LAZARUS (Thai)
"ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าสุนัขนั้น เป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างเนิ่นนาน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน และ เหตุผลในการเลี้ยงก็มีอยู่หลากหลาย ไม่ว่าจะเลี้ยงเพื่อเฝ้าบ้าน, ล่าสัตว์ หรือ เลี้ยงเพื่อแก้เหงาก็ตาม แต่มุมมองของคุณที่มีต่อสุนัขเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเมื่อคุณได้รู้จักกับ บรูโน่ สุนัขอัฉริยะที่สามารถทำอะไรๆได้มากกว่าที่คุณคิด และ มันจะทำให้คุณหลงรักสัตว์หน้าขนอย่างพวกเขามากขึ้น เมื่อโลกมาถึงจุดที่ดำมืด และ ตกต่ำที่สุด สุนัขนามว่า บรูโน่ ตัวนี้จะนำแสงสว่างกลับมาสู่โลกใบนี้อีกครั้ง"
LAZARUS - ลาซารัส
Episode I - สุนัขที่หายไป
ปี ค.ศ 2060 ณ ห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์แห่งหนึ่ง ที่กำลังทำการวิจัย และ ทดลองทางพันธุกรรมเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต พวกเขาได้ทำการทดลองมากมาย โดยการทดลอที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ การนำ ดีเอ็นเอ ของกิ้งก่ามาผสมเข้ากับดีเอนเอของมนุษย์เพื่อผลลัพธ์ที่ได้มาซึ่งการสร้างตัวใหม่ของเซลล์หลังจากที่มนุษย์ผู้นั้นได้ถูกตัดแขน หรือ ขาออกจากร่างกาย ความล้มเหลว ย่อมเป็นสิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นหลังการทดลองครั้งแรกเสมอ แต่ความพยายามของมนุษย์ที่ไม่เคยย่อท้อต่อโชคชะตา ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มาก็คือ ความสำเร็จ พวกเขาสามารถทำให้มนุษย์ที่ขาดอวัยวะต่างๆของร่างกายกลับมางอกใหม่ได้อีกครั้ง และถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของวงการวิทยาศาสตร์ และ วงการแพทย์เลยทีเดียว และ นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการทดลองครั้งใหม่ ซึ่งก็คือ.... การถ่าย ดีเอ็นเอ ของมนุษย์ให้กับสุนัข ซึ่งผลลัพธ์ที่พวกเขาหวังก็คือการให้ สุนัขมีมันสมอง และ ความคิดเทียบเท่ากับมนุษย์ โดยใช้ชื่อโครงการนี้ว่า Modification of the Dog's Brain (MDB) หรือที่แปลตรงตัวว่า "การดัดแปลลงสมองของสุนัข" ความคิดนี้ไม่ใช่การเพ้อเจ้อ เมื่อรัฐบาลเซ็นยินยอมในการทดลองนี้ แต่มันกลับไม่ใช่การทดลองที่ถูกต้อง พวกเขาไม่ได้เปิดเผยโครงการนี้ต่อสาธารณชน เพราะมันค่อนข้างผิดศีลธรรม และต้องดำเนินการอย่างลับๆภายใต้อำนาจของรัฐบาลที่ไม่ได้ดีนัก โดยพวกเขาต้องตามหาสุนัขจรจัดทั่วทุกสารทิศ เพื่อนำมาเป็นตัวทดลอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ มันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิด เมื่อสุนัขหลายร้อยตัว หลากหลายสายพันธุ์ต้องถูกสังเวยชีวิตเพราะการทดลองที่ไม่สำเร็จผล และ 1 ในสายพันธุ์ที่ถูกนำมาทดลองแต่ไม่ประสบผลสำเร็จก็คือสายพันธุ์ เซนต์เบอร์นาร์ด เหตุผลที่สุนัขทุกตัวทดลองไม่สำเร็จก็เพราะ ดีเอ็นเอ ของมนุษย์ที่ไม่สามารถเข้ากันได้กับเซลล์สมองของสุนัข ทำให้ร่างกายของพวกมันรับไม่ไหว และ ส่งผลให้สมองไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ร่างกายของสุนัขจึงไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป และ นำไปสู่การเป็นอัมพาตของหัวใจ หรือ ก็คือหัวใจหยุดเต้นนั่นเอง
จนกระทั่งได้มี เซนต์เบอร์นาร์ด ตัวหนึ่ง ที่ได้ถูกนำมาทดลองในโครงการนี้ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการฉีดเซลล์สมองของมนุษย์คนหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกในองค์กร โดยฉีดเข้าไปในสมองของสุนัข เซนต์เบอร์นาร์ด ตัวนี้ในขณะที่ยังตื่นอยู่ แต่ผลตอบรับกลับแตกต่างจากสุนัขตัวอื่นอย่างสิ้นเชิง เพราะหลังจากที่ทำการทดลองเรียบร้อย มันได้หมดสติไปเกือบ 2 วัน ก่อนที่ฟื้นขึ้นมา จะเรียกว่าสำเร็จก็ได้ เมื่อมันสามารถสะกดชื่อของใครหลายๆคนในองค์กรได้ด้วยกล่องตัวอักษร รวมถึงการทดลองเล่นหมากรุกแล้วยังชนะฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย สมองของมันตอนนี้ ได้ข้ามขีดจำกัดของสุนัขไปเรียบร้อยแล้ว..
แต่แล้วเช้าวันหนึ่ง หลังการทดลองสำเร็จไปได้ 7 วัน นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งได้เข้ามาที่ห้องแลปเป็นคนแรกในเช้าวันนั้นก็พบว่า สุนัขที่ประสบความสำเร็จตัวนั้น มันได้หายไปจากห้องแลปเสียแล้ว เหตุการณ์การหายไปของสุนัขตัวนี้สร้างความแตกตื่นให้กับรัฐบาลเป็นอย่างมาก แต่ไม่สามารถประกาศตามหา หรือ ออกข่าวได้ เพราะการทดลองนี้มันเป็นการทดลองลับสุดยอดของทางการ การค้นหา สุนัขเซนต์เบอร์นาร์ด ตัวนี้จึงต้องดำเนินไปอย่างลับๆเช่นกัน.....
("เซนต์เบอร์นาร์ด เป็นสายพันธุ์สุนัขกู้ภัยอย่างแท้จริง โดยมีต้นกำเนิดมาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยเซนต์เบอร์นาร์ดมักถูกเลี้ยงไว้เฝ้ายาม ปกป้องพระภิกษุและข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ก่อนที่ต่อมาได้รับการพัฒนาเพื่อเป็นสุนัขกู้ภัย ทำหน้าที่ช่วยค้นหาและช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่หลงทาง เซนต์เบอร์นาร์ด มีความสูงประมาณ 65 ซม. ถึง 90 ซม. และมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กก. ถึง 91 กก. )
ห่างจากศูนย์วิจัยออกมาทางทิศตะวันออกประมาณ 12 ไมล์ (20 กิโลเมตร) "โธมัส คาร์สัน" หนุ่มอายุ 24 ปี เขาอาศัยอยู่กับแม่ที่อายุ 54 ปี "โจลี่ คาร์สัน" แค่ 2 คนอย่างสงบสุข โดยเขาทำงานเป็นเด็กส่งพิซซ่ามาเป็นเวลากว่า 4 ปี ทำให้เขา รู้เส้นทางการจราจรทั่วทั้งเมืองอย่างดีเยี่ยม รวมถึงเส้นทางตามชนบทนอกตัวเมืองอีกด้วย แถมยังได้เป็นพนักงานดีเด่นอีกต่างหาก โดยเขาจะใช้กระบะคู่ใจของเขาในการขับไปทำงาน และ ใช้รถของทางร้านในการส่งพิซซ่า ซึ่งเขามักจะเข้างานกะกลางคืนเสมอ โดยเข้างานเวลา 2 ทุ่มไปจนถึงตี 4
วันหนึ่ง หลังจากเลิกงาน และ กำลังขับรถกระบะคู่ใจกลับบ้านตามปกติ ขณะที่กำลังวิ่งอยู่บนถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าทึบ จู่ๆเขาก็ดันปวดฉี่ขึ้นมา เขาคิดว่าคงอดทนให้ถึงบ้านไม่ไหวแน่ๆ เลยตัดสินใจจอดข้างทาง ขณะที่กำลังยืนทำธุระอยู่นั่นอง ก็ได้มี "เซนต์เบอร์นาร์ด" ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เดินออกมาจากป่าด้วยสภาพไร้เรี่ยวแรง ตอนนั้นเขางงมาก ที่อยู่ดีๆก็มีสุนัขสายพันธุ์นี้เดินออกมาจากป่า เพราะสุนัขจรจัดทั่วไปในตัวเมือง หรือชานเมือง ไม่มีทางที่จะมีสายพันธุ์นี้เลย มันเดินออกมาก่อนจะล้มตัวลงข้างๆรถของเขา เขาไม่มีทางเลือก ปล่อยไว้แบบนั้นมันคงไม่รอด โธมัสจึงตัดสินใจอุ้มมันขึ้นรถ ซึ่งกว่าจะทำสำเร็จก็เล่นเอาเหนื่อยพอสมควร เพราะสุนัขตัวนี้ค่อนข้างใหญ่ ถึงตอนนี้จะผอมลงไปมาก แต่น้ำหนัก ก็ยังคงอยู่ที่ 35 - 45 กก เมื่อกลับมาถึงบ้านเขาก็นำรถเข็นขนของที่เขามี มานำสุนัขตัวนี้เข้าไปในบ้าน เช็ดตัว ทำที่นอนให้ และ นำอาหารของเขาที่เหลืออยู่มาวางไว้ เผื่อว่ามันได้สติ ก็สามารถที่จะกินได้เลย แล้วเขาก็เข้านอนตามปกติ ซึ่งแม่ของเขานั้นกำลังหลับอยู่ ทำให้ไม่รู้เลยว่าลูกชายของเขาได้นำตัวป่วนเข้ามาในบ้านซะแล้ว.......
เวลา 10 โมงเช้า โธมัส ได้ตื่นขึ้นมาเพื่อจะเข้าห้องน้ำ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงทีวีข้างล่าง ซึ่งตอนนั้นเขาคิดว่าแม่ของเขา กำลังนั่งดูข่าวอยู่แน่ๆ เขาจึงไม่ได้สนใจ แต่เมื่อเขาออกจากห้องน้ำ และ กำลังจะไปนอนต่อ เขาก็นึกขึ้นได้ว่า วันนี้แม่เขามีธุระต้องไปจัดการ เกี่ยวกับคนไข้ในโรงพยาบาลที่แม่เขาทำงานอยู่ และ แม่เขาก็บอกด้วยว่าจะต้องออกจากบ้านตอน 7 โมงเช้า "แล้วใครกำลังดูทีวีในห้องนั่งเล่น" นั่นคือสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัว ก่อนจะค่อยๆเดินลงบันไดไปชั้นล่าง และ เมื่อเขาลงไปถึง สิ่งที่เขาเห็นก็คือ สุนัข เซนต์เบอร์นาร์ด ที่เขาพากลับบ้านเมื่อเช้า กำลังนั่งดูข่าวในทีวีบนโซฟา ก่อนจะหันมาหาเขาพร้อมกับพูดว่า "ไง"!! ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็หมดสติไปทันที
ณ ศูนย์วิจัยการศึกษาและการพัฒนาทางการแพทย์ (Medical Education and Development) ซึ่งศูนย์นี้เอง ที่มีการแอบทดลองสร้างสิ่งมีชีวิตที่ผิดศิลธรรมขึ้นมา ด้วยการใช้การพัฒนาทางการแพทย์มาบังหน้า เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะ รัฐบาลได้แอบร่วมมือกับคนอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อที่จะเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นอาวุธ และ พัฒนาอาวุธชีวภาพ เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง และ ตอนนี้อาวุธที่มีค่าสำหรับพวกมันได้หายไป ทำให้รัฐบาลต้องเร่งมือออกตามหา
"ไมเคิล โคล์" หนึ่งในผู้ดูแลระดับสูงของรัฐบาล และ "เชสเตอร์ กานเนอร์" ผู้นำสูงสุดของ "Bloody Army" (กองทัพนองเลือด) ทั้งคู่มีสมาชิกในองค์กรของตัวเองเยอะมาก และ ยังเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรผิดศีลธรรมนี้ขึ้นมาอีกด้วย
ไมเคิล: ยังหาเจ้าหมานั่นไม่เจออีกหรอ ?
เชสเตอร์: ฉันสั่งเจ้า ดอร์จ นั่นไปตั้ง 3 วันแล้วนะ
ไมเคิล: ไปเรียกเจ้า ดอร์จ นั่นมาหาฉันเดี๋ยวนี้เลย
ซึ่ง ดอร์จ คือนักวิทยาศาสตร์ที่รับผิดชอบโครงการ MDB และ ยังเป็นคนแรกที่รู้ว่าสุนัขตัวนั้นหายไปด้วย เขาได้ถูก ไมเคิล ผู้นำของเขาเรียกพบด่วนหลังจากที่ประกาศให้กับสมาชิกในองค์กรออกตามหาสุนัขได้ 3 วัน...
ดอร์จ: เรียกผมหรอครับท่าน ?
ไมเคิล: ใช่ ฉันเรียกแก การค้นหาเป็นยังไงบ้าง ?
ดอร์จ: คือว่า ตอนนี้เรายังไม่พบตัวเจ้าหมานั่นเลยครับ
ไมเคิล: แกฟังฉันนะไอ้ดอร์จ รู้ไหมหมาตัวนั้นมันมีค่ากับภารกิจของฉันมากแค่ไหน ฉันได้มอบหมายให้แกรับผิดชอบ โดยการสร้างหมาที่มีความคิดเหมือนมนุษย์ แต่ฉันจำไม่ได้เลย ว่าเคยสั่งให้แกปล่อยปละละเลยมัน
ดอร์จ: ผมขอโทษครับท่าน ผมจะรีบตามหามันให้เจอครับ
ไมเคิล: ฉันจะให้เวลาแกอีกแค่ 5 วันเท่านั้น
เชสเตอร์: ได้ยินคำสั่งแล้วก็รีบไปสะ!!
ดอร์จ: ครับผม
เชสเตอร์: นายคิดว่าจะหาเจอหรอ ภายในเวลา 5 วันนะ ?
ไมเคิล: 5 วันมันไม่น้อยหรอกนะ สำหรับการตามหาหมาตัวนึง
เชสเตอร์: ถ้าหมอนั่นหาไม่เจอละ ?
ไมเคิล: องค์กรของเรา ไม่มีที่ให้สำหรับคนที่ทำงานล้มเหลว...
บ้านโธมัส เวลาเที่ยงตรง หลังจากที่เขาหมดสติไป 2 ช.ม ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา เมื่อสายตาปรับโฟกัสได้เขาก็พบสุนัขตัวนั้นนั่งอยู่ข้างๆเขาพร้อมกับมีผ้าเช็ดตัวที่ชุ่มไปด้วยน้ำอยู่ในปากของมัน เขาสะดุ้งสุดตัวก่อนจะยืนจ้องไปที่สุนัขตัวนั้นอย่างนิ่งๆ พร้อมกับมันที่มองมาที่เขาเช่นกัน.....
โธมัส: โย้ว....
สุนัข: ........
โธมัส: เมื่อเช้านายไม่ได้พูดกับฉัน ฉันต้องหูฝาดแน่ๆ
สุนัข: ........
โธมัส: เมื่อเช้าแม่ฉันคงเปิดทีวีให้นายสินะ ??
สุนัข: ........
โธมัส: นายเอาผ้านั่นมาเช็ดตัวให้ฉันงั้นหรอ ??
สุนัข: .......
