พึงทราบว่า บนมหาพิภพโต้วชี่ จิตวิญญาณคือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ บางทีมันอาจสามารถแข็งแกร่งขึ้นตามการเติบโตของอายุ ทว่าไม่มีเคล็ดวิชาใดๆ สามารถฝึกปรือจิตวิญญาณโดยเฉพาะ ต่อให้เคล็ดวิชาชั้นฟ้า ก็เป็นไปไม่ได้!
นี่คือความรู้ทั่วไปของมหาพิภพโต้วชี่ ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ ก่อเกิดเป็นพรสวรรค์ ในการฝึกฌานของเซียวเหยียน ขณะเดียวกันก็สร้างชื่อเสียง อัจฉริยะให้แก่เขาในฐานะคนธรรมดาสามัญผู้หนึ่ง เมื่อทราบว่าเขามีทุนรอนที่จะกลาย เป็นอัจฉริยะซึ่งเป็นที่จับตาของผู้คนนับไม่ถ้วน หากปราศจากฌานตบะ ที่สูงพอก็ยากจะควบคุมจิตดั้งเดิม ชัดเจนอย่างยิ่ง เซียวเหยียนที่ภพก่อนเป็นแค่คนธรรมดา ไร้ซึ่งฌานตบะที่เหนือมนุษย์ชนิดนี้ ดังนั้น หลังจากที่เขาเริ่มฝึกปราณแห่งยุทธ์ เขาเลือกเส้นทางอัจฉริยะ ที่จะส่งผลให้กลายเป็นจุดรวมสายตาของผู้คน แต่กลับมิได้ค่อยๆ เติบโตในความสงบเงียบ หากไม่มีเหตุเหนือคาด เซียวเหยียนอาจเติบใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับชื่อเสียงอัจฉริยะได้อย่างแท้จริง ทว่าน่าเสียดายนัก ในปีที่เขาอายุสิบเอ็ดชื่อเสียง อัจฉริยะของเขาพลันค่อยๆ ถูกช่วงชิงไปด้วยเหตุพลิกผันที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว และแล้วอัจฉริยะก็ตกต่ำ กลายเป็นเศษสวะ ที่ผู้คนเย้ยหยันดูแคลนหลังผรุสวาทหลายยกผ่านไป อารมณ์ของเซียวเหยียนค่อยเริ่มสงบลง ความซึมเซาคืนสู่ใบหน้า เรื่องราวถึงขั้นนี้ ไม่ว่าเขาบันดาลโทสะอย่างไร ก็ตามหาปราณจักระแห่งยุทธ์ ที่เขาเพียรสะสมอย่างยากเย็นคืนมาไม่ได้ สลัดศีรษะไปมาอย่างหม่นหมอง ความจริงเซียวเหยียนน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง แต่เขาไม่รู้สักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเอง เคยลองตรวจดูก็ไม่พบว่า มีส่วนใดผิดปกติ จิตวิญญาณนับวัน ยิ่งแก่กล้าตามอายุที่เพิ่มพูน ยิ่งกว่านั้นความเร็ว ในการดูดซับปราณจักระแห่งยุทธ์ยังเหนือกว่าเมื่อครั้งที่อยู่ ในช่วงสภาวะสุดยอดเมื่อหลายปีก่อนอยู่หลายส่วน เงื่อนไขนานาประการเหล่านี้ ล้วนบ่งชัดว่าพรสวรรค์ของตน ไม่เคยถดถอย
ทว่าปราณจักระแห่งยุทธ์ ที่เข้าสู่ภายในร่างกลับสูญสลายโดยไม่มีข้อยกเว้น เหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้ทำให้เซียวเหยียน จิตใจห่อเหี่ยวระบายลมหายใจดำหนึ่ง เซียวเหยียนชูฝ่ามือขึ้น จ้องมองแหวนสีดำบนนิ้ว เป็นแหวน เก่าแก่รูปแบบเรียบง่าย ไม่ทราบทำขึ้นจากวัสดุอะไร ด้านบนยังแกะลายเป็นริ้วจางๆ นี่คือมรดกชิ้นเดียวที่มารดา ทิ้งไว้ให้เขาก่อนตายจากสี่ขวบถึงบัดนี้ เขาใส่มันมาสิบปีแล้ว สำหรับแหวนวงนี้ เซียวเหยียนมีความผูกพันลึกซึ้ง ลูบแหวนเบาๆ พลางพึมพำอย่างขมขื่น
“หลายปีนี้ สร้างความผิดหวังต่อท่านแม่จริงๆ”
หลังถอนใจยืดยาว เซียวเหยียนพลันเหลียวหน้าขวับ กล่าวต่อพงไพร ที่มืดมิดด้วยรอยยิ้มละมุน
“ท่านพ่อ ท่านมาแล้ว?”
แม้เพียงบรรลุปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่สาม แต่ญาณสัมผัสของเซียวเหยียน กลับฉับไวกว่านักยุทธ์ห้าดาว คนหนึ่งมากนัก ก่อนหน้านี้ขณะที่พึมพำถึงมารดา เขาก็รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างในป่าแล้ว
“เหยียนเอ๋อร์ ดึกแล้วทำไมยังนั่งอยู่บนนี้อีกเล่า”
หลังความเงียบอึดใจหนึ่ง ปรากฏเสียงหัวร่อทุ้มนุ่มของบุรุษดังขึ้น จากกลางป้ากิ่งไม้ไหววูบ บุรุษกลางคนผู้หนึ่งกระโดดออกมา ใบหน้าประดับรอยยิ้ม เมื่อเพ่งมองบุตรชายของตนเอง ที่ยืนอยู่ใต้แสงจันทร์คนนั้น บุรุษกลางคนในอาภรณ์สีทาภูมิฐาน จังหวะย่างเท้าแฝงความน่าเกรงขาม คิ้วดกเข้มคู่หนึ่งยิ่งเดิมความองอาจขึ้นหลายส่วน เขาก็คือประมุขคนปัจจุบัน ของตระกูลเซียว ขณะเดียวกันก็เป็นบิดาของเซียวเหยียน.......มหาคุรุยุทธ์ห้าดาว เซียวจั้น!
“ท่านพ่อ ท่านก็ยังไม่พักผ่อนเช่นกันมิใช่หรือ?”
แหงนมองบุรุษกลางคน รอยยิ้มบนหน้าเซียวเหยียนยิ่งกดลึก แม้ยังหลงเหลือความทรงจำ ของภพก่อน ทว่านับแต่ถือกำเนิดเกิดมา บิดาที่อยู่ตรงหน้าท่านนี้ก็รักและตามใจเขาเป็นที่สุด หลังจากตกต่ำ ความรักไม่ลดน้อยกลับเพิ่มพูนนี่ ทำให้เซียวเหยียนตื้นตัน และยอมรับบิดาท่านนี้จากใจจริง
“เหยียนเอ๋อร์ ยังครุ่นคิดเรื่องการทดสอบเมื่อบ่ายอีกหรือ”
ก้าวยาวๆ ขึ้นหน้า เซียวจั้นยิ้มกล่าว
“เฮอะๆ มีอะไรให้ครุ่นคิด เป็นไปตามความคาดหมาย”
เซียวเหยียนส่ายหน้าไปมาอย่างปลงตก รอยยิ้มกลับฝาดฝืนอยู่บ้าง
“เฮ่อ..”
จ้องมองดวงหน้าอ่อนใสของเซียวเหยียน เซียวจั้นถอนใจคำหนึ่ง หลังเงียบงันไปอึดใจ พลันโพล่ง
“เหยียนเอ๋อร์ เจ้าสิบห้าขวบแล้วกระมัง”
“ใช่ ท่านพ่อ”
“อีกหนึ่งปี ดูเหมือน...จะต้องเข้าพิธีโตเต็มวัยแล้ว”
เซียวจั้นยิ้มชื่น
“ใช่ ท่านพ่อ ยังมีอีกหนึ่งปี!”
กำมือเล็กน้อย เซียวเหยียนเอ่ยตอบเสียงเรียบ พิธีโตเต็มวัยหมายถึงอะไร เขาชัดแจ้งอย่างยิ่ง หลังผ่านพิธีโตเต็มวัย เขาซึ่งไม่มีศักยภาพในการฝึกยุทธ์ จะถูกตัดสิทธิ์ ในการเข้าหอปราณยุทธ์เพื่อเสาะหา เคล็ดวิชาปราณยุทธ์ จากนั้นต้องถูกส่งตัวไปยังกิจการ แต่ละแห่งเพื่อดูแลเรื่องทั่วไปของตระกูล นี่เป็นกฎของตระกูล ต่อให้บิดาเขาเป็นประมุขสูงสุด ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากนั้น ถ้ายังไม่อาจกลายเป็นนักยุทธ์คนหนึ่งก่อนอายุยี่สิบห้า นั่นจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนในตระกูล!
“ขอโทษด้วย เหยียนเอ๋อร์ ถ้าหลังจากนี้หนึ่งปีปราณแห่งยุทธ์ของเจ้ายังไม่ถึงช่วงที่เจ็ด พ่อก็จำต้องตัดใจส่งเจ้า ไปยังกิจการค้าของตระกูล เพราะในตระกูลเซียวนี้พ่อยังไม่มีอำนาจสิทธิ์ขาด ตาแก่หลายคนนั้นจ้องจับผิดพ่อตลอดเวลา...”
แลเห็นเซียวเหยียนนิ่งเงียบ เซียวจั้นรำพันอย่างรู้สึกผิด
“ท่านพ่อ ข้าจะพยายามเต็มที่ หลังจากหนึ่งปี ข้าจะต้องบรรลุปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่เจ็ดให้ได้”
เซียวเหยียนกล่าวปลอบด้วยรอยยิ้มหนึ่งปี สี่ช่วง? เฮอะ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ อาจบางทียังเป็นไปได้ แต่บัดนี้...แทบไม่มีโอกาสสักนิด' แม้ปากกำลังเอ่ยปลอบบิดา ในใจเซียวเหยียน กลับยิ้มหยันตนเอง อย่างขมขื่นเซียวจั้นที่ชัดแจ้งในตื้นลึกหนาบางของเซียวเหยียน ได้แต่ถอนใจรับคำคราหนึ่ง เขาตระหนักดี หนึ่งปีฝึกปรือปราณแห่งยุทธ์ สี่ช่วงมันยากเย็นปานใด ตบศีรษะเซียวเหยียนเบาๆ เซียวจั้นพลันยิ้มบอก
“ดึกแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ที่บ้านมีแขกสำคัญ เจ้าอย่าได้เสียมารยาทเชียว”
“แขกสำคัญ? ใครกัน”
เซียวเหยียนถามอย่างสงสัย
“พรุ่งนี้ก็รู้เอง”
ขยิบตาให้เซียวเหยียน เซียวจั้นหัวร่อดังลั่นขณะผละไป
“วางใจเถอะ ท่านพ่อ ข้าจะทุ่มเทสุดกำลัง”
คลำแหวนโบราณบนนิ้ว เซียวเหยียนเงยหน้าพึมพำพริบตาที่เซียวเหยียนเงยหน้า แหวนโบราณสีดำบนนิ้วพลันเปล่งแสง อ่อนจางขึ้นมาอย่างประหลาดเหนือเดียง หนุ่มน้อยปิดตานั่งขัดสมาธิ สองมือวางอยู่เบื้องหน้าในท่าพิสดาร ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงเบาๆ ช่วงหายใจเข้าและ ออกก่อเกิดเป็นวงโคจรอันสวยงาม และในห้วงเดินลมปราณ มีไอสีขาวจางๆ ไหลเวียนไปตามปากจมูก แทรกซึมเข้าสู่ร่าง หล่อเลี้ยงกระดูกและเนื้อหนัง มังสา ขณะหนุ่มน้อยหลับตาเข้าฌาน แหวนสีดำบนนิ้ววงนั้น เปล่งแสงอ่อนๆ ขึ้นอีกครั้งอย่างอัศจรรย์และดับวูบไปในทันที
“ฮู...” ระบายลมหายใจช้าๆ หนุ่มน้อยพลันลืมตา ไอสีขาวจาง หอบหนึ่งวูบผ่านครรลองสายตาที่มืดดำ นั่นคือปราณแห่งยุทธ์ที่เพิ่งถูกดูดซับ และยังหล่อหลอมไม่เสร็จ
“อุตส่าห์ฝึกจนได้ปราณแห่งยุทธ์ ขึ้นมาอย่างยากเย็น สลายไปอีกแล้ว...สมควรตาย!”
ตั้งสมาธิรับรู้ภายในกาย ใบหน้าหนุ่มน้อยพลันฉุนเฉียวขึ้นมา สบถด่าด้วยน้ำเสียงสูงแหลมกำปั้นบีบกันแนบแน่น อึดใจใหญ่ให้หลัง หนุ่มน้อยส่ายหน้ายิ้มขื่นตะกายลงจากเตียง ด้วยความอ่อนล้าทั้งกายใจ ยืดเหยียดแขนขาที่เริ่มชา เขาซึ่งมีแค่ปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่สาม ปราศจากความสามารถ ที่จะมองข้ามความอ่อนล้าทุกชนิด ยืดเส้นยืดสายง่ายๆ อยู่ในห้องเสร็จ เซียวเหยียนได้ยินซุ้มเสียงชราภาพดังขึ้นนอกห้อง
“นายน้อยสาม ท่านประมุขเชิญท่านไปที่ห้องโถงใหญ่”
เซียวเหยียนจัดอยู่ในอันดับสามของบ้าน ถัดขึ้นไปยังมีพี่ชายอีกสองคน ทว่าพวกเขาออกไปสั่งประสบการณ์นอกบ้านนานแล้ว ช่วงปลายปีจึงกลับมาสักครั้ง สรุปแล้ว พี่ชายทั้งสองปฏิบัติต่อเซียวเหยียน ผู้เป็นน้องชายไม่เลว
“อืม”
ส่งเสียงรับคำ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เซียวเหยียนเดินออกจากห้องกล่าวกับผู้เฒ่าชุดเขียว ที่อยู่นอกห้องด้วยรอยยิ้ม
“ไปเถอะ พ่อบ้านโม่”
มองดูใบหน้าอ่อนเยาว์ของหนุ่มน้อย ผู้เฒ่าชุดเขียวผงกศีรษะอย่างอ่อนโยน พริบตาที่หมุนกาย สายตาพร่ามัวปรากฏแววเห็นใจอย่างยากสังเกต 'เฮ่อ ด้วยพรสวรรค์ในอดีตของนายน้อยสาม น่าจะกลายเป็นนักยุทธ์ที่โดดเด่นคนหนึ่งไปนานแล้ว น่าเสียดาย...
เซียวเหยียนเดินตามพ่อบ้านชรา ตัดผ่านสวนด้านหลัง สุดท้าย ค่อยหยุดลงที่ด้านนอกโถงใหญ่ อันทรงเกียรติ เคาะประตูอย่างนอบน้อม ค่อยผลักประตูเบาๆ แล้วเข้าไปโถงใหญ่กว้างขวางมาก คนในนั้นก็ไม่น้อย หลายท่านที่นั่งอยู่ด้านบนสุด ก็คือเซียวจั้นและผู้เฒ่าสีหน้าเฉยชาสามท่าน ผู้เฒ่าสามท่านคือผู้อาวุโสของตระกูล อำนาจไม่น้อยไปกว่า ประมุขตระกูลด้านล่างซ้ายของทั้งสี่คน นั่งอยู่ด้วยญาติผู้ใหญ่ซึ่งพอมีอำนาจ ในตระกูลอยู่บ้าง ด้านข้างของพวกเขาเป็นสมาชิก รุ่นหนุ่มสาวที่แสดงผลงานโดดเด่น จำนวนหนึ่งอีกด้านหนึ่งนั่งอยู่ด้วยคนแปลกหน้าสามท่าน คิดว่าต้องเป็นแขกสำคัญที่เซียวขั้นพูดถึงเมื่อคืนเป็นแน่เซียวเหยียน กวาดมองคนแปลกหน้าทั้งสามอย่างฉงนใจ ในสามคนนั้น มีผู้สูงวัยท่านหนึ่งสวมชุดสีขาวนวล ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม สองตาเรียวเล็กกลับทอประกายเป็นระยะ เส้นสายตาของเซียวเหยียนเคลื่อนลงเล็กน้อย หยุดอยู่บนทรวงอกของอีกฝ่าย พลันสะดุดใจวูบ เพราะบริเวณอกเสื้อของผู้สูงวัยท่านนั้นวาดไว้ด้วยจันทราสีเงินยวงเสี้ยวหนึ่ง รอบๆจันทรายังแต่งแต้ม ด้วยดวงดาราระยิบระยับเจ็ดดวง 'มหาคุรยุทธ์เจ็ดดาว!' ผู้สูงวัยท่านนี้ถึงกับเป็นมหาคุรุยุทธ์เจ็ดดาว?
คนเราไม่อาจวัดที่หน้าตาจริงๆ' เซียวเหยียนอุทานตื่นตระหนกในใจ พลังฝีมือของผู้สูงวัยท่านนี้ถึงกับสูงกว่าบิดาตนถึงสองดาว คนที่สามารถกลายเป็น มหาคุรุยุทธ์ได้ อย่างน้อยต้องเป็นผู้แกร่งกล้า ที่เลื่องชื่อคนหนึ่ง พลังฝีมือระดับนั้น จะเป็นตัวดึงดูดกลุ่มอิทธิพลใดๆ ก็ตามเข้ามาจู่ๆ ได้เห็นผู้แกร่งกล้าระดับนี้
มิน่าเซียวเหยียนจึงรู้สึกฉงนสนเท่ห์ ข้างกายผู้สูงวัยนั่งอยู่ด้วยบุรุษสตรีอ่อนเยาว์คู่หนึ่ง ทั้งสองสวมอาภรณ์สีขาวนวลเช่นกัน บุรุษอายุราวยี่สิบ รูปโฉมหล่อเหลา เรือนกายเหยียดตรง เปี่ยมเสน่ห์ดึงดูด และสำคัญที่สุด ย่อมเป็นดาวทองห้าดวง เหนือหน้าอกตรงนั้น นี่คือตัวแทนพลังฝีมือของบุรุษหนุ่ม : นักยุทธ์ห้าดาว! สามารถกลายเป็นนักยุทธ์ ห้าดาวคนหนึ่งด้วยวัยประมาณยี่สิบ นี่แสดงว่าพรสวรรค์ ฝึกยุทธ์ของบุรุษหนุ่มไม่ธรรมดา รูปโฉมที่หล่อเหลา บวกกับพลังฝีมือไม่ต่ำทราม บุรุษหนุ่มท่านนี้ทำให้จิตใจ ของสาวน้อยในตระกูลหวั่นไหว แม้แต่เซียวเม่ยที่นั่งอยู่ด้านข้าง ยามกลอกตามาทางนี้ยังทอประกายวิบวับ
ทว่ายามนี้ ความสนใจทั้งหมดของบุรุษหนุ่ม ท่านนั้น กลับตรึงอยู่บนร่าง ของสาวน้อยเลอโฉมข้างกาย สาวน้อยนางนี้วัยใกล้เคียง กับเซียวเหยียนแต่สิ่งที่ทำให้เซียวเหยียนอัศจรรย์ใจก็คือ รูปโฉมของนางถึงกับงดงามกว่าเซียวเม่ยอยู่หลายส่วน ภายในตระกูลเซียว เกรงว่ามีเพียงเซียวซวินเอ๋อร์ ที่งามพิสุทธิ์ประดุจดอกไม้จึงสามารถเทียบเดียงได้ มิน่าบุรุษนี้ถึงไม่ไยดีสตรีอื่นติ่งหูนวลเนียน ของสาวน้อยห้อยประดับด้วยต่างหูหยกสีเขียว ยามขยับเกิดเป็นเสียงกังวานใส แผ่ซ่านความอ่อนช้อย เปราะบางอยู่รำไร นอกจากนั้น เหนืออกเสื้อของสาวน้อย ยังวาดอยู่ด้วยดาวทองสามดวงนักยุทธ์สามดาว ถ้าสตรีนางนี้ไม่ได้อาศัยแรงกระตุ้นจากภายนอก ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานคนหนึ่ง' สูดไอเย็นเบาๆ สายตาของ เซียวเหยียนหยุดอยู่ที่ดวงหน้าอันพริ้มเพราของสาวน้อย เพียงพริบตาก็
