ถอดกระดูกเปลี่ยนหนัง

"พ่อผู้ใหญ่ ข้ามีอะไรจะปรึกษาสักหน่อย"

หัวหน้าอาเนออสเดินตรงดิ่งเข้ามาหาผู้ใหญ่บ้านที่กำลังเจรจาปัญหากับลูกบ้านในช่วงโพล้เพล้ซึ่งเป็นกิจวัตประจำของทุกวัน

"ว่ายังไงหัวหน้าอาเนออส"

"คือว่า เมื่อวันเกิดของชามข้าพาเขาไปหาผู้พิทักษ์ในป่าลึกแล้วตอนที่ชามกำลังเค้นพลังอยู่ ข้าบังเอินเห็นกระแสไฟฟ้าไหลออกมาจากตัวเขา"

"เจ้ากำลังจะบอกว่า...ชามมีพลังธาตุสายฟ้าอย่างงั้นเหรอ?!"

"ถึงจะไม่แน่ใจแต่ว่าถ้าสามารถปล่อยออกมาได้ก็คงไม่ผิดแน่"

"ตอนที่ดีใจหรือกลัวจนสุดขีดจะสามารถทะลุกำแพงแห่งพลังได้"

"กำแพงของชามตอนนั้นก็คือช่วงเวลา เขาทำลายกำแพงเวลาสองปีที่ธรรมชาติกำหนดไว้"

"ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริง ชามจะไม่สามารถใช้พลังอะไรได้เลยนะ"

"เว้นเสียแต่ว่า เขาจะฝึกมันอย่างหนัก หนักจนแทบสิ้นลมหายใจ ถ้าไม่ผ่านการตี..ดาบจะเป็นดาบได้อย่างไร"

"แล้วทีนี้จะเอายังไง"

"ธาตุสายฟ้าเป็นการควบรวมของธาตุทั้งสาม คือน้ำ ลมและไฟ ข้าสามารถฝึกธาตุลมให้เขาได้ ส่วนธาตุน้ำให้เป็นหน้าที่ของไซเลน แต่ปัญหาตอนนี้อยู่ที่ธาตุไฟ"

"จะให้ดีก็ต้องเป็นธาตุไฟเผ่ามังกร"

"แค่ผู้ที่ใช้ธาตุไฟธรรมดายังหายากเลย จะไปหวังกับธาตุไฟที่แข็งแกร่งแบบนั้นคงไม่มีหวัง"

"แต่ว่านะ ข้าได้ยินผ่านการสั่นสะเทือนของพื้นดิน เจ้านครกอลลิน่ากับตัวแทนฑูตบริทาเนียคุยกันเรื่องตามหาผู้ใช้พลังธาตุไฟเผ่ามังกร"

"แล้วถ้าเจอ เจ้าจะมั่นใจได้ยังไงว่าคนผู้นั้นจะตกลงยอมช่วยเจ้า"

"งั้นพวกเราก็ต้องลองหากันเอง"

"ยังไง?"

"ข้าจะไปขอให้ท่านหัวหน้าตระกูลช่วย"

“ท่านลุงข้าน่ะเหรอ?”

“ใช่แล้ว มีเจ้าไปขอร้องด้วยอีกแรง เขาต้องยอมช่วยแน่”

“สิ่งเดียวที่เขาสนใจมีแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง สาวสวยและแร่หายาก อีกอย่างยิ่งข้าไปคุยยิ่งมีแต่จะล่ม เพราะสิ่งที่ลุงข้ากลัวที่สุดคือกลัวข้าไปแย่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของเขา”

“ก็จริงอ่ะนะ จริงๆที่ตรงนั้นมันก็ควรเป็นของเจ้าได้ตั้งนานแล้ว”

“ตอนนั้นพ่อกับแม่ข้าตายด้วยอาการป่วยปริศนา ข้ายังเล็กเขาจึงเขียนจดหมายถึงราชินี ขอแต่งตั้งตัวเองขึ้นตำแหน่งหัวหน้าตระกูลชั่วคราวจนกว่าข้าจะมีคุณสมบัติ”

“แล้วพอเจ้าอายุใกล้ที่จะขึ้นตำแหน่งนี้ได้ เขาก็ส่งจดหมายเสนอรายชื่อเจ้าเข้าวัง ข้าลืมตรงนี้ไปได้ยังไงกันนะ”

“ช่างเถอะเรื่องมันก็นานมาแล้ว ต้องขอบคุณเจ้าที่ทำให้ข้าได้ออกมาจากนรกขุมนั้น”

“ข้าพอจะคิดออกอีกวิธีนึง”

“ยังไง?”