โธมัส: นายคงจะเป็นหมาที่แสนรู้ที่สุดในโลกเลยสินะ อยากมีชื่อไหม
สุนัข: ฉันว่านายเลิกพูดมาก แล้วก็เตรียมใจที่จะได้เลี้ยงหมาพูดได้คนแรกของโลกดีกว่านะ...
ใช่ครับ สุนัขตัวนี้พูดได้!! และ มันก็พึ่งจะ พูดกับโธมัสเมื่อสักครู่ ก่อนที่จะทำให้โธมัสสลบไปอีกรอบ.... ซึ่งไม่นานเขาก็ตื่นขึ้นมา เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็มองหาสุนัขนั้นก่อนเป็นอันดับแรก แต่ไม่พบวี่แวว เขาจึงลุกเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อที่จะล้างหน้า เขาคิดว่าเขาอาจจะเหนื่อยจากการทำงานมากเกินไปก็ได้ เมื่อเปิดประตูห้องน้ำเขาก็ต้องตะลึงอีกครั้ง เพราะในห้องน้ำตอนนี้ มีสุนัขตัวนั้นกำลังนั่งอึ อยู่บนชักโครก และ นั้นก็ทำให้เขากรี๊ดออกมาสุดเสียง......
สุนัข: เฮ้ ถ้านายจะตกใจ ก็ให้ฉันอึก่อนไม่ได้รึไง
แล้วทั้งคู่ก็มานั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่น โดยตอนนี้ต่างคนต่างก็นั่งจ้องหน้ากันอย่างไม่ลดละ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากสำหรับโธมัส เมื่อจู่สุนัขที่เขาพามาจากข้างทางกลับสามารถพูดภาษามนุษย์ได้อย่างชัดเจน.....
โธมัส: นายเป็นตัวอะไรกันแน่ ??
สุนัข: เห็นฉันเป็นปลาหรอ ฉันก็คือหมาไง นายช่วยฉันมาจากข้างทาง ฉันต้องขอบใจนายมาก
โธมัส: เดี๋ยวก่อน!!! ทำไมนายถึงพูดได้ มันเป็นไปได้ยังไง ฉันต้องฝันอยู่แน่ๆๆๆ
สุนัข: โธ่เอ้ยย นายสลบไป และ ตื่นมา 2 รอบแล้วนะ ยังจะคิดว่าตัวเองฝันอีกงั้นหรอ
โธมัส: มันเกิดอะไรขึ้นกับนายกันเนี่ย นายคือหมา ทำไมนายพูดได้ ฉันกลายเป็นปราสาทไปแล้วใช่มั้ยเนี่ย
สุนัข: เออ จะว่างั้นก็ได้ แต่จริงๆแล้ว ไม่!! นายไม่ได้ปราสาท ฉันคือหมาพูดได้ตัวแรกของโลก และ หมาเทวดาอย่างฉันดันถูกไอ้หนุ่มขวัญอ่อนที่ไหนก็ไม่รู้เก็บมาเลี้ยง
โธมัส: ตอบฉันเดี๋ยวนี้เลย อะไรทำให้นายพูดได้ มีแค่นายตัวเดียวรึเปล่า ??
โธมัส เขาดูตื่นเต้นและตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อจู่ๆ สุนัขป่าสีขาว ที่เขาเก็บได้จากข้างทาง พูดภาษาคนได้ ราวกับเป็นคนจริงๆ.....
สุนัข: เออ ก็ได้ ฉันจะบอกให้ก็แล้วกัน ฉันถูกฉีดยา ยาอะไรสักอย่างที่เอาออกมาจากตัวมนุษย์ ฉันได้ยินว่ามันเป็นเซลล์สมอง และ ร่างกายฉันดันไม่เหมือนกับสุนัขตัวอื่นซะด้วยซิ
โธมัส: ไม่เหมือนตัวอื่นงั้นหรอ ยังไงละ ??
สุนัข: สุนัขทุกตัวเมื่อถูกเซลล์สมองของมนุษย์ฉีดเข้าไป ร่างกายก็จะเป็นอัมพาต เพราะสมองไม่ทำงาน แต่ฉัน มันกลับได้ผล และที่ยิ่งกว่า มันไปเปลี่ยนลิ้นของฉันให้สามารถพูดภาษานายได้ด้วยนะเส้
โธมัส: พระเจ้าช่วย!! การทดลองแบบไหนกันเนี่ย ทำไมไม่เห็นมีข่าวอะไรเลย ?
สุนัข: ไม่มีหรอก เพราะเป็นการทดลองลับของทางการ ฉันหนีออกมา เพราะไม่ต้องการเป็นอาวุธของคนชั่ว ว่าแต่... แล้วนายละชั่วรึเปล่าเนี่ย...??
โธมัส: อะไรนะ ไม่! ฉันเป็นแค่เด็กส่งพิซซ่า ให้ตายสิ เรื่องจริงหรอวะเนี่ย !!!
สุนัข: โอเค เลิกตะลึงในความพิเศษของฉันก่อนได้ไหม ขอร้องล่ะ นายอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวหรอ ?
โธมัส: เปล่า ฉันอยู่กับแม่น่ะ
สุนัข: แล้วพ่อนายล่ะ ?
โธมัส: พ่อฉันเสียตั้งแต่ฉันยังเด็ก ฉันยังไม่เคยพบหน้าพ่อด้วยซ้ำ
สุนัข: ท่านเป็นอะไรหรอ ?