เบนออก ไม่ว่าอย่างไร ภายใต้รูปลักษณ์ที่ไร้เดียงสาของเขา ยังคงมีจิตวิญญาณที่สุกงอม อากัปกิริยานี้ของเซียวเหยียน คล้ายทำให้สาวน้อยประหลาดใจ แม้นางมิใช่เด็กสาวประเภท ที่ทึกทักว่าโลกทั้งใบหมุนรอบตัวนาง ทว่าความงามและเสน่ห์ ของตนเป็นเช่นไร นางกระจ่างชัดอย่างยิ่ง กิริยาท่าทีตามสบายของเซียวเหยียนนี้ชวนให้นางรู้สึกผิดดาดอยู่บ้าง
“ท่านพ่อ ผู้อาวุโสทั้งสาม”
เซียวเหยียนซอยเท้าขึ้นหน้า ทำความเคารพต่อพวกเซียวจั้นที่นั่งอยู่ด้านบนอย่างนอบน้อม
“ฮ่าๆ เหยียนเอ๋อร์ มาแล้วหรือ รีบนั่งลงเถอะ”
เห็นเซียวเหยียนมาถึง เซียวจั้นหยุดการสนทนากับอาคันตุกะ หันมาพยักหน้าให้เขา กล่าวพลางโบกมือยิ้มน้อยๆ พร้อมพยักหน้า เซียวเหยียนแสร้งไม่เห็นสายตาชืดชาระคนรำคาญใจ ที่พุ่งตรงมาจากผู้อาวุโสทั้งสามทางด้านข้าง เหลียวหน้ากวาดมองกลางโถง กลับค้นพบอย่างตระหนก ถึงกับไม่มีที่นั่งของตนเอง เฮ่อ สถานะของตัวเองในตระกูลนี้ ดูท่านับวันยิ่งต่ำต้อยด้อยค่าลงทุกที เวลานี้ถึงกับฉีกหน้าข้าต่อหน้าแขกเหงื่อ ผู้อาวุโสสามคนนี้นี่ช่างเยาะหยันในใจ เซียวเหยียนลอบส่ายหน้าเบาๆ มองดูเซียวเหยียนที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ สมาชิกรุ่นหนุ่มสาวของตระกูล ต่างอดส่งเสียงค่อนแคะมิได้ เห็นชัดว่าชอบชมดูเขาเป็นตัวตลกยามนั้น เซียวจั้นที่ด้านบนสังเกตเห็น ความกระอักกระอ่วนของเซียวเหยียนเช่นกัน บนหน้าปรากฏแววขุ่นเคือง หันไปมุ่นคิ้วกล่าวกับผู้อาวุโสทางด้านข้าง
“ผู้อาวุโสรอง ท่าน..”
“แค่ก ขออภัยจริงๆ ถึงกับลืมนายน้อยสามเสียได้ ข้าจะเรียกคนไปเตรียมเดี๋ยวนี้”
ผู้อาวุโสชุดเหลืองที่โดนเซียวจั้นถลึงตาใส่ เอ่ยยิ้มๆพลางตบหน้าผาก ตำหนิตนเอง' ทว่าแววเสียดสีในสายตาคู่นั้น กลับมิได้อำพรางสักเท่าไร
“พี่เซียวเหยียน นั่งตรงนี้เถอะ”
ซุ้มเสียงอ่อนใสของสาวน้อย พลันดังขึ้นกลางโถงใหญ่ผู้อาวุโสทั้งสามผงะนิดหนึ่ง เบือนสายตามาทางเซียวซวินเอ๋อร์ที่นั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง ริมฝีปากขยับเบาๆ ถึงกับไม่กล้าเปล่งเสียงพูดจา ที่มุมหนึ่งของโถงใหญ่ เซียวซวินเอ๋อร์แย้มยิ้ม เมื่อปิดหนังสือเล่มหนาในมือ เซียวเหยียนลังเลเล็กน้อย ถูจมูกผงกศีรษะขึ้นลง จากนั้นเดินตรงไปท่ามกลางสายตาริษยาของหนุ่มๆ มากมาย นั่งลงติดกับนาง
“เจ้าช่วยกู้หน้าให้ข้าอีกแล้ว”
สูดกลิ่นกายหอมจาง ของสาวน้อยข้างตัว เซียวเหยียนยิ้มบอกเบาๆเซียวซวินเอ๋อร์ระบายยิ้ม บนดวงหน้าปรากฏลักยิ้ม น่าเอ็นดูปลายนิ้วเรียวเล็ก เริ่มพลิกเปิดหนังสือโบราณในมือเล่มนั้นอีกครั้ง อายุยังเยาว์กลับมีสุนทรีย ภาพอันชาญฉลาดชนิดหนึ่ง ขนตาที่งอนยาวกระพือไปตามหน้าหนังสือได้อึดใจ เซียวซวินเอ๋อร์พลันเอ่ยเสียงขม
“พี่เซียวเหยียนไม่ได้นั่ง ข้างซวินเอ๋อร์ตามลำพังมาสามปีแล้วกระมัง?”
“เอ่อ...เวลานี้ซวินเอ๋อร์เป็นอัจฉริยะ ของตระกูลไปแล้ว อยากมีเพื่อนไยมิใช่ง่ายดายมาก”
เห็นเสี้ยวหน้านวลเนียน ที่เจือรอยตัดพ้ออยู่บ้าง เซียวเหยียนยิ้มแห้งเมื่อกล่าว
“ตอนที่ซวินเอ๋อร์สี่ขวบถึงหกขวบ ทุกคืนจะมีคนย่องเข้ามาในห้องจากนั้นใช้ท่าฝ่ามือที่เงอะงะชนิดหนึ่งและปราณยุทธ์ที่ไม่ลึกล้ำ หล่อเลี้ยงบำรุงกระดูกและเส้นลมปราณให้ข้า ทุกครั้งล้วนทำจนตัวเองเหงื่อไหลเป็นน้ำ ค่อยจากไปอย่างอ่อนเพลีย พี่เซียวเหยียน ท่านว่า เขาคนนั้นเป็นใคร”
ซวินเอ๋อร์เงียบงันอยู่นาน พลันผินหน้ามายิ้มหวานกับเซียวเหยียนแววตาที่ไม่เหมือนใครของสาวน้อยทำให้พวกหนุ่มน้อยโดยรอบสองตา
“แค่ก...ข้า ข้าจะรู้ได้อย่างไร เด็กขนาดนั้น พวกเรายังคลานเล่นบนพื้นอยู่เลย”
ใจเต้นโครม เซียวเหยียนหัวร่อสองดำ แล้วรีบเบนสายตาไปยังกลางโถงอย่างร้อนตัว
“คิกๆ”
เห็นปฏิกิริยาของเซียวเหยียน เรียวปากน้อยๆ ของเซียวซวินเอ๋อร์ผุดยิ้มละมุน ย้ายสายตากลับไปที่หนังสือ ปากขมุบขมิบคล้ายพึมพำกับตัวเอง
“แม้ทราบว่าเขาปรารถนาดี แต่จะอย่างไรซวินเอ๋อร์ก็เป็นเด็กหญิง ถ้าซวินเอ๋อร์หาคนผู้นั้นเจอ ฮึ...”
มุมปากฉีกยิ้มเล็กน้อย เซียวเหยียนร้อนตัวอยู่บ้าง ตามองจมูกจมูกมองใจ ไม่พูดไม่จาแพรวพราว
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 200
Comments