“หนังสือพิมพ์ใต้ดินเมืองรัททา”

“ใช่แล้ว ความลับจะเปิดออกได้ด้วยเงิน”

“แต่ลำพังเดินทางด้วยรถม้าต้องใช้เวลาถึงสามวันสองคืน ตอนนี้ข้ายังทิ้งงานที่หมู่บ้านไปไม่ได้ด้วยสิ”

“ข้าเอง ช้าไปเอง เจ้าแค่บอกทางข้ามา”

“ทางไปหาไม่ยาก เจ้าออกจากหมู่บ้านมุ่งหน้าทิศตะวันตกเฉียงใต้ถ้าเจอชาวบ้านก็ถามเอาว่าเจ้าถึงเมืองรัททารึยังเพราะที่นั่นไม่มีป้ายชื่อเมือง ถ้าถึงแล้วเจ้าถามทางไปท้ายตลาดมองหาป้ายบอกทางไปร้านขายหนังสือพิมพ์ เจ้าของร้านเป็นชายแก่ บอกเขาว่าเอาหนังสือพิมพ์สีดำหนึ่งฉบับ เดี๋ยวเจ้าของร้านจะพาเจ้าลงไปชั้นใต้ดิน ในนั้นมีหลายร้านเจ้าต้องเลือกร้านที่เขียนว่าคนหาย บอกข้อมูลของเจ้าให้กระชับอย่าพูดเยอะแต่ให้ฟังเยอะแทน เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วให้เจ้าแกล้งร้องไห้ทำเป็นซาบซึ้งดีใจแล้วค่อยจ่ายเงินและรีบออกจากร้านทันทีอย่าสบตาหรือพูดคุยกับใครต่อ”

“ทำไมมันเรื่องเยอะขนาดนี้ เจ้าหลอกข้ารึป่าว”

“ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า อยากลองดีต่างเมืองข้าก็ไม่ขัดเจ้าหรอกนะ”

พูดจบผู้ใหญ่บ้านก็เดินกลับไปถกปัญหากับชาวบ้านต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้คนฟังยืนหงุดหงิดหัวเสียอยู่คนเดียว แต่เขาก็จำใจยอมไปอย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาไม่อยากให้เด็กน้อยคนนึงต้องมาหมดอนาคตโดยที่ยังไม่ได้เลือกอะไรเลย

เช้าวันต่อมา

“เจ้าหนูชาม”

"ว่าไงฮะ"

"ชักจะเป็นกันเองมากเกินไปแล้วนะ ตั้งแต่วันนี้ไปข้าจะมาถ่ายทอดวิชาให้เจ้า...อย่างละเอียดหมดทุกวิชาที่ข้ารู้เลยก็ว่าได้ เตรียมตัวเรียกข้าว่าอาจารย์ได้เลยไอ้หนู"

"มาแบบเดียวกับลุงอาเนออสอีกแล้ว ว่าแต่จะสอนวิชาอะไรกัน วันๆข้าเห็นน้าไซเลนเอาแต่เล่นน้ำ"

"ก็พลังของข้าคือน้ำนี่นา ไม่เสกน้ำออกมาจะให้ทำอะไรล่ะ"

"พลังของข้าคืออะไรกว่าจะรู้ก็อีกสองปีโน่น ถึงตอนนั้นถ้าพลังของข้าออกมาเป็นน้ำค่อยมาสอนละกัน"

"แต่เจ้าไม่เหมือนคนอื่น เชื่อข้า"

"เชื่อก็บ้าแล้ว"

"เจ้าอยากเก่งกว่าเด็กคนอื่นมั้ยล่ะ ไม่อยากโดนล้อว่าเด็กบ้านนอกไม่มีความสามารถเจ้าก็ต้องฝึกฝนให้มากกว่าคนอื่นเป็นสิบเท่าตัว"

เด็กชายนิ่งเงียยไปพรางหันมองสองสัตว์ประจำตัวอย่างครุ่นคิด 'พวกเขาเลือกข้าแล้ว ข้าต้องไม่ทำให้พวกเขาเลือกผิด

"ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจที่ข้าพูด"

"ข้าตกลง มาเริ่มการฝึกเลย"

"ได้เลย ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการปลุกพลังธาตุในตัว ไปแช่น้ำ!"

"แช่ยังไงอ่ะ แช่มือ แช่เท้าหรือต้องแช่ทั้งตัว?"

"แช่ทั้งตัว!"

"แช่ที่ไหนล่ะ แถวนี้มีแต่บ่อน้ำตื้นๆ ถังเล็กๆ"

ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่นานสองนานถึงคุณสมบัติของน้ำที่ต้องไหลผ่านตั้งแต่หัวไปถึงเท้านอกจากน้ำตกก็ไม่มีอีกแล้ว

"สระน้ำกลางหมู่บ้านก็มีปลา ก็ไม่ได้อีก ปลาจะทำลายสมาธิ"

"บ่อบัวบ้านแม่ใหญ่"

"เจ้าบ้าไปแล้วรึไง กล้าไปยุ่งกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแม่หมอ"

"นั่นแม่บุญธรรมของข้า บ่อนั่นข้าก็ไปเล่นอยู่บ่อยๆ แช่แล้วสบายตัวดี"

"ไม่จริงใช่มั้ย"

"ไปเถอะข้าบอกแม่ใหญ่เอง"

เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงบ่อน้ำที่เป็นจุดหมายปลายทาง ไซเลนก็สั่งให้ชามลงไปนั่งแช่ในบ่อก่อนจะนำขันกะลาที่แม่หมอเอาไว้ใช้ตักน้ำในบ่อตักน้ำราดลงไปบนหัวของชามอย่างไม่ขาดสาย

"หลับตาแล้วใช้ใจสัมผัสให้ได้ถึงน้ำทุกหยดที่กำลังไหลผ่านร่างกายและค้นหาน้ำที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของนาย ทิ้งความรู้สึกไปให้หมดไม่ว่าจะรู้สึกร้อนหรือเย็น เปียกหรือแห้ง เมื่อย เหนื่อยหรือหิว อย่าให้ความรู้สึกมารบกวนสมาธิ"

ชายหนุ่มยังคงตักน้ำราดลงไปบนหัวเด็กชายอย่างไม่ลดละ เวลาผ่านไปจนชายหนุ่มเปลี่ยนแขนข้างที่ตักน้ำได้นับครั้งไม่ถ้วน แสงแดดหุบลงบอกเวลาใกล้โพล้เพล้เต็มที ตอนนี้ชายหนุ่มเริ่มจะเป็นกังวลกับเด็กชายตรงหน้าขึ้นมา ด้วยอายุเขาก็ยังน้อย ร่างกายไม่น่าทนได้ขนาดนี้ ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เด็กชายก็ได้พรวดพราดยืนขึ้นโดยที่ชายหนุ่มไม่ทันตั้งตัว เขาตกใจล้มหงายท้องไปนอนกองกับพื้นก่อนจะรีบลุกขึ้นปัดฝุ่นที่ติดตามแขนขาออกและตั้งสติมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง

"ข้าหาเจอแล้ว!"

เด็กชายร้องตะโกนเสียงดังพรางปาดน้ำที่ไหลเปียกบดบังใบหน้าออกให้ได้มองเห็นชัดขึ้น

"เจ้าแน่ใจนะว่าเจอแล้ว?"

ชายหนุ่มถามย้ำด้วยความไม่แน่ใจเพราะขนาดตัวเขาเองกว่าจะค้นเจอน้ำที่เป็นพลังไหลเวียนในร่างกายก็เกือบครึ่งเดือน

"ใช่แล้ว ข้าเจอแล้ว"

"ถ้างั้น ลองปลอยมันออกมาให้ข้าดูหน่อย นึกถาพน้ำที่เจ้าเห็นแล้วควบคุมให้มันมารวมอยู่ที่มือโดยไม่ต้องหลับตา"

เด็กน้อยพยายามทำตามที่ผู้สอนบอกอยู่พักใหญ่

"มันไม่ออกมา"

"ถูกแล้ว เจ้าต้องฝึกฝน ขนาดข้าที่เป็นธาตุน้ำแท้ๆยังใช้เวลาตั้งนานกว่าจะควบคุมพลังได้ ยิ่งเจ้าที่มีพลังธาตุน้ำอยู่น้อยนิดยิ่งต้องฝึกให้หนัก การฝึกนี้เจ้าต้องผ่านมันไปด้วยตัวเอง"

"ทำไมข้าต้องฝึกธาตุที่มีน้อยด้วยล่ะ ไหนๆก็ไม่ได้ใช้แล้ว ทำไมไม่ให้ข้าฝึกธาตุหลักที่ข้าต้องใช้จริงๆล่ะ"

"ตามตำราเรื่องการใช้ธาตุบอกไว้ว่ายังไง"

"ผู้ใช้พลังธาตุแต่ละคนจะมีเพียงธาตุเดียวที่โดดเด่น ส่วนคนที่มีมากกว่าหนึ่งธาตุถือว่าเป็นคนพิการเพราะจะไม่สามารถใช้ธาตุอะไรได้เลย ...หรือท่านกำลังจะบอกข้าว่า..."

"ใช่แล้ว เจ้าไม่ได้มีเพียงธาตุเดียว แต่สิ่งที่ตำราว่าไว้ก็ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด คนทุกคนมีหลายธาตุในตัวเองแต่อยู่ที่ว่าธาตุไหนโดดเด่นจนเจ้าตัวสามารถค้นพบและฝึกฝนมันให้สามารถใช้ได้ เปรียบเหมือนน้ำในบ่อ มีน้ำอยู่แค่ก้นบ่อแล้วเราตักมาใช้ไม่ได้แต่นั่นก็ถือว่ามีน้ำอยู่ และถ้าเราตักน้ำมาเติมในบ่อทุกๆวัน วันนึงเราก็จะสามารถใช้น้ำในบ่อนั้นได้ ความจริงข้อนี้อยู่ในตำราที่ไม่เคยมีใครได้อ่านเพราะมันสูญหายไปตั้งแต่ก่อนที่จะมีโรงเรียนเกิดขึ้น"

"เจ้ารู้ความจริงข้อนี้ได้ยังไง แล้วรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นความจริง"

"ตำราลึกลับเล่มนี้ ผู้เขียนก็คือแอสทรัมที่หนึ่ง คนที่เลี้ยงดูลูกเทพคนก่อนหน้าเจ้ายังไงล่ะ"

"ลุงอาเนออสบอกว่าข้าไม่ใช่ลูกเทพ ข้ามีพ่อแม่"

"นั่นเป็นสิ่งที่เขาอยากให้เจ้าบอกกับทุกคน"

"ลุงบอกข้าหมดแล้วว่าเจอข้าได้ยังไง"

"โอ้ไม่ ทำไมหัวหน้าถึงได้เล่าเรื่องโหดร้ายแบบนั้นให้เด็กฟังได้ล่ะ"

"ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ"

"เวลาเจอปัญหาแล้วไม่สามารถแก้มันได้ด้วยตัวเองจนต้องให้คนอื่นช่วย...นี่แหละเด็ก" 

"นั่นคือเพราะข้ายังรู้จักโลกไม่มากพอ ไม่ใช่เพราะข้ายังเด็ก"

"เจ้าโตขึ้นก็จะรู้เอง วันนี้กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ"

พูดจบไซเลนก็เดินจากไปทิ้งให้ชามหงุดหงิดงุนงงกับคำพูดของเขาอยู่นานสองนานก่อนเด็กน้อยจะขึ้นจากบ่อน้ำและตรงดิ่งไปที่กระท่อมของแม่ใหญ่หรือแม่หมอที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ่อน้ำมากนัก

"แม่ใหญ่! ข้ามีเรื่องอยากให้ท่านช่วย"

เด็กน้อยทั้งเรียกทั้งเคาะประตูอยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของบ้าน แต่พอเขาตัดใจและกำลังหมุนตัวออกเพื่อจะกลับบ้านนั้นแม่หมอก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า

"มีอะไรเด็กน้อย"

"ข้าไม่เด็กแล้วนะ!"

"เจ้าจะเทียบอายุการอยู่บนโลกนี้กับข้าเหรอ?"

"ก็ได้ ข้ายังเด็กนักถ้าเทียบกับท่านแล้ว"

"เจ้าจะให้ข้าช่วยเรื่องอะไร?"

"ไซเลนบอกว่าข้ามีมากกว่าหนึ่งธาตุ"

"แน่นอนทุกคนย่อมมีมากกว่าหนึ่งธาตุในตัว ให้ข้ายกตัวอย่างให้ฟังต่อจากที่ไซเลนอธิบายไว้นะ ตรงนี้มีบ่อน้ำอยู่สามบ่อ"

ทันใดนั้นบ่อน้ำสามบ่อที่มีถังน้ำกับเชือกห้อยอยู่ก็โผล่ขึ้นตรงหน้า

"ในแต่ละบ่อมีน้ำอยู่ไม่เท่ากัน น้ำบ่อแรกมีอยู่เต็มบ่อ บ่อที่สองมีอยู่ก้นบ่อ บ่อที่สามมีอยู่ครึ่งบ่อ เลือกตักบ่อไหนสบายที่สุด?"

"บ่อแรก"

"ใช่แล้ว ร่างกายจะเลือกธาตุที่มีอยู่เยอะและสามารถดึงออกมาใช้ได้เอง"

คราวนี้ระดับน้ำในบ่อเปลี่ยนไป กลายเป็นเท่ากันทุกบ่อ 

"ทีนี้เจ้าจะเลือกตักน้ำบ่อไหนโดยให้ตักได้เพียงแค่ครั้งเดียวและน้ำต้องได้เต็มถัง?"

เด็กน้อยเงียบไปและลองตักน้ำแต่ละบ่อขึ้นมาดู มันได้เพียงบ่อละนิดละหน่อย เขาพยายามหาวิธีการต่างๆนาๆ จนสุดท้ายเขาลองดึงเชือกตักน้ำขึ้นมาพร้อมกันทั้งสามบ่อ และแล้วน้ำทั้งหมดมารวมกันก็ได้เต็มถังพอดี

"วิธีการของเจ้าถูกต้องแล้ว ร่างกายของคนทั่วไปจะคิดไม่ได้ มันจะเลือกไม่ตักน้ำถ้าน้ำในบ่อมันตักยาก และที่เจ้าตักน้ำขึ้นมาได้นั่นแปลว่าเจ้าต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนทั่วไป ทีนี้เจ้าเข้าใจพลังของตัวเองรึยัง"

"ข้าเข้าใจแล้ว"

"บางคนมีพลังธาตุลึกลับที่ไม่มีอยู่ในตำราเรียน จะทำให้พลังธาตุพื้นฐานในร่างกายมีไม่เท่ากัน อย่างคนที่มีพลังธาตุน้ำแข็งจะมีธาตุคู่ระหว่างลมกับน้ำมากกว่าธาตุอื่นและต้องฝึกใช่ธาตุคู่ของตัวเองให้ชำนาญถึงจะใช้พลังธาตุที่แท้จริงได้"

"หมายความว่าทุกสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติสามารถเกิดเป็นพลังธาตุได้ทั้งหมดเลยเหรอ"

"ใช่ และข้าก็รู้ว่าเจ้ามีพลังธาตุอะไร"

"รู้ได้ยังไง ข้าเองยังไม่รู้เลย"

"ลืมไปแล้วเหรอว่าข้าเป็นใคร"

"ใช่เลย ข้าลืม เรียกท่านว่าแม่ใหญ่จนลืมไปสนิทเลย"

"กล้ามากนะเจ้าเด็กน้อยนี่"

"ข้าขอถามอะไรท่านหน่อยสิ ไหนๆท่านก็รู้ทุกเรื่องแล้ว"

"เจ้าอยากรู้อะไร"

"หัวหน้าอาเนออสบอกว่าข้ามีพ่อแม่ แต่ทุกคนบอกว่าข้าเป็นลูกเทพ ตกลงแล้ว...ข้าเป็นอะไร"

"อย่างนี้เจ้าก็รู้น่ะสิว่าเจ้าไม่ใช่ลูกแท้ๆของผู้ใหญ่บ้านน่ะ"

"ใช่ หัวหน้าอาเนออสบอกข้าหมดแล้ว"

"เป็นคนไม่ได้เรื่องเลยจริงๆนะเจ้านั่น"

"เขาบอกว่าข้ามีสิทธิ์รู้ความจริง"

"แต่ก็ไม่ใช่เจ้าที่อายุเพียงแค่นี้รึป่าวล่ะ ...เจ้าควรได้ใช้ชีวิตที่ดี"

"ท่านบอกข้ามาเถอะ"

"ถ้าเจ้ารู้ว่าตัวเองถูกผ่าออกมาจากท้องแม่ที่ตายแล้วแต่ไม่สติแตก เรื่องที่เจ้าขอแค่นี้ย่อมได้อยู่แล้ว"

เด็กน้อยนั่งลงข้างๆบ่อบัวอย่างตั้งใจฟังคำตอบที่จะได้

"เจ้าไม่ใช่ลูกเทพอย่างที่ใครๆเรียกหรอก แต่ที่เจ้ารอดมาได้เพราะวันนั้นข้าเอาพลังของเทพตนนึงใส่ให้เจ้า เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลหรือคิดเรื่องภารกิจอะไรให้วุ่นวายใจ ใช้ชีวิตของเจ้าให้สนุก ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เท่าที่กำลังของเจ้าจะทำได้ เข้าใจมั้ยชาม?"

หญิงในชุดคลุมสีดำพูดเตือนสติเด็กน้อยที่ตอนนี้เหมือนกำลังเหม่อลอยคิดอะไรอยู่ในใจ

"ขะ...เข้าใจแล้ว"

"คิดอะไรอยู่"

"แค่คิดว่าเทพนