราน มีสำนักม่านเมฆาหนุนหลัง ก็ไม่มีทางกระทำพฤติกรรมเยี่ยงนี้ออกมา คุรุยุทธ์ที่วัยเพียงสิบห้าขวบ ในประวัติศาสตร์ของมหาพิภพโต้วชี่ หลายปีมานี้มีอยู่นับคนได้ และไม่กี่คนนี้ต่างกลายเป็น ผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงการ ฝึกปราณยุทธ์ไปแล้วมือเนียนนุ่ม ข้างหนึ่งลอดผ่านแขนเสื้อออกมา กดบนมือที่กำแน่นของเซียวเหยียน ซวินเอ๋อร์เอ่ยเสียงละมุน
“พี่เซียวเหยียน หากนางทำเช่นนี้จริง ก็เป็นความสูญเสียของนางเท่านั้น ซวินเอ๋อร์เชื่อว่า ภายหน้านางจะต้องสำนึกเสียใจ เพราะสายตาคับแคบ ของนางในวันนี้แน่”
“สำนึกเสียใจ?”
แค่นหัวเราะ เซียวเหยียนเผยสีหน้าเยาะหยันตนเอง
“ข้าในตอนนี้มีความสามารถเช่นนั้นหรือ?”
“ซวินเอ๋อร์ ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักพวกเขาดี สิ่งที่เจ้าเคยพูดก่อนหน้านี้ อาจบางทีแม้แต่ท่านพ่อข้าก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร”
โบกมือไปมาเบาๆ เซียวเหยียนเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ซวินเอ๋อร์ผงะ กลับอมยิ้มไม่ตอบเซียวเหยียน ได้แต่เบะปากอย่างจนใจ ซวินเอ๋อร์แม้แซ่เซียว แต่ไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับเขาแม้แต่น้อย รวมทั้งบิดามารดาของซวินเอ๋อร์ เซียวเหยียนก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน ทุกครั้งที่เขาถามถึงเรื่องนี้กับท่านพ่อ ท่านพ่อที่ใบหน้าแย้มยิ้มจะเปลี่ยนเป็นปิดปากเงียบทันที ชัดเจนว่าบิดามารดาของซวินเอ๋อร์คือสิ่งต้องห้าม ถึงขนาด...น่ากลัว!
ในใจของเซียวเหยียน ฐานะของซวินเอ๋อร์เป็นความลับสุดยอด แต่ไม่ว่าเขาจะหลอกถามอย่างไร แม่สาวน้อยคนนี้ก็ใช้ ความเงียบงันอันชาญฉลาดมารับมือ ทำเอาเซียวเหยียนหมดสิ้นวิธีการ
“เฮ่อ ช่างเถอะ คร้านจะตอแยเจ้า ไม่พูดก็แล้วไป”
ส่ายศีรษะไปมา สีหน้าเซียวเหยียนพลันเคร่งขรึมลง เพราะภายใต้การขยิบตาไม่หยุด ของน่าหลันเยียนหรานฝั่งตรงข้าม ผู้สูงวัยท่านนั้นผุดลุกขึ้นในที่สุด'เฮอะๆ อาศัยบารมีสำนักม่านเมฆามาข่มท่านพ่อหรือ?
น่าหลันเยียนหราน เจ้าเล่ห์ไม่เบาจริงๆ' เสียงเยาะอย่างโกรธๆ ดังขึ้นในใจเซียวเหยียน
“แค่ก”
ผู้สูงวัยชุดขาวกระแอมคำหนึ่ง ลุกยืนประสานมือต่อเซียวจั้น ยิ้มกล่าว
“ประมุขตระกูลเซียว พวกเรามาเยือนตระกูลท่านในครั้งนี้ที่สำคัญคือมีเรื่องขอร้อง”
“ฮาๆ ท่านเก่อเย่ มีเรื่องอะไรเชิญกล่าวเต็มที่ หากสามารถกระทำได้ ตระกูลเซียวย่อมไม่บ่ายเบี่ยง”
สำหรับผู้เฒ่าท่านนี้ เซียวจั้นกลับมิกล้าเสียมารยาท รีบลุกขึ้นกล่าวน้ำเสียงเกรงใจ แต่เพราะไม่ทราบอีกฝ่ายจะขอร้องเรื่องใด ดังนั้นได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้
“เฮอะๆ ประมุขตระกูลเซียว ท่านรู้จักนางหรือไม่”
เก่อเย่ระบายยิ้ม ชี้ไปที่สาวน้อยด้านข้างพลางเอ่ยถาม
“เอ่อ...อภัยที่เซียวจั้นสายตาฝ้าฟาง คุณหนูท่านนี้...”
พอฟังเซียวจั้นชะงักกึก พินิจสาวน้อยขึ้นๆ ลงๆ ก่อนสั่นหน้าอย่างเก้อเขิน ปีนั้นขณะน่าหลันเยียนหราน ถูกหยุนยุ่นรับเป็นศิษย์ วัยเพียงสิบขวบ ฝึกวิชาอยู่ในสำนักม่านเมฆาเป็นเวลาห้าปี อังคำว่าสตรีเติบใหญ่ยิ่งงามงด หลายปีไม่พบพาน เซียวจั้นย่อมไม่ทราบสาวน้อยตรงหน้าก็คือลูกสะใภ้ในนามของตนเอง
“แค่ก.....ชื่อของนางคือน่าหลันเยียนหราน”
“น่าหลันเยียนหราน? หลานสาวของท่านผู้เฒ่าน่าหลัน?”
เซียวจั้นตื่นตะลึงก่อน ตามด้วยสีหน้าลิงโลด คงเพราะจดจำเรื่องในอดีตได้แล้ว ยามนั้นจึงผุดยิ้มอ่อนโยนต่อสาวน้อย
“ที่แท้ก็หลานน่าหลันนั่นเอง อาเซียวไม่เจอหน้าเจ้าหลายปีแล้ว อย่าถือสาสายตาคนแก่เลย”
เห็นภาพตรงหน้าทุกคนตะลึงเล็กน้อย ผู้อาวุโสทั้งสามต่างสบตากันแวบหนึ่ง หัวคิ้วอดขมวดมิได้
“ท่านอาเซียว หลานไม่เคยมาเยี่ยมคารวะ ที่ต้องขอโทษควรเป็นข้าต่างหาก ไหนเลยกล้าตำหนิท่านอาได้”
น่าหลันเยียนหรานยิ้มหวาน
“ฮาๆ หลานน่าหลัน ก่อนนี้เคยได้ยินว่าท่านหยุนยุ่นรับเจ้าเป็นศิษย์ตอนนั้นยังเข้าใจว่าเป็นข่าวลือ คิดไม่ถึงกลับเป็นเรื่องจริง หลานช่างมีพรสวรรค์เยี่ยมยอดโดยแท้”
เซียวจั้นเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม
“เยียนหรานเพียงวาสนาดีเท่านั้น”
ยิ้มอ่อนๆ น่าหลันเยียนหรานออกจะลำบากใจกับความกระตือรือร้นของเซียวจั้น มือที่ใต้โต๊ะจึงกระตุกเก่อเย่ด้านข้างเบาๆ
“ประมุขตระกูลเซียว เรื่องที่ข้าจะขอร้องในวันนี้ก็เกี่ยวข้องกับเยียนหราน อีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นท่านเจ้าสำนักเอ่ยปากด้วยตนเอง...”
เก่อเย่กล่าวกลั้วหัวเราะ เมื่อเอ่ยถึงคำ 'เจ้าสำนัก' สีหน้าพลันเคร่งขรึม ขึ้นสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เซียวจั้นเก็บงำรอยยิ้มเช่นกัน หยุนยุ่นเจ้าสำนักม่านเมฆาเป็นบุคคล สำคัญของจักรวรรดิเจียหม่า ตนซึ่งเป็นแค่ประมุขตระกูลตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่มีคุณสมบัติไปขัดใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทว่าด้วยอิทธิพลอำนาจของเจ้าสำนักม่านเมฆา จะมีเรื่องอะไรที่ต้องให้ตระกูลเซียวช่วยเหลือ เก่อเย่บอกว่าเกี่ยวข้องกับหลานน่าหลัน หรือว่า...
นึกถึงความเป็นไปได้บางอย่าง มุมปากของเซียวจั้นพลันกระตุกฝ่ามือใหญ่หนาสั่นสะท้านเล็กน้อย แต่ดีที่มีแขนเสื้อบดบัง ดังนั้นจึงไม่ถูกพบเห็น กล้ำกลืนเพลิงโทสะในใจลงไป ส้มเสียงเซียวขั้นค่อนข้างสั่นเมื่อเอ่ย
“ท่านเก่อเย่ เชิญกล่าว!”
“แค่ก..”
แววประหม่าปรากฏขึ้นบนหน้าเก่อเย่ ทว่าคำนึงถึงความรักเอ็นดูที่เจ้าสำนักมีต่อน่าหลันเยียนหราน ได้แต่กัดฟันยิ้มกล่าว
“ประมุขตระกูลเซียว ท่านก็ทราบ สำนักม่านเมฆามีกฎระเบียบเข้มงวด บวกกับท่านเจ้าสำนักคาดหวังในตัวเยียนหรานค่อนข้างสูง เวลานี้เรียกได้ว่าอบรมบ่มเพาะนางให้เป็นเจ้าสำนักคนถัดไปด้วยซ้ำ และก็เพราะข้อ กำหนดบางอย่าง ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักก่อนจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ล้วนไม่อาจมีความพัวพันกับบุรุษ...หลังจากท่านเจ้าสำนักได้สอบถามเยียนหราน ทราบว่านางมีสัญญาหมั้นหมาย อยู่กับตระกูลเซียว ดังนั้น...ดังนั้นท่านเจ้าสำนักจึงหวังว่าประมุขตระกูลเซียว จะ...จะยกเลิกสัญญาหมั้นนี้”
เปรี๊ยะ! ถ้วยหยกในมือเซียวจั้น แหลกละเอียดเป็นผุยผงกลางโถงเงียบสงัด ผู้อาวุโสสามท่านด้านบนตื่นตระหนกกับคำพูดของเก่อเย่เช่นกัน ทว่าอึดใจถัดมา สายตาที่พวกเขาหันมองเซียวจั้น ถึงกับเพิ่มแววเยาะหยันและถากถาง หึๆ ถูกคนบังดับให้ยกเลิกสัญญาหมั้นถึงบ้าน ดูที่ว่าประมุขตระกูลอย่างเจ้า ต่อไปยังมีศักดิ์ศรีอะไรมาปกครองคนในตระกูล'หนุ่มสาวรุ่นเยาว์บางส่วนไม่ทราบเรื่อง สัญญาหมั้นของเซียวเหยียนกับน่าหลันเยียนหราน ทว่าหลังจากแอบถามจากบิดามารดาด้านข้าง พวกเขาพลันรู้สึกภาพตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสนุกเร้าใจขึ้นมา ส่งสายตาเหยียดเยาะไปทางเซียวเหยียนตรงมุมห้อง เห็นสีหน้าเครียดเคร่งสุดขีดของเซียวจั่น น่าหลันเยียนหรานไม่กล้าเงยหน้า นิ้วมือเกี่ยวกันแน่น
“ประมุขตระกูลเซียว ข้าทราบคำขอร้องนี้ออกจะสร้างความลำบากใจเกินไป แต่ได้โปรดเห็นแก่หน้าท่านเจ้าสำนัก ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายเสียเถอะ”
ทอดถอนอ่อนใจ เก่อเย่เอ่ยขึ้นชืดๆเซียวจั้นกำหมัดแน่น ปราณยุทธ์สีเขียวจาง แผ่ปกคลุมเรือนกายช้าๆ สุดท้ายถึงกับรวมตัวบนใบหน้า กลายเป็นหัวสิงห์ที่เลือนรางหัวหนึ่งสุดยอดเคล็ดวิชาตระกูลเซียว : สิงห์คลั่งวายุเดือด! ระดับชั้น : ชั้นนิลขั้นกลาง!
เห็นปฏิกิริยาของเซียวจั้น สีหน้าเก่อเย่ก็พลันเคร่งขรึมขึ้นมาเรือนร่าง ขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า น่าหลันเยียนหราน สองมืององุ้มประดุจกรงเล็บเหยี่ยว ปราณยุทธ์สีเขียวเวียนวนอยู่ในกรงเล็บ แผ่ซ่านรังสีกระบี่ ที่เล็กละเอียดแต่เฉียบคม สุดยอดเคล็ดวิชาสำนักม่านเมฆา กระบี่ไม้เขียว! ชั้นนิล ขั้นต้น!
พริบตาถัดมา พวกหนุ่มสาวในโถงใหญ่ ที่พลังฝีมือไม่กล้าแข็ง ด่างหน้าซีดขาว โพรงอกจุกแน่นขึ้นมาทันทีขณะที่เสียงหายใจของเซียวจั้นถี่รัวขึ้น เสียวตวาดของผู้อาวุโสสาม ท่านพลันดังกระหึ่มกลางโถงใหญ่ประหนึ่งอสนีบาต
“เซียวจั้น ยังไม่หยุดมือ! เจ้าอย่าได้ลืมว่าตัวเองเป็นประมุขตระกูลเซียว”
ร่างแข็งค้างทันใด ปราณยุทธ์บนกายเซียวจั้นค่อยๆ ถ่ายถอนกระทั่งสลายไปในที่สุด นั่งกระแทกกลับไปบนเก้าอี้เซียวจั้น จ้องมองน่าหลันเยียนหราน ที่ก้มหน้าเงียบอย่างเย็นชา น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย
“หลานน่าหลัน ช่างเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ตระกูลน่าหลันมีธิดาเยี่ยงเจ้า เป็นที่อิจฉาของผู้คนจริงๆ”
เรือนร่างอรชรสะท้านขึ้นเบาๆ น่าหลันเยียนหรานพึมพำ “ท่านอาเซียว...”
“ฮึ เรียกข้าประมุขตระกูลเซียวก็พอ คำว่าท่านอา เกรงว่าข้าคงแบกรับไม่ไหว เจ้าเป็นถึงว่าที่เจ้าสำนักม่านเมฆา ภายหน้าก็คือผู้ทรงอิทธิพล แห่งมหาพิภพโต้วชี่ เหยียนเอ๋อร์ บ้านข้าเป็นเพียงชนชั้นสามัญไม่คู่ควรกับเจ้าจริงๆ...”
โบกมืออย่างเฉื่อยชา เซียวจั้นกล่าวน้ำเสียงกระด้าง
“ขอบคุณประมุขตระกูลเซียวที่เข้าใจ”
พอฟัง เก่อเย่ด้านข้างปรีดาใหญ่ ยิ้มเจื่อนต่อเซียวจั้น
“ประมุขตระกูลเซียว ท่านเจ้าสำนักตระหนักดี คำขอร้องในวันนี้ค่อนข้างเสียมารยาท อังนั้นให้ข้านำของขวัญมาให้เป็นพิเศษ ถือเป็นการขอขมา!”
กล่าวพลาง เก่อเย่ยื่นมือลูบคลำแหวนวงหนึ่งบนนิ้ว กล่องหยกโบราณสีเขียว ปลอดใบหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ...เขาเปิดฝาอย่างระมัดระวัง กลิ่นหอมหอบหนึ่งตลบฟุ้งทั่วโถง ผู้สูดดมต่างรู้สึกสมองปลอดโปร่งขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสสามท่านยืดคอ ออกมาอย่างใคร่รู้ เพ่งมองภายในกล่องหยก ร่างพลันสะท้านเฮือก อุทานอย่างตื่นเต้น
“โอสถผนึกปราณ?”
ในกล่องโบราณ ยาเม็ดขนาดเท่าดวงตามังกรสีเขียวสดเม็ดหนึ่งกำลังนอนสงบนิ่งอยู่ และกลิ่นหอมยวนใจผู้คนหอบนั้น ก็ลอยออกมาจากยาเม็ดนี้นั่นเอง ในมหาพิภพโต้วชี่ ใคร่จะกลายเป็นนักยุทธ์ที่แท้จริงคนหนึ่ง ก่อนอื่นจำเป็นต้องหลอมรวมปราณแห่งยุทธ์ในกาย และการหลอมรวม ปราณแห่งยุทธ์ กลับมีอัตราการล้มเหลวค่อนข้างสูง หลังความล้มเหลว ปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่เก้าก็จะลดเหลือช่วงที่แปด บางคนที่โชคไม่ดีนักอาจต้องรวบรวมเกินกว่าสิบครั้ง จึงสามารถบรรลุผล และการรวบรวมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นนี้ก็จะทำให้สูญเสียช่วงเวลาฝึกยุทธ์ที่ดีที่สุด ไปโอสถผนึกปราณสรรพคุณของมันก็คือสามารถทำ ให้ผู้มีปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่เก้าคนหนึ่ง รวบรวมปราณจักระแห่งยุทธ์ ได้สำเร็จแบบเต็มร้อยสรรพคุณพิเศษชนิดนี้ ทำให้ผู้ที่อยากกลายเป็นนักยุทธ์โดยเร็วที่สุดจำนวนมาก ต่างกลืนน้ำลายด้วยความอยากได้มาครอบครอง ใจกล่าวถึงโอสถผนึกปราณ ย่อมไม่อาจไม่กล่าวถึงเจ้าของ ผู้จัดสร้างมันขึ้นมา : นักปรุงโอสถ!
บนมหาพิภพโต้วชี่ มีอาชีพหนึ่งซึ่งอยู่เหนือนักยุทธ์ ผู้คน ขนานนามพวกเขาว่านักปรุงโอสถ นักปรุงโอสถ เห็นชื่อกระจ่างความหมาย พวกเขาสามารถหลอมกลั่นโอสถวิเศษ ที่ยกระดับพลังฝีมือนานาชนิดได้ ไม่ว่านักปรุงโอสถคนใด ต่างจะถูกผู้ทรงอิทธิพลทั่ว สารทิศรุมซื้อตัวแบบชนิดทุ่มไม่อั้น ฐานะของพวกเขาเกริกเกียรติถึงที่สุด!
นักปรุงโอสถ สามารถเป็นที่ต้องการปานนี้ ย่อมเกี่ยวข้องกับคุณประโยชน์ และปริมาณอันน้อยนิดของพวกเขา ใคร่จะกลายเป็นนักปรุงโอสถคนหนึ่ง เงื่อนไขโหดร้ายพิสดารประการแรก จำเป็นต้องมีร่างกายธาตุไฟ ขณะเดียวกัน ในธาตุไฟนั้นยังต้องปะปนด้วยพลังธาตุไม้สายหนึ่ง เพื่อเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาขณะหลอมกลั่นยาพึงทราบว่า ธาตุประจำตัวของแต่ละคน ในมหาพิภพโต้วชี่ ขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณของพวกเขา จิตวิญญาณดวงหนึ่ง เพียงประกอบด้วยธาตุชนิดหนึ่งตลอดกาล เป็นไปไม่ได้ที่จะมีธาตุอื่นผสมอยู่ดังนั้น ร่างกายหนึ่งร่างกายมีธาตุที่แข็งอ่อนไม่เท่ากัน สองชนิดโดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้แน่นอน บนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดเด็ดขาดสิ้นเชิง ในคนแสนล้านอย่างไร ต้องมีจิตวิญญาณที่ผิดแผกแตกต่างอยู่บ้าง และคนที่มีจิตวิญญาณพิเศษเหล่านี้ ก็มีศักยภาพที่จะกลาย เป็นนักปรุงโอสถคนหนึ่ง
ทว่า แค่มีจิตวิญญาณธาตุไฟผสมไม้ ยังคงไม่สามารถเป็นนักปรุงโอสถที่แท้จริงได้ เพราะเงื่อนไขสำคัญซึ่งขาดไม่ได้เช่นกัน อีกประการหนึ่งของนักปรุงโอสถ ก็คือญาณสัมผัส!
หรือเรียกว่าพลังการหยั่งรู้ ทางจิตวิญญาณหลอมกลั่นโอสถ เงื่อนไขสำคัญที่สุดสามประการ : วัตถุดิบ เชื้อเพลิง ญาณสัมผัสวัตถุดิบ แน่นอนก็คือสิ่งล้ำค่านานาชนิด นักปรุงโอสถมิใช่เทพเจ้าปราศจาก วัตถุดิบชั้นเลิศ พวกเขาก็ยากจะปรุงโอสถได้ ดังนั้น วัตถุดิบที่ดีเป็นสิ่งสำคัญมากเชื้อเพลิง หรือก็คือเปลวไฟที่จำเป็นต้องใช้ขณะปรุงยา การหลอมกลั่นโอสถ ไม่อาจใช้ไฟทั่วไป จำเป็นต้องใช้เปลวเพลิง ปราณยุทธ์ที่สร้างขึ้นโดยปราณยุทธ์ ธาตุไฟแน่นอน บนโลกยังเกลื่อนกลาดไปด้วยไฟวิเศษ นักปรุงโอสถที่ฝีมือแก่กล้า บางคนก็สามารถ นำมาใช้สอยได้ การใช้ไฟวิเศษเหล่านี้มากลั่นยาไม่เพียงเพิ่ม อัตราความสำเร็จให้มากขึ้น นอกจากนั้นโอสถที่กลั่นออกมา.ยังมีฤทธิ์เข้มข้นและรุนแรงกว่าโอสถที่กลั่นขึ้นจากเปลวเพลิง ปราณยุทธ์ทั่วไปอีกด้วยเนื่องจากการปรุงยาเป็นเรื่องที่ใช้เวลายาวนาน ด้วยเหตุนี้ จึงสิ้นเปลืองปราณยุทธ์อย่างยิ่ง นักปรุงโอสถที่โดดเด่นคนหนึ่ง จึงต้องเป็นนักยุทธ์ที่ฝีมือเก่งฉกาจ คนหนึ่งด้วยเงื่อนไขประการสุดท้าย ก็คือพลังการหยั่งรู้ทางจิตวิญญาณ หรือญาณสัมผัสขณะหลอมกลั่นยา ขนาดของกำลังไฟคือสิ่งสำคัญที่สุด บางครั้งแค่ไฟแรงไปเล็กน้อย ยาทั้งเตาอาจกลายเป็นเถ้าธุลี ส่งผลให้ล้มเหลวกลางคัน ดังนั้น การควบคุมกำลังไฟคือสิ่งที่นักปรุงโอสถจำเป็นต้องศึกษาทว่า ใคร่จะควบคุมกำลังไฟให้เหมาะสม นั่นจำเป็นต้องมีญาณสัมผัสที่แข็งแกร่ง หากขาดจุดนี้ไป ต่อให้เงื่อนไขสองประการข้างต้นดีเลิศปานใดก็ไร้ความหมาย
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 200
Comments