โธมัส: ในสนามรบน่ะ ท่านเป็นทหาร
สุนัข: ว้าววว ชื่อของพ่อนายจะถูกจดจำไปอีกนานในถานะ วีรบุรุษ
โธมัส: ขอบใจ แล้วนายละ คือแบบ นายมีความคิดเหมือนมนุษย์ แล้วเอ่อ เวลากินอาหารนายกินยังไง ?
สุนัข: นายดูร่างกายฉันก่อนสิ เจ้าบ้า นายคิดว่าฉันจะจับช้อนแบบไหนไม่ทราบ
โธมัส: แล้วเวลามีเพศสัมพันธ์ละ ?
สุนัข: ท่าหมาไง เจ้าโง่เอ้ย ฉันคงเอาขาพาดบ่าไม่ได้หรอกนะ
โธมัส: สุดยอดไปเลย ฉันมีหมาพูดได้ ฉันได้ออกทีวีแน่ๆเลย
สุนัข: ไม่!! ไม่ได้นะ นายห้ามบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้เด็ดขาดเลย
โธมัส: ทำไมละ นายออกจะวิเศษขนาดนี้ ?
สุนัข: ฉันกำลังถูกตามล่าจากองร์กรที่สร้างฉันขึ้นมาเองนะ มันต้องการตัวฉันไปเป็นอาวุธ
โธมัส: อาวุธแบบไหนกัน ?
สุนัข: นายเคยเห็นคนสู้กับหมาตัวต่อตัวแล้วชนะหมารึเปล่าละ ?
โธมัส: ไม่อะ
สุนัข: แล้วถ้าหมาพวกนั้นมีความคิดเหมือนมนุษย์ละ มันต้องการตัวฉันไปเป็นพ่อพันธุ์ เพราะดีเอ็นเอของฉัน สามารถทนดีเอ็นเอของมนุษย์ได้ เพื่อจะสร้างกองทัพหมาสุดฉลาดขึ้นมาไงละ หมาแข็งแรงกว่าคนด้วยนะ
โธมัส: แล้วฉันควรทำยังไง??
สุนัข: ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไว้การค้นหาเริ่มเบาลงฉันก็จะไปตามทางของฉันเอง
โธมัส: แม่ฉันควรรู้เรื่องนี้ไหม ?
สุนัข: นายอยู่เฉยๆ เดี๋ยวฉันจัดการเอง
โธมัส: ฉันว่านายควรมีชื่อนะ
สุนัข: อะไรนะ ฟังดูดีเหมือนกันแหะ ช่วยหาชื่อเท่ๆให้ฉันหน่อยสิ
โธมัส: ฉันจะไปหาใน กูเกิ้ล
สุนัข: กูเกิ้ลเนี่ยนะ นายคิดเองไม่เป็นรึไง ?
โธมัส: มีคนเคยบอกฉันว่า กูเกิ้ล รู้ทุกอย่าง อยากรู้อะไรถาม กูเกิ้ล
สุนัข: เออๆ แล้วแต่นายละกัน อยากทำอะไรก็เชิญ ขอชื่อที่มันเท่ๆละ.....
ณ สถานที่ที่มีการป้องกัน และ เฝ้าระวังที่แน่นหนาที่สุดในโลก แม้แต่ แมลงวัน เพียงตัวเดียวก็ไม่สามารถเข้าไปในอาณาเขตของที่แห่งนี้ได้ สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า "Fortress of Justice" (FOJ) "ป้อมปราการแห่งความยุติธรรม ดินแดนของผู้คุมกฎหมายและสภาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" หรือเรียกสั้นๆว่า ดินแดนแห่ง "ฟอจ" ดินแดนที่รวมผู้คนระดับสูงของโลกไว้ในที่แห่งนี้ ดินแดนที่มีกองกำลังติดอาวุธมากที่สุด คลังแสงที่ใหญ่ที่สุด และ "ควินดารัส คอร์เนลล์" หญิงสาวอายุ 35 ปี ที่มีใบหน้าแสนงดงาม และยังอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดในโลก ฉายาของเธอคือ หญิงสาวผู้ไร้ความปราณีต่อสิ่งใด โดยโลกในปี ค.ศ 2060 ทั่วทั้งโลกจะมีระดับความผิดอยู่ทั้งหมด 7 ระดับ....
และนี่คือ 7 ระดับความผิด พร้อมบทลงโทษต่างๆที่จะได้รับในโลกปี ค.ศ 2060
ให้ความเท็จแก่เจ้าหน้าที่, ลักขโมย, ปล้นจี้
1 ดาว บทลงโทษคือ จำคุกเป็นเวลา 3 ปี
ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่, ก่อความวุ่นวาย, ข้องเกี่ยวกับสารเสพติด,
2 ดาว บทลงโทษคือ จำคุก 10 ปี โดยไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน
ฆ่าผู้บริสุทธิ์, ฆ่าเจ้าหน้าที่, ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยประมาท,
3 ดาว บทลงโทษคือ จำคุก 15 ปี โดยไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน พร้อมกับถูกทรมานด้วยการใช้โซ่ไฟเคี่ยนอาทิตย์ละ 5 ช.ม.
ข่มขืน, ล่วงละเมิดทางเพศ,
4 ดาว บทลงโทษคือ ตัดอวัยวะเพศ และ จำคุกไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน 30 ปี พร้อมกับถูกทรมานด้วยการใช้โซ่ไฟเคี่ยนอาทิตย์ละ 5 ช.ม.
