ตำนานนักเขียนข้ามพิภพ
โลกนิยายนั้นมีหลากหลายรูปเเบบ หลากหลายเเนว ผู้คนส่วนใหญ่มองนิยายเป็นสื่อบันเทิงที่มอบความรู้สึกต่างไป ตามเเนวที่พวกเค้าอ่านทั้ง สุข เศร้า หรือเร้าใจ เเต่สำหรับผมเเล้ว ...
นิยายเป็นมากกว่านั้น
สำนักพิมพ์เเห่งหนึ่ง ณ กรุงโซล
"ผมคิดว่านิยายของคุณน่ะยอดเยี่ยม มันสนุก ตื่นเต้น ชื่อก็น่าสนใจ " โลกหลังสลาย" เนื้อเรื่องเเละเเตกต่างจากนิยายตามท้องตลาดทั่วๆไป เเต่มันติดอยู่เเค่อย่างเดียว.....
ตอนจบนิยายของคุณ ผมว่ามันค่อนข้างที่จะฉีกเเนวทางมากไปหน่อย
คำพูดนั้นทำให้ผู้เเต่งนิยายเรื่องนั้นถึงกับสะดุ้ง เเละนั่งไม่ติดเก้าอี้
"ทำไมมันเป็นอย่างนั้นละครับ มันน่าสนใจมากเลยนะ ที่ตอนจบจะเเตกต่างออกไปจากนิยายเรื่องอื่นๆ มันไม่ซ้ำซากจำเจ!!!...."
ไม่ทันที่ชายคนนั้นจะพูดจบ คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็พูดตัดบทขึ้นมาในทันที
"ใจเย็นก่อนๆ ผมเข้าใจมันจริงอย่างที่คุณบอก"มันเเตกต่าง" เเต่มันดูจะเคี้ยวยากไปหน่อยสำหรับคนทั่วไป เเม้คุณจะบอกว่ามันน่าสนใจเเต่คนส่วนใหญ่นั้นชอบอะไรที่เข้าถึงง่ายไม่ซับซ้อน ถ้าอยากให้สำนักพิมพ์ของเราตีพิมพ์นิยายของคุณ คุณต้องเปลี่ยนตอนจบให้มันเข้าถึงง่ายกว่านี้"
"เเต่...."
"ไม่มีเเต่ครับ...ถ้าคุณไม่เปลี่ยนผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะขอให้คุณไปหาสำนักพิมพ์อื่น"
คำพูดของเค้าทำให้ผมทุกข์ใจอย่างถึงที่สุด
เเต่ก็ไม่ใช่ครั้งเเรกที่ผมได้ยินอะไรเเบบนี้เพราะก่อนที่ผมจะมาที่สำนักพิมพ์นี้
ผมถูกปฏิเสธมาเเล้ว 17 เเห่งเเละพวกเค้าก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่านิยายของผมมันเข้าถึงยากเกินไป ถ้าตีพิมพ์ออกไปก็ต้องเจ๊งเเน่ๆ เเม้ผมอยากจะไปหาสำนักพิมพ์ที่อื่นมากเเค่ไหน เเต่มันคงเป็นไปไม่ได้เเล้วเพราะที่เเห่งนี้ คือสำนักพิมพ์ที่สุดท้ายเเล้ว ผมจึงไม่มีทางเลือก....
"ได้ครับ ผมจะเเก้ตอนจบมาใหม่..ครับ"
"ดีมาก ฉันนอที่จะพิมพ์นิยายคุณภาพของคุณอยู่นะ"
***
"ผมชื่อ ยูกายุน" มันคือชื่อของคนที่เพิ่งโดนสำนักพิมพ์ไล่ไปเเก้ตอนจบมาใหม่ทั้งที่เป็นนิยายของผมเองเเท้ๆ มันน่าเศร้าเเบบสุดๆ
เมื่อไหร่คนอย่างผมจะทำอะไรสำเร็จกับเขาบางละเนี้ย
มีชีวิตมาตั้ง 28 ปีเเล้ว เเต่รู้สึกว่าไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในเเบบของตัวเองเลย อย่างกับว่าตัวผมในตอนนี้เป็นเพียงเเค่ฝันที่ไม่น่าจดจำของใครสักคน
เเต่ก็ช่างเถอะยังไงคิดไปมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปเลยซักนิด ชีวิตผมมันก็อย่างงี้เเหละไม่มีอะไรดีสักอย่างมาตั้งเเต่สมัยมัธยมเเล้ว
เพื่อนก็ไม่มีสักคน เเถมยังเป็นเหยื่อของพวกเฮงซวยที่วันๆพวกมันคงไม่มีอะไรทำมั้ง เลยมากระทืบผมเป็นกิจวัตรประจำวัน
" กายุน หน้าของเเกเนี้ยมันดูอวดดีจริงๆเย็นนี้มาให้ฉันสั่งสอนหน่อยละกัน ที่เดิมนะ"
พวกมันเป็นอะไรกับหน้าผมมากก็ไม่รู้ ทั้งที่ผมก็ไม่คิดจะมองหน้าพวกมันเลยด้วยซ้ำ
พอผมจะขัดขืนก็ทำไม่ได้ เพราะผมมันตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าเข้ามายุ่งเลยสักคน เพราะอย่างนั้นทำให้ชีวิตที่โรงเรียนมันเป็นเหมือนนรก
มีเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยทำให้ผมมีความสุขได้ คือการอ่านนิยาย เเม้จะไม่ได้มีเรื่องที่ชอบเป็นพิเศษ เเต่การได้อ่านนิยายมันช่วยให้ผมเห็นโลกใหม่ที่ดีกว่าความจริงที่เป็นอยู่เเละมันก็ทำให้ผมมีเเรงบรรดาลใจอยากที่จะเขียนนิยายเป็นของตัวเองสักเรื่องหลังเรียนจบ
เเน่นอนผมไม่ได้อยากเป็นนักเขียนอย่างจริงจัง เเต่ด้วยสถานการณ์ที่ชัดนำไป.....
ด้วยความไม่ยุติธรรมของโลกนี้ทำให้ผมไม่ติดมหาลัยที่หวัง ส่วนไอ้เวรที่เเกล้งผมมาโดยตลอดมันดันได้มหาลัยดีๆซะงั้น ผมจึงต้องเรียนมหาลัยเเถวบ้านจนเรียนจบ
เเม้เเต่ตอนไปสมัครงานก็ยังเป็นได้เเค่ลูกจ้างชั่วคราวในตำเเหน่งที่ไม่ต้องการเพราะตำเเหน่งงานที่ต้องการโดยคนที่ใช้เส้นสายเเย่งไปเเล้ว ผมก็ได้เเต่ปลอบใจตัวเอง เเละหวังว่าสิ่งนี้ที่เกิดขึ้นอยู่จะเป็นครั้งสุดท้ายเเล้วจริงๆ
"ช่างเถอะ ถึงเป็นลูกจ้างชั่วคราวก็ยังได้เงินอยู่ดี คงไม่มีอะไรเเย่ไปกว่านี้เเล้วเเหละ"
เเต่ผมคิดผิด
ผมโดนกดขี่อยู่เหมือนเดิมไม่ต่างจากสมัยมัธยม ผมโดนตัดเงินโดยไม่มีเหตุผล ทำให้ผมเเทบไม่มีจะกิน
ผมทนไม่ไหวสุดท้ายก็ต้องจำใจออกจากที่นั่น หลังจากนั้นผมก็ตระเวนหางานทำไปทั่วเพื่อหาเงินมาเลี้ยงปากท้องของตัวเอง
ระหว่างที่ผมทำอะไรเเบบนั้นผมเหมือนเสียเป้าหมายของตนเองที่ตั้งมั่นไว้ตั้งเเต่เเรก
"เขียนนิยาย" ผมไม่อยากให้ความต้องการจริงๆของผมโดนสิ่งอื่นมาบดบังจนลืมมันไป
สิ่งที่รักเเละสิ่งอยากจะเป็นก็ควรจะรักษามันไว้ให้ได้ หากเสียมันไป ก็ไม่ต่างอะไรกับตายไปเเล้วนั่นเเหละ
ผมทำใจอยู่ระยะนึงก่อนที่จะออกมาจากงานที่ทำอยู่ เพื่อจะได้ใช้เวลาทั้งหมดมาเขียนนิยาย เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะทำได้เเล้ว เเละถ้าผมไม่ทำก็คงรอดยากเเล้ว
***
เมื่อกลับมาถึงที่พักที่เป็นอพาร์ทเม้นท์เก่าๆ มีเเค่ 4 ห้องที่เช่าได้ ผมเป็นคนเดียวที่เช่าอยู่เพราะมันตั้งอยู่ใกล้กับสุสาน ซึ่งมันเป็นที่ที่ไม่ควรมีอพาร์ทเม้นท์มาตั้งอยู่เลย
เเต่ผมก็ไม่ซีเรียสอะไร
ผมเข้าไปในห้องเเละเริ่มเเก้นิยายตามความต้องการของสำนักพิมพ์ ผมใช้เวลาเเก้ไขในส่วนไคลเเม็กซ์เเละปัจจัยอื่นๆที่จะทำให้ไปถึงจุดๆนั้นได้ อยู่ 4 วันเเละก็นำไปส่งที่สำนักพิมพ์อีกครั้ง
เเละรอบนี้นิยายของผมก็ได้ตีพิมพ์สักที มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่พ่อเเม่ให้ลูกไปไหนมาไหนตามอิสระเป็นครั้งเเรก มันโล่งจริงๆ ตอนนี้ก็ต้องภาวนาเเล้วว่านิยายของผมจะทำให้ผมรอดได้ไหม
.
.
.
ไม่นานหลังจากที่นิยาย "โลกหลังสลาย" ของผมออกไปโลดเเล่นในโลกภายนอก เสียงตอบรับจากคนที่ซื้อนิยายเป็นไปในทางที่ดีเลยทีเดียว
"เรื่องนี้โคตรสนุกเลยอะ ฉากเเอ็คชั่นได้มันส์สุดๆไปเลย"
"เนื้อเรื่องกินใจอ่าาาา โคตรดีอะ"
"จะมีภาคต่ออีกไหมนะ ถ้ามีฉันก็จะซื้ออีก 10/10"
ผมใช้เวลาหลายชั่วโมงในการสไลด์อ่านรีวิวจากคนอ่าน ผมชื่นใจเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่ามันจะประสบความสำเร็จขนาดนี้ "อย่างน้อยความพยายามกว่า 2 ปี ก็ไม่เสียเปล่า" ผมปลื้ม เเละตื้นตันใจมากจนน้ำตาเเทบจะนองหน้า
เเม้กระเเสนิยาย "โลกหลังสลาย" ของผมค่อนข้างดี เเต่ทำไมกัน ภายในใจของผมมันไม่พอใจกับตอนจบเเบบนี้
เเม้มันจะทำให้นิยายขายได้ เเต่ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าถ้าเปลี่ยนเป็นฉากจบในเเบบของผมนิยายมันจะเจ๊ง ชีวิตมันก็เป็นซะอย่างงี้ เกลียดที่สุดกับการที่ความต้องการจริงๆของเราต้องมาถูกขัดโดยความต้องการของคนอื่น
ก็ได้เเต่คิดเเหละเพราะตอนนี้นิยายถูกตีพิมพ์ไปเเล้ว
ตอนนี้ผมก็ทำได้เพียงนั่งดูเงินของคนที่ซื้อนิยายเเล่นเข้าบัญชีของผม
"ฉันควรเขียนภาคต่อดีไหมนะ"
ผมมองไปยังนาฬิกาเเละพบว่าเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืนเเล้ว
"อะไรเนี้ย นี่ฉันอ่านรีวิวเพลินขนาดนี้เลยเหรอ เอาเป็นว่านอนก่อนละกันค่อยคิดว่าจะเขียนภาคต่อดีรึเปล่า"
ผมลุกไปปิดไฟ เเล้วกลับมานอนที่เตียงนุ่มๆของผมเหมือนเดิม ในขณะที่ผมกำลังจะหลับผมคิดในใจ
"ผมจะมีโอกาสได้เปลี่ยนตอนจบให้มันอย่างที่ควรจะเป็นไหมนะ" ความสำเร็จนี้ของผมมันเเลกความไม่สบายใจขนาดนี้เลยเหรอ
ทำไมกันนะ ในตอนจบทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถอยู่ได้หากขาดใครบางคนไป....หรือจริงๆเเล้วคนๆนั้นไม่เคยมีอยู่เลย
ภาพต่างๆได้ดับลง เปลือกตาของผมหนักจนไม่สามารถลืมตาขึ้นได้
ในที่สุดผมก็หลับไป
.
.
.
.
[คุณบรรลุเงื่อนไข การ "ข้ามโลก" ]
.
[เตรียมการ "ย้าย" ]
.
[ทำการ "ย้าย" ใน 3]
.
[2]
.
[1]
.
[0]
.
[ข้ามโลกสำเร็จ]
.
[ยินดีต้องรับสู่ "โลกหลังสลาย" ]
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments