( ระดับการฝึกพลังฝีมือจากระดับต้นถึงระดับสูง )
ปราณแห่งยุทธ์ ช่วงที่1-9
นักยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว
คุรุยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว
มหาคุรุยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว
ยอดยทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว
ราชันยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว
มหาราชันยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว
ปรมาจารย์ยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว
เซียนยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว
ยอดเซียนยุทธ์ 1 รอบ - 9 รอบ
กึ่งเทพยุทธ์
กึ่งเทพยุทธ์ \=ขั้นต้น
กึ่งเทพยุทธ์ \=ขั้นกลาง
กึ่งเทพยุทธ์\= ขั้นสูง
เทพยุทธ์ 1ดาว - 9 ดาว
จ้าวจักรวาลยุทธ์
( ระดับชั้นเคล็ดวิชาและทักษะยุทธ์ จากต่ำถึงสูง)
ชั้นทอง แบ่งเป็น ขั้นต้น กลาง สูง
ชั้นนิล แบ่งเป็น ขั้นต้น กลาง สูง
ชั้นดิน แบ่งเป็น ขั้นต้น กลาง สูง
ชั้นฟ้า แปงเป็น ขั้นต้น กลาง สูง
( ระดับนักปรุงโอสถจากระดับต้นไปสูง )
นักปรุงโอสถระดับ 1- 9
( ไฟวิเศษมี 23 ชนิด)
อันดับ 23 เพลิงอำพันทมิฬ
อันดับ 22 เพลิงวิญญาณหมื่นอสูร
อันดับ 21 รออับเดต
อันดับ 20 รออับเดต
อันดับ 19 เพลิงบัวเขียวแก่นพิภพ
อันดับ 18 รออับเดต
อันดับ 17 เพลิงศิลาอัคนี
อันดับ 16 เพลิงเมฆาวารี
อันดับ 15 เพลิงแก่นมหรรนพ
อันดับ 14 เพลิงหฤทัยดาวตก
อันดับ 13 รออับเดต
อันดับ 12 เพลิงวิชชูเก้ามังกร
อันดับ 11 เพลงเย็นวิญญาณกระดูก
อันดับ 10 เพลิงวายโลกันตร์
อันดับ 9 เพลิงอัคนีตรีสหัส
อันดับ 8 เพลงอเวจีบัวโลหิต
อันดับ 7 เพลิงมหาธาตุโลกันตร์
อันดับ 6 เพลิงเพชรฆาตแปดทิศ
อันดับ 5 เพลิงวัฒนะ
อันดับ 4 เพลิงมหาอำพันผลาญนภา
อันดับ 3 เพลิงมารบัวพิสุทธิ์
อันดับ 2 เพลิงอนัตตากลืนอัคคี
อันดับ 1 ถัวเส่อกู่ตี้
ระดับเตาหลอมกลั่นโอสถ จากต่ำไปสูง 1 - 8
เตาหลอมกลั่นโอสถระดับ8 มีทั้งหมด 13 เตา
เขตแดนจิตวิญญาน มี 4ระดับ
####################################################
“ปราณแห่งยุทธ์ ช่วงที่สาม!”
สีหน้าเด็กหนุ่มปราศจากความรู้สึก เมื่อแหงนมองอักขระขนาดใหญ่ที่เรืองแสง จนแสบนัยน์ตาบนป้ายศิลาศักดิ์สิทธิ์ทดสอบพลัง มุมปากผุดแววเยาะหยันตนเอง ฝ่ามือกำแน่น เพราะบีบแรง ส่งผลให้ปลายเล็บ ที่แหลมคมเล็กน้อยจิกลึกในอุ้งมือ ความปวดร้าวแล่นจับหัวใจเป็นระลอก...
“เซียวเยียน ปราณแห่งยุทธ์ ช่วงที่สาม! ระดับขั้น : ขั้นต้น!”
ข้างป้ายศิลาศักดิ์สิทธิ์ทดสอบพลัง บุรุษวัยกลางคนท่านหนึ่งชำเลืองข้อมูลบนป้ายที่แสดงชัดออกมา ก่อนประกาศด้วยน้ำเสียงเฉยชา...
บุรุษวัยกลางคนเพิ่งกล่าวจบ พลันเกิดเสียงฮือฮาปรามาสในฝูงชน กลางสนามกว้างตามคาด
“ช่วงที่สาม? เฮอะๆ อย่างที่ข้าคิดไว้ไม่ผิด หนึ่งปีที่ผ่านมา'อัจฉริยะ' ผู้นี้ยังคงย่ำเท้าอยู่กับที่!”
“เฮ่อ เจ้าเศษสวะนี่ทำให้คนในตระกูลขายหน้าจริงๆ”
“ถ้าประมุขตระกูลไม่ใช่บิดาเขา เศษสวะเยี่ยงนี้คงถูกขับออกจากตระกูล ปล่อยให้แตกดับไปเองนานแล้ว ไหนเลยยังมีโอกาสลอยหน้า ลอยตาอยู่ในตระกูลได้”
“เฮ่อ หนุ่มน้อยอัจฉริยะแห่งเมืองอูถ่านในวันวานคนนั้น ไฉนตกต่ำถึงระดับนี้ได้”
“ใครจะไปรู้ บางทีอาจกระทำเรื่องน่าละอาย ทำให้เทพเจ้าเบื้องบนบันดาลโทสะลงมา….”
เสียงดูแคลนและทอดถอนใจดังขึ้นทั่วทิศ ลอดเข้าหูหนุ่มน้อยที่ยืนนิ่งเป็นเสาไม้อยู่ที่เดิมคนนั้น ประหนึ่งหนามแหลมนับไม่ถ้วนทิ่มดำกลางใจ ทำให้หนุ่มน้อยหายใจกระชั้นขึ้นเล็กน้อย หนุ่มน้อยเงยศีรษะขึ้น เผยเห็นดวงหน้าเยาว์วัยอ่อนใส ลูกตาดำจัดกวาดผ่านเรือนร่าง ของคนวัยเดียวกันโดยรอบ ซึ่งกำลังเย้ยหยันด้วย แววตาชืดชา รอยยิ้มเยาะตนเองบนมุมปากของหนุ่มน้อย คล้ายเปลี่ยนเป็นขื่นขึ้นกว่าเดิม คนเหล่านี้ไฉนเห็นแก่ผลประโยชน์ และใจคอโหดร้ายปานนี้ หรือเป็นเพราะสามปีก่อน พวกเขาเคยผุดยิ้มที่สุดจะนอบน้อมเบื้องหน้าตน
ดังนั้นยามนี้จึงใคร่ทวงคืนกระมัง.… ยิ้มหม่นคราหนึ่ง เซียวเยียนหมุนตัวอย่างซึมเซา กลับเข้าไปยืนในแถวสุดท้ายของกลุ่มคนอย่างสงบ เงาร่างอันเดียวดายค่อนข้างแปลกแยกกับสภาวะโดยรอบ
“คนต่อไป เซียวเม่ย ”
ได้ยินเสียงเรียกของผู้ดำเนินการทดสอบ สาวน้อยคนหนึ่งวิ่งออกมาจากฝูงชนอย่างรวดเร็ว ทันทีที่นางเข้าสู่สนาม เสียงวิพากษ์ ในบริเวณใกล้เคียง พลันเงียบลงเป็นอันมาก สายตาร้อนแรงแต่ละคู่ ตรึงแน่นบนใบหน้าของสาวน้อย อายุของสาวน้อยไม่เกินสิบสี่ แม้ไม่นับว่าเลอโฉม หากดวงหน้าที่ยังคงความอ่อนใสนั้นกลับเจือรอยพริ้มเพราเบาบาง การผสมผสานที่ ย้อนแย้งระหว่างความใสพิสุทธิ์กับความพริ้มเพรา ส่งให้นางประสบความสำเร็จ กลายเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคู่ในสนาม สาวน้อยซอยเท้าขึ้นหน้า มือเล็กๆ สัมผัสป้ายศิลาศักดิ์สิทธิ์สีดำทะมึนอย่างคุ้นเคย จากนั้นปิดเปลือกตาช้าๆชั่ววูบถัดมา เหนือป้ายศิลาศักดิ์สิทธิ์สีดำทะมึนพลันเรืองแสงสว่างวาบอีกครั้ง
“ปราณแห่งยุทธ์ ช่วงที่เจ็ด!”
“เซียวเม่ย ปราณแห่งยุทธ์ : ช่วงที่เจ็ด! ระดับชั้น : ขั้นสูง”
“โอ!”
สิ้นเสียงประกาศของผู้ดำเนินการทดสอบ รอยยิ้มปริ่มผุดขึ้นบนดวงหน้าสาวน้อย
“จุๆ ปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่เจ็ด ยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าดูตามอัตราความก้าวหน้านี้ เกรงว่าแค่สามปี นางต้องกลายเป็นนักยุทธ์ที่แท้จริงคนหนึ่งได้อย่างแน่นอน…”
“มิเสียทีเป็นบุคคลระดับเมล็ดพันธุ์ของตระกูล”
สดับเสียงอิจฉาแกมชื่นชมที่ดังมาไม่ขาด รอยยิ้มบนหน้าสาวน้อยยิ่งกดลึกมากขึ้น ความมีหน้ามีตาคือสิ่งยั่วยวนใจที่ไม่อาจต่อต้านของ เด็กสาวจำนวนมาก ขณะพูดคุยกับพี่น้องที่สนิทกัน สายตาของเซียวเม่ย พลันมองฝ่าฝูงชนโดยรอบ ก่อนหยุดลงบนเงาร่างโดดเดี่ยวซึ่งแยกตัวจากผู้อื่นคนนั้น มุ่นคิ้วครุ่นคิดนิดหนึ่ง เซียวเม่ยยังคงสลายความคิดในอดีตทิ้งไป สองคนในเวลานี้มิได้อยู่ บนระดับชั้นเดียวกันอีกแล้ว จากสถานการณ์ หลายปีที่ผ่านมาของเซียวเหยียน หลังจากโตเต็มวัย อย่างดีก็เป็นได้แค่สมาชิกชั้นล่างของตระกูลเท่านั้น ส่วนนางซึ่งมีพรสวรรค์โดดเด่น ย่อมจะกลายเป็นผู้แกร่งกล้า ที่วงศ์ตระกูลให้ความสำคัญ พูดได้ว่าอนาคตก้าวไกลไร้ขีดจำกัด นางถอนใจเบาๆ ในหัวของเซียวเม่ยพลันปรากฏภาพหนุ่มน้อยที่เหิมฝึกคึกคัก เมื่อสามปีก่อนคนนั้นขึ้นมา : สี่ขวบฝึกพลังลมปราณ สิบขวบครอบครองปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่เก้า สิบเอ็ดขวบบรรลุปราณแห่งยุทธ์ ช่วงที่สิบ ผนึกปราณจักระแห่งยุทธ์เป็นผลสำเร็จ กลายเป็นนักยุทธ์อายุน้อยที่สุดในรอบร้อยปี ของตระกูลแบบก้าวกระโดด!
หนุ่มน้อยในครานั้น กอปรด้วยความมั่นใจในตนเองและศักยภาพที่ไม่อาจประเมิน ไม่ทราบเป็นที่หลงใหลคลั่งไคล้ของประดาสาวน้อยมากมายเท่าไร แน่นอน หนึ่งในนั้นมีเซียวเม่ยในอดีตรวมอยู่ด้วย ทว่าเส้นทางแห่งอัจฉริยะมักหักเหเสมอ สามปีก่อน หนุ่มน้อยอัจฉริยะที่ชื่อเสียงทะยานสู่จุดสูงสุด กลับพลันได้รับความสะเทือนใจอันแสนโหดร้าย นับแต่ถือกำเนิดเกิดมา ไม่เพียงปราณจักระแห่งยุทธ์ที่สั่งสม มาสิบกว่าปีอย่างยากลำบาก มลายสูญในชั่วคืน หนำซ้ำปราณแห่งยุทธ์ในกายก็เหือดหายไปตามกาลเวลา ลดลง เรื่อย ๆ อย่างน่าพิศวง
ผลทางตรงของการสูญเสีย ปราณแห่งยุทธ์คือทำให้พลังฝีมือของเขาถดถอยไม่หยุด จากฐานะอัจฉริยะสูงสุด ตกต่ำถึงระดับที่เทียบไม่ได้ กระทั่งคนธรรมดาในชั่วคืน ความสะเทือนใจชนิดนี้ ทำให้หนุ่มน้อยท้อแท้สิ้นหวังนับแต่นั้นมา ชื่อเสียงที่ลือลั่นค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยเสียงเยาะหยันดูแคลนยืนยิ่งสูง ตกยิ่งแรง การหล่นร่วงครั้งนี้ อาจบางทีไม่มีโอกาสตะกายขึ้นมาอีกแล้ว
“คนถัดไป เซียวซวินเอ๋อร์!”
เสียงของผู้ดำเนินการทดสอบ ดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางฝูงชนที่อึงอล สิ้นเสียงเรียกขานนามกรอันเพราะพริ้ง ผู้คนเงียบกริบ สายตาทั้งหมดเคลื่อนย้าย โดยพลัน ณ จุดรวมสายตาของผู้คน สาวน้อยในชุดกระโปรงสีม่วงนางหนึ่งกำลังหยัดยืนเงียบเชียบ ดวงหน้าอ่อนใสสงบนิ่ง หาได้แปรเปลี่ยนเพราะการจับจ้อง ของผู้คนไม่ สาวน้อยบุคลิกสุภาพเยือกเย็น ดุจปทุมาแรกแย้ม อายุยังเยาว์กลับปรากฏ บุคลิกงามสง่าเช่นนี้ ยากจะนึกภาพ วันหน้าคราเติบใหญ่ สาวน้อยจะงามล่มเมืองปานใด สาวน้อยชุดม่วงผู้นี้ หากกล่าวถึงด้านบุคลิกและรูปโฉม เทียบกับ เซียวเม่ย คนก่อนหน้ายังเหนือกว่าหลายส่วนอย่างไร้ข้อกังขา มิน่าเล่าฝูงชนบน สนามต่างสะกดใจจ้องมองสาวน้อย นามว่าเชียวซวินเอ๋อร์ เยื้องกรายถึงเบื้องหน้าป้ายศิลาศักดิ์สิทธิ์ ยื่นมือเรียวเล็กออกไป แขนเสื้อสีม่วงที่เดินขอบด้วยไหม สีดำทองเลื่อนร่นลงมา เผยเห็นข้อมือขาวผ่องนวลเนียน ยื่นแตะป้ายศิลาเบาๆ นิ่งเงียบเล็กน้อย บนป้ายศิลาปรากฏแสงอันแสบตาวาบขึ้นอีกครั้ง
“ปราณแห่งยุทธ์ : ช่วงที่เก้า! ระดับขั้น : ขั้นสูง!”
แหงนมองอักษรบนป้ายศิลา ทั่วสนามตกอยู่ในความเงียบสงัด
“ถึงกับบรรลุช่วงที่เก้าแล้ว น่ากลัวจริงๆ! อันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ในวงศ์ตระกูล เกรงว่าตกเป็นของคุณหนูซวินเอ๋อร์แน่แล้ว”
หลังความเงียบ เด็กหนุ่มทั่วบริเวณล้วนกลืนน้ำลายไม่รู้ตัว แววกริ่งเกรงปรากฏชัดในดวงตา ปราณแห่งยุทธ์ คือเส้นทางบังคับ ที่นักยุทธ์ทุกคนต้องก้าวผ่าน ปราณแห่งยุทธ์เบื้องต้น แบ่งออกเป็นช่วงที่หนึ่งถึงช่วงที่สิบ เมื่อปราณแห่งยุทธ์ ในร่างบรรลุถึงช่วงที่สิบก็สามารถรวบรวมปราณ จักระแห่งยุทธ์กลายเป็นนักยุทธ์ที่ผู้คน ให้ความเคารพยกย่องคนหนึ่ง!
กลางฝูงชน เซียวเม่ยขมวดคิ้วเรียวงามจ้องมองสาวน้อยชุดกระโปรงสีม่วงตรงหน้าป้ายศิลา รอยริษยาผุดขึ้นบนใบหน้าแหงนมองข้อมูลบนป้ายศิลา ใบหน้าเฉยชาของผู้ดำเนินการทดสอบ วัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างถึงกับเผยรอยยิ้ม ที่ยากจะเห็นออกมาสายหนึ่ง เมื่อกล่าวกับสาวน้อย ด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมอยู่บ้าง
“คุณหนูซวินเอ๋อร์ ครึ่งปีให้หลัง ท่านคงสามารถรวบรวมปราณจักระแห่งยุทธ์ได้ หากท่านทำสำเร็จก็จะกลายเป็นนักยุทธ์โดยแท้ ด้วยวัยเพียงสิบสี่ปี และท่านคือคนที่สองในรอบร้อยปีของตระกูลเซียว!”
ถูกต้อง คนที่สอง คนที่หนึ่งท่านนั้นก็คือเซียวเหยียนที่วงแสงแห่งอัจฉริยะหลุดหายไป
“ขอบคุณ”
สาวน้อยพยักหน้านิดหนึ่ง ดวงหน้าที่เฉยเมยหาได้ ปรากฏความปลื้มปีติเพราะคำชมของอีกฝ่าย นางหมุนตัวกลับอย่างเงียบงัน จากนั้นย่างเท้าเนิบช้าฝ่า สายตาอันร้อนแรงของกลุ่มคนไปทางหนุ่มน้อย ที่ยืนซังกะตายอยู่ด้านหลังสุดคนนั้น
“พี่เซียวเหยียน”
ขณะผ่านข้างกายเด็กหนุ่ม สาวน้อยหยุดเท้าลง ค้อมเอวคำนับเซียวเหยียน บนใบหน้างามแฉล้ม ถึงกับปรากฏรอยยิ้มงามพิสุทธิ์ ที่นำมาซึ่งความริษยา ของสาวน้อยโดยรอบ
“ตอนนี้ข้ายังมีคุณสมบัติใด ให้เจ้าเรียกขานเช่นนั้น”
เซียวเหยียนกล่าวขมขื่น เมื่อมองดูสาวน้อยตรงหน้าที่กลายเป็นมุกเม็ดงามที่สุดของวงศ์ตระกูล นางเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยมาก ที่ยังคงรักษาความเคารพนับถือต่อตนดุจเดิม หลังจากที่ตนตกต่ำ
“พี่เซียวเหยียน เมื่อก่อนท่านเคยบอก กับซวินเอ๋อร์ว่า ต้องวางลงได้ จึงยกขึ้นได้ ยกวางดั่งใจ จึงเป็นผู้อิสระ!”
เซียวซวินเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน น้ำเสียงสดใสกลับอุ่นวาบถึงใจ
“หึๆ ผู้อิสระ? ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าดูสภาพข้าในตอนนี้ คล้ายผู้อิสระหรือไม่? อีกอย่าง..โลกนี้ เดิมก็ไม่ได้เป็นของข้า”
เซียวเหยียนยิ้มเยาะตนเอง เผชิญกับความท้อแท้ของเซียวเหยียน เซียวซวินเอ๋อร์มุ่นคิ้วเบาๆ กล่าวเสียงหนักแน่น
“พี่เซียวเหยียน แม้ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านกันแน่ ทว่า ซวินเอ๋อร์เชื่อมั่นว่า ท่านจะลุกขึ้นมาทวงคืนเกียรติยศและ ศักดิ์ศรีซึ่งเป็นของท่านอีกครั้งได้....”
นางหยุดนิดหนึ่งเมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ดวงหน้าผุดผาดเผยแววเอียงอาย
“พี่เซียวเหยียนในปีนั้น ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดจริงๆ”
“เฮอะ ๆ …..”
เผชิญคำพูดอันเปิดเผย ไร้การเสแสร้งของสาวน้อย เด็กหนุ่มหัวเราะขัดเขิน แต่มิได้กล่าวอะไรอีก วัยหนุ่มน้อยไม่ควรวางตัว เคร่งขรึมเกินไปก็จริง
ทว่าเขาในยามนี้ ไม่มีคุณสมบัติและอารมณ์สักนิด ได้แต่หมุนตัวอย่างหม่นหมอง ก้าวเดินเอื่อยเฉื่อยออกจากสนามเงาร่างที่ยืนโดดเดี่ยว จ้องมองหนุ่มน้อยที่ประหนึ่งตัดขาดจากโลกคนนั้น เซียวซวินเอ๋อร์รวนเรครู่หนึ่ง จากนั้นซอยเท้าไล่ติดตามไปเดินเคียง ไหล่กับหนุ่มน้อยท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยาของกลุ่มคนด้านหลังพระจันทร์ดุจถาดเงิน ดวงดาวพราวนภายอดผา เซียวเหยียนนอนตะแคงบนผืนหญ้า ในปากคาบหญ้าเขียวกิ่งหนึ่ง ขบเคี้ยวเบาๆ ปล่อยให้รสเผื่อนอบอวลในปาก เขาชูมือขาวผ่องขึ้นตรงหน้า สายตาลอดผ่านหว่างนิ้ว ทอดมองจันทร์เพ็ญกลางนภาดวงนั้น
“เฮ่อ!”
หวนคิดถึงการทดสอบเมื่อช่วงบ่าย เซียวเหยียนถอนใจแผ่วเบา หดมือกลับมาเอื่อยๆ แล้วหนุนไว้ใต้ศีรษะสายตาเลื่อนลอย.….
“นี่ก็สิบห้าปีแล้ว.….”
เสียงพึมพำหลุดจากปาก หนุ่มน้อยออกมาในใจเซียวเหยียน มีความลับประการหนึ่งซึ่งมีเพียงเขาที่รู้ : เขาไม่ใช่คนของที่นี่ พูดอีกอย่างก็คือ วิญญาณของเซียวเหยียนมิได้เป็นของที่นี่ เขามาจากดาวเคราะห์ สีครามดวงหนึ่งที่เรียกว่าโลก ส่วนเพราะอะไรจึงมาถึงที่นี่ เขาก็หมดปัญญาอธิบาย ทว่าหลังจากใช้ชีวิตที่นี่ได้ระยะหนึ่งเขาจึงกระจ่างว่า : เขาทะลุมิติแล้ว!
การเติบโตของอายุ ทำให้เซียวเหยียนเข้าใจดินแดนแห่งนี้มากขึ้น แผ่นดินใหญ่ผืนนี้ มีชื่อว่ามหาพิภพโต้วชี่ (ปราณยุทธ์) ทั่วทั้งพสุธาไม่มีมนต์คาถา นานาชนิดเฉกเช่น ที่เห็นเสมอในนวนิยายปราณยุทธ์ ต่างหากจึงเป็นกระแสหลักแห่งมหาพิภพ!
บนมหาพิภพแห่งนี้ การฝึกปราณยุทธ์เรียกได้ว่า พัฒนาถึงระดับสุดยอดภายใต้ ความมุมานะที่สืบต่อหลายชั่วอายุคน อีกทั้งเนื่องเพราะความแข็งแกร่ง ไม่มีเสื่อมคลายของปราณยุทธ์ ในที่สุดได้แผ่ขยายถึงหมู่ชนคนสามัญ และนี่จึงส่งผลให้ ปราณยุทธ์ผูกพันกับวิถีชีวิตของผู้คนอย่างแยกไม่ออก ดังนี้แล้ว ความสำคัญของปราณยุทธ์ไนมหาพิภพ จึงเหนือกว่าสรรพสิ่งทั้งปวง!
เพราะวิถีแห่งปราณยุทธ์เป็นที่นิยมแพร่หลาย ส่งผลให้เส้นทางหลักสายนี้ แตกแขนงออกเป็นสูตรการฝึกปราณยุทธ์อีกนับไม่ถ้วน ดังคำว่ามือมียาวสั้น คนมีสูงต่ำ วิธีฝึกปราณยุทธ์ที่แตกแขนงออกมา ย่อมมีแข็งมีอ่อนเป็นธรรมดา จากการสรุปรวบรวม ระดับเคล็ดวิชาปราณยุทธ์ในมหาพิภพโต้วชี่ จากสูงถึงต่ำแบ่งออกเป็นสี่ชั้น : ชั้นฟ้า ชั้นดิน ชั้นนิล ชั้นทองและทุกระดับชั้นยังแบ่งออกเป็นสามขั้นคือต้น กลาง สูง!
ความสูงต่ำของระดับเคล็ดวิชาปราณยุทธ์คือกุญแจสำคัญในการตัดสินระดับ ความสำเร็จในอนาคต ตัวอย่างเช่น คนที่ฝึกเคล็ดวิชาชั้นนิลขั้นกลาง ย่อมเก่งกว่าคนที่ปราณยุทธ์ระดับเดียวกันซึ่งฝึกเคล็ดวิชาชั้นทองขั้นสูงอยู่หลายส่วน บนมหาพิภพโต้วชี่นี้ การจำแนกความเข้มแข็งอ่อนแอ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสามประการ ประการแรก สำคัญที่สุดย่อมหนีไม่พ้นพลังฝีมือเฉพาะตัว หากพลังฝีมือเฉพาะตัว มีแค่ระดับนักยุทธ์หนึ่งดาว เช่นนั้นต่อให้เคล็ดวิชาที่ท่านฝึกปรือ จะเลิศล้ำระดับชั้นฟ้า ก็ยากเอาชนะระดับคุรุยุทธ์ที่ฝึกเคล็ดวิชาชั้นทองผู้หนึ่งได้ ประการสอง ก็คือเคล็ดวิชา ผู้แกร่งกล้าที่พลังฝีมืออยู่ในระดับชั้นเดียวกัน หากระดับเคล็ดวิชา ของท่านสูงกว่าคู่ต่อสู้อยู่มาก เช่นนั้น ขณะประลอง ย่อมมีสถานะเป็นต่อ ประการสุดท้าย เรียกว่าทักษะยุทธ์!
เห็นชื่อกระจ่างความหมาย นี่คือความชำนาญพิเศษในการสำแดงปราณยุทธ์ชนิดหนึ่ง ทักษะยุทธ์ในมหาพิภพมีการจำแนก ระดับชั้นเช่นกัน โดยแบ่งออกเป็นชั้นฟ้า ดิน นิลและทอง สี่ระดับชั้นเช่นเดียวกับเคล็ดวิชา ทักษะยุทธ์บน มหาพิภพโต้วชี่ มีอยู่สุดคณานับ ทว่าทักษะยุทธ์โดยส่วนใหญ่ซึ่งสืบทอดกันมา ส่วนมากมักอยู่ในชั้นทองโดยประมาณ หากใครได้รับทักษะยุทธ์ที่สูงขึ้นไป จำเป็นต้องเข้าเป็นศิษย์ในค่ายสำนักหรือสถาบันฝึกยุทธ์ ต่าง ๆ
แน่นอนอาจมีบางคนประสบโชคได้รับ เคล็ดวิชาที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้ให้ หรือไม่ก็มีทักษะยุทธ์ ซึ่งผสมผสานขึ้นเอง ทักษะยุทธ์ที่พัฒนาออกมาจากเคล็ดวิชา เช่นนี้เมื่อประกอบเข้าด้วยกัน อานุภาพย่อมจะรุนแรงยิ่งขึ้น อาศัยเงื่อนไขสามประการนี้ จึงสามารถตัดสินได้ว่าคนผู้นั้นแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ด้วยเหตุนี้ หากสามารถครอบครองเคล็ดวิชาปราณยุทธ์ ที่ระดับค่อนข้างสูง ผลดีในภายหน้าไม่ต้องบอกก็ทราบ
ทว่าเคล็ดการฝึกปราณยุทธ์ขั้นสูง คนทั่วไปยากจะได้มา เคล็ดวิชาที่มีอยู่ดาษดื่น โดยมากเป็นแค่ชั้นทอง ตระกูลที่มีอิทธิพลกว้างขวาง หรือค่ายสำนักขนาดเล็กถึงกลาง จึงจะมีเคล็ดวิชาชั้นนิล ตัวอย่างเช่นตระกูล ที่เซียวเหยียนอาศัยอยู่ เคล็ดวิชาระดับสุดยอด สิงห์คลั่งวายุเดือด' มีเพียงประมุขตระกูล จึงมีคุณสมบัติฝึกปรือได้ นี่คือเคล็ดปราณยุทธ์ชั้นนิล ขั้นกลางสังกัดธาตุลมเหนือชั้นนิลก็คือชั้นดิน
ทว่าเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเช่นนี้ อาจบางทีมีเพียงพวกอิทธิพลล้ำฟ้า และมหาจักรวรรดิเท่านั้นที่อาจครอบครองได้ส่วนเคล็ดวิชาชั้นฟ้า ไม่เคยปรากฏให้เห็นหลายร้อยปีแล้วในทางทฤษฎี คนทั่วไปใคร่ได้รับเคล็ดวิชาระดับสูง โดยพื้นฐานแล้ว ยากยิ่งกว่าไต่สวรรค์ อัจฉริยะผู้ตกต่ำ ( ช่วงกลาง)
ทว่าเรื่องราวบนโลก ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ มหาพิภพโต้วชี่กว้างใหญ่ไพศาล เผ่าพันธุ์นับหมื่น ฝั่งเหนือของมหาพิภพมีอนารยชนซึ่ง ได้ชื่อว่าพลังปราณมหาศาลและสามารถรวมร่างกับสัตว์อสูร ฝั่งใดของมหาพิภพ ก็มีเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรชั้นสูงที่กอปรด้วยสติปัญญาลึกล้ำนานาชนิด นอกจากนี้ยังมีเผ่าพันธุ์อนธการที่สร้างชื่อ จากความโหดเหี้ยมอำมหิตเป็นต้น และยังมีผู้เร้นกายนิรนามอีกมาก พวกเขาซึ่งมีนิสัยสันโดษ อาจนำเคล็ดวิชาที่คิดดันขึ้นซุกซ่อน ไว้ที่ใดที่หนึ่ง ขณะวาระสุดท้ายแห่งชีวิตมาเยือน รอคอยผู้มีวาสนาเสาะค้นเอาไปบนมหาพิภพโต้วชี่ มีประโยคหนึ่งเล่าขานสืบต่อ : หากวันใดวันหนึ่ง ท่านพลัดตกเหว ร่วงหล่นสู่โพรงถ้ำ ไม่ต้องตื่นกลัว จงเดินหน้าสองก้าว ไม่แน่ท่านอาจกลายเป็นผู้แกร่งกล้า!
วาจานี้ไม่เท็จสักนิด ในประวัติศาสตร์นับพันปี ของมหาพิภพ ไม่ขาดแคลนตำนาน ชนิดที่อาศัยเหตุมหัศจรรย์จนกลายเป็นวีรบุรุษ และผลสืบเนื่อง ที่เกิดจากตำนานจำพวกนี้ ทำให้มีผู้คนจำนวนมาก มาจดจ่อเฝ้ารอตามขอบผา ตระเตรียมกระโดดเหวลึก เพื่อให้ได้มาซึ่งสุดยอดเคล็ดวิชาแน่นอน คนเหล่านี้โดยมากล้วนแขนขาหัก ก่อนกลับไปด้วยสภาพทุลักทุเลสรุปแล้ว นี่คือมหาพิภพที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์และการสรร สร้างตำนานปาฏิหาริย์ผืนหนึ่ง!
แน่นอน ใคร้ฝึกปรือเคล็ดวิชาปราณยุทธ์ อย่างน้อยที่สุดต้องกลาย เป็นนักยุทธิโดยแท้คนหนึ่ง จึงจะมีคุณสมบัติพอ ทว่าเซียวเหยียนในเวลานี้ ยังห่างจากเป้าหมายนั้นอีกไกล “ถุย!” ถ่มหญ้าในปาก เซียวเหยียน พลันโดดลุกขึ้น ปั้นหน้าดุร้ายตะโกนด่า นภาหม่นอย่างเหลืออด
“แกล้งส่งข้าทะลุมิติมาเป็นเศษสวะใช่ไหม”
ในภพก่อน เซียวเหยียนเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง เงินตรา สาวสวย สิ่งเหล่านี้สำหรับเขาแล้ว คือเส้นขนานสองเส้น ปราศจากจุดตัดตลอดกาลแต่ทว่า หลังมาถึงมหาพิภพโต้วชี่ผืนนี้ เซียวเหยียนกลับค้นพบอย่างลิงโลด ด้วยประสบการณ์ของสองภพ จิตวิญญาณของเขาถึงกับแข็งแกร่ง กว่าคนทั่วไปอยู่มากทีเดียว
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 200
Comments