ฆ่าเจ้าหน้าที่ระดับสูง, ก่อจลาจล,
5 ดาว บทลงโทษคือ จำคุกไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันตลอดชีวิตโดยการตรึงไว้กับเตียงตลอดเวลา พร้อมกับถูกทรมานด้วยการใช้โซ่ไฟเคี่ยนตีอาทิตย์ละ 5 ช.ม.
ก่อสงครามระดับประเทศ หรือ ระดับโลก
6 ดาว บทลงโทษคือ จำคุกไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน 30 ปีโดยการตรึงไว้กับเตียงตลอดเวลา พร้อมกับถูกทรมานด้วยการใช้โซ่ไฟเคี่ยนวันละ 3 ช.ม เมื่อครบกำหนด 30 ปี ให้ประหารด้วยการแขวนคอ ท่ามกลางสายตาคนนับร้อย
ทำความผิดทุกๆคดีที่กล่าวมา
ระดับสูงสุด 7 ดาว บทลงโทษคือ จำคุกไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน 40 ปีโดยการตรึงไว้กับเตียงตลอดเวลา พร้อมกับถูกทรมานด้วยการใช้โซ่ไฟเคี่ยนวันละ 3 ช.ม เมื่อครบกำหนด จะถูกประหารชีวิตด้วยวิธี บราเซนบูล คือการจับนักโทษ ยัดเข้าไปในรูปปั้นวัวเหล็ก จากนั้นจุดไฟเพื่อ อบ ตัวนักโทษทั้งเป็นจนตาย โดยจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนของนักโทษออกมาจากสมูกของวัว ท่ามกลางสายตาคนนับร้อย
"ควินดารัส คอร์เนลล์" มักจะถูกพูดถึงในสังคมว่าเป็นผู้นำที่โหดร้าย และ ไร้มนุษยธรรม แต่ท่าน ควินดารัส คอร์เนลล์ เคยได้กล่าวไว้เมื่อ 5 ปีก่อนตอนที่ท่านได้นั่งตำแหน่งนี้ครั้งแรกว่า "คนชั่วไม่ควรได้รับศีลธรรม การกระทำผิดครั้งแรกถือเป็นความผิดพราด แต่การกระทำเช่นเดิมทั้งๆที่รู้ว่ามันผิด มันผู้นั้นไม่ควรได้รับการอภัยโทษ ไม่ว่าจะประการใดก็ตาม หากมันผู้นั้นต้องการติดสินบน กับกฎหมาย และ สภา มันผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษเพิ่มไปอีกเป็นเท่าทวีคูณ'' จากคำพูดนี้ ได้ทำให้เกิดการแบ่งแยกคนออกเป็น 2 ฝ่าย ทั้งผู้ที่สนับสนุนและเห็นด้วย กับ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุน โดยมองว่ามันโหดร้ายเกินไป แต่สำหรับท่าน "ควินดารัส คอร์เนลล์" การลงโทษคนชั่วไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม มันไม่มีคำว่ายกเว้นเลย และอย่างที่ได้กล่าวมาทั้งหมด คือผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของโลก ผู้ที่มีอำนาจสั่งทุกๆสิ่งทุกๆอย่างบนโลกใบนี้ ....."ควินดารัส คอร์เนลล์"
เวลา 5 โมงเย็น ณ บ้านโธมัส โดยตอนนี้แม่ของเขากำลังเดินกลับมาจากโรงพยาบาล ที่โธมัสทราบเพราะว่า แม่ของเขาโทรมาถามว่าต้องการฝากซื้ออะไรรึเปล่า โธมัส จึงฝากแม่ของเขาซื้ออาหารหมามาด้วย 1 กระสอบ ซึ่งตอนนี้ โธมัส ดูตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าสุนัขที่เขาเก็บมานั้นสามารถพูดได้ จึงคิดจะตั้งชื่อให้กับมันโดยการหาชื่อเท่ๆในกูเกิ้ล......
สุนัข: ให้ตายสิ นายหาชื่อให้ฉันมาเกือบ 3 ช.ม แล้วนะ ฉันว่าคืนนี้ฉันก็ยังไม่มีชื่อแน่ๆ
โธมัส: ก็นายไม่ถูกใจซักชื่อเลยนิหว่า ฉันว่าฉันตั้งใจหาแล้วนะ
สุนัข: ฉันว่านายคิดเองดีกว่า ไหนๆ มาลองภูมิปัญญามนุษย์หน่อยสิ ว่าจะคิดชื่อเท่ๆให้หมาอย่างฉันออกรึเปล่า
โธมัส: นายนี่มัน ปากหมาจริงๆเลย
สุนัข: แล้วปากฉันมันเหมือนคนตรงไหนละ
โธมัส: เดี๋ยวนะเจ้าหมา ฉันว่าฉันคิดชื่อเจ๋งๆออกแล้ว
สุนัข: ไหนๆ ชื่ออะไร ?
โธมัส: ฉันจะให้นายชื่อว่า สคูบี้
สุนัข: อะไรนะ นายต้องล้อฉันเล่นแน่ๆ
โธมัส: อะไร เรา 2 คนตอนนี้ก็เหมือน สคูบี้-ดู ไงไม่เคยดูรึไง
สุนัข: รู้จักสิ ฉันไม่อยากเป็นหมาซื่อบื้อ พูดไม่ชัดแบบนั้นนะ
โธมัส: เดี๋ยวนะ นายบอกว่านายถูกทดลอง ทำไมนายถึงรู้จัก สคูบี้-ดู ?
สุนัข: ก็ไอ้พวกเวรนั่น มันเคยนั่งดูให้ฉันเห็นนะสิ
โธมัส: เฮ้ แม่ฉันมาแล้ว นายทำตัวปกติไว้นะ
สุนัข: ปกติแบบหมาทั่วไปอะนะ?
โธมัส: ใช่ ห้ามพูดอะไรเด็ดขาดเลย
แล้วแม่ของ โธมัส ก็กลับมาถึงบ้าน โดยเขาได้สั่งกับสุนัขไว้ว่า ให้ทำตัวปกติแบบสุนัขทั่วไป เพราะกลัวว่าแม่ของเขาจะช็อกตายซะก่อน หากรู้ว่าสุนัขที่เขาเก็บมาเลี้ยงนั้นสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ เมื่อแม่ของเขาเดินเข้ามาในบ้าน และ เห็นสุนัขเข้า......
โจลี่: ว้าววว โธมัส ลูกเก็บหมาที่ไหนมาเลี้ยงเนี่ย ?
โธมัส: คือ.... พอดีผมเจอมันระหว่างทางกลับบ้านเมื่อเช้านะครับ เชื่องมากด้วยครับแม่
โจลี่: ตัวใหญ่มากเลยนะ แปลกจัง หมาพันธุ์นี้ส่วนมากจะต้องมีเจ้าของไม่ใช่หรอ ?
โธมัส: ตัวนี้จรจัดครับ
โจลี่: ลูกรู้ได้ยังไง ?
โธมัส: มันไม่มีปลอกคอครับ ไม่มีประกาศสุนัขหายด้วย...
โจลี่: ลูกแน่ใจหรอ ถ้าเจ้าของเขารู้ เขาสามารถเอาเรื่องเราข้อหาขโมยหมาได้เลยนะ
โธมัส: แน่ใจครับแม่
โจลี่: แม่ไม่อยากจะมีปัญหาทีหลังนะโธมัส
โธมัส: ครับผม ไม่มัปัญหาครับ
โจลี่: ไหนดูสิ ผู้หญิงหรือผู้ชายเอ่ย ?
โธมัส: ตัวผู้ครับผม
โจลี่: โอเค แล้วตั้งชื่อให้น้องรึยังละ ?
โธมัส: เอิ่ม ยังเลยครับ
โจลี่: งั้นแม่ตั้งเอง พา "บรูโน่" ไปอาบน้ำด้วยละ
โธมัส: อะไรนะครับ ??
โจลี่: แม่ชอบชื่อนี้นะ
หลังจากนั้น โจลี่ ก็ขึ้นไปบนชั้น 2 ทันที โดยเธอได้ตั้งชื่อให้กับสุนัขของโธมัสว่า "บรูโน่"
โธมัส: บรูโน่ หรอ?
บรูโน่: ฉันชักจะชอบแม่นายแล้วละ
เวลา 19:00 PM ณ ฐานทัพลับของกลุ่ม Bloody Army ซึ่งกองทัพ "ฟอจ"ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการก่อตั้งขึ้นมาแต่อย่างใด พูดง่ายๆว่า กองทัพ Booldy Army เป็นกองทัพลับที่ผิดกฎหมาย และ เป็นศัตรูกับกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ยังมีบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของ "ฟอจ" ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพนี้ หนึ่งในนั้นก็คือ "ไมเคิล โคล์" ผู้ดูแลระดับสูงของรัฐบาล ที่เป็นคนก่อตั้งการวิจัยที่ผิดศิลธรรมอย่าง MDB ขึ้นมา หลังจากที่มีการประชุมกันเกิดขึ้นเกี่ยวกับการทดลอง MDB ที่ตัวทดลอง 1 ตัวได้หลบหนีออกไปได้ ทำให้บุคคลระดับสูงในองค์กรแห่งนี้ต้องออกมาเคลื่อนไหว โดยการประชุมใหญ่ขององค์กร Bloody Army ครั้งนี้ประกอบไปด้วย "เชสเตอร์ กานเนอร์" ผู้นำสูงสุดของกองทัพ "แจ๊คกี้ กานเนอร์" รองผู้นำสูงสุดของกองทัพ และยังเป็นน้องชายแท้ๆของ "เชสเตอร์" อีกด้วย คนต่อมาก็คือ"ดักลาส ดอล์เลน" ฝ่ายเสนาธิการของกองทัพ "เซบาสเตียน คอนรอย" ผู้ดูแล และ ควบคุมกองกำลังทั้งหมดของกองทัพ และ คนสุดท้าย "ฟรานซิส แม็คคาร์ตี้" ผู้ดูแลงานวิจัย และ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ และ ทางการทหาร รวมถึงรองผู้นำของตำแหน่งต่างๆอีกมากมาย ที่มาเข้าร่วมการประชุมใหญ่ในครั้งนี้.........
โดยตลอดเวลาของการประชุม พวกเขาต่างพูดถึงสุนัขพันธุ์ เซนต์เบอร์นาร์ด ที่หายตัวไปอย่างจริงจัง และ ข้อสันนิษฐานต่างๆนาๆ เท่าที่สามารถยกมาพูดได้ รวมถึงการกระจายกำลังออกตามหาสุนัขตัวนี้อย่างต่อเนื่องทั้งกลางวัน และ กลางคืน และ เป็นการค้นหาที่ต้องเงียบเชียบที่สุด เพื่อไม่ให้เรื่องนี้ไปรู้ถึงหูใครเด็ดขาด โดยเฉพาะ "ฟอจ" เพราะมันเป็นเรื่องที่แสนลำบากหากจะทำสงครามกับ ''ฟอจ'' ในตอนนี้ และนี่คือการพูดคุยที่เกิดขึ้นในระหว่างการประชุม...........
แจ็คกี้: ขอโทษนะพี่ชาย แต่เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ?
เชสเตอร์: ความผิดพลาดของ ดอร์จ ไม่สามารถให้อภัยได้ เรื่องนั้นฉันรู้ดี
ดักลาส: นายลืมไปแล้วรึไง เชสเตอร์ กองทัพของเราไม่มีที่ยืนสำหรับคนที่ทำงานผิดพลาด ?
แจ็คกี้: เราควรลงโทษมันให้ทุกคนในองค์กร ได้เห็นเป็นตัวอย่าง ความผิดพลาดแบบนี้จะได้ไม่เกิดขึ้นกับกองทัพของเราอีก
เซบาสเตียน: ฟราสซิส คนที่ดูแล และ รับผิดชอบงานนี้ เป็นเด็กของนายใช่รึเปล่า ?
ฟราสซิส: ถ้าใช่แล้วจะทำไม ?
เซบาสเตียน: เรียกตัวมันมาที่นี่เดี๋ยวนี้
ดักลาส: เห้ย นายจะบ้ารึไง สถานที่แห่งนี้ ไม่ต้อนรับบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งต๊อกต๋อย จำไม่ได้รึไงกันวะ ?
เชสเตอร์: หุบปากกันได้แล้ว ฉันอยากได้ยินแผนการตามหาไอ้เจ้าหมาบ้านั่นกลับมา เรื่องของเราจะแดงออกไปเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับไอ้หมานั่น
แจ็คกี้: เรามีเครื่องติดตามฝังไว้ที่ตัวทดลองทุกตัวไม่ใช่รึไงกัน
เชสเตอร์: ไอ้เจ้าหมาเวรนั่นมันดันฉลาดขึ้นมา มันสามารถเอาเครื่องติดตามออกเองได้
ดักลาส: มันพูดได้รึเปล่า ?
ฟรานซิส: เราไม่ได้ฉีดเซลล์ในการสร้างกล่องเสียงแบบมนุษย์ให้กับมัน
เชสเตอร์: แต่ถ้ามันสามารถหาวิธีที่จะเปิดโปงเราได้เมื่อไหร่ พวกเราจบแน่
แจ็คกี้: ฉันสั่งคน และ สุนัขล่าเนื้อกระจายไปทางทิศเหนือ และ ทิศตะวันออกตั้งแต่วันแรกที่มันหายไปแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้เรื่องอะไรเลย
เชสเตอร์: ตอนนี้อะไรที่พอทำได้ก็รีบๆซะ ก่อนที่มันจะสาย
ดักลาส: พวกนายไปจับมันมาจากที่ไหน ?
ฟรานซิส: ดอร์จ เจอตัวมันอยู่ที่ริมแม่น้ำนอกเมือง
ดักลาส: หมา เซนต์เบอร์นาร์ด อยู่ข้างริมแม่น้ำข้างทางเนี่ยนะ มันไม่แปลกไปหน่อยรึไง
ฟรานซิส: ไม่เห็นจะสำคัญเลย ว่าคนของฉันจะเอามันมาจากที่ไหน
เชสเตอร์: เสียงมือถือใครดัง ??
ฟรานซิส: ของฉันเอง
เซบาสเตียน: นายไม่ปิดมือถือระหว่างการประชุมได้ไงวะ ?
ฟรานซิส: นายนะหุบปากไปเลย ฉันจะไม่ยอมพลาดข่าวในสถานการณ์แบบนี่แน่
หลังจากนั้น "ฟรานซิส" ก็รับสายโทรศัพท์ ซึ่งคนที่โทรหาเขาก็คือ ''ดอร์จ'' เขาได้โทรมาบอกข่าวอะไรบางอย่างกับฟรานซิส และ ข่าวนี้ก็ทำให้ฟรานซิสหน้าถอดสีเลยทีเดียว ก่อนจะตะคอกใส่โทรศัพท์ไปว่า ''มารอฉันที่หน้าห้องประชุมเดี๋ยวนี้' !!' ก่อนที่จะตัดสายไปพร้อมกับความโมโห.....
เชสเตอร์: เห้ย มันเกิดอะไรขึ้น ใครโทรหานาย ?
ฟรานซิส: ดอร์จ มันบอกว่าหมาตัวนั้น มีสิทธิ์ที่จะพูดภาษามนุษย์ได้ !!
เชสเตอร์: อะไรนะ!!
แจ็คกี้: พวกเราซวยแน่ๆ
ดักลาส: มันเกิดขึ้นได้ยังไง ไหนนายบอกว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้ไง
ฟรานซิส: เห้ย.. ดักลาส บอกคนของนายให้เตรียม รองเท้าถ่วงน้ำให้ฉัน 1 คู่ !!!
" To Be Continue "
Episode. II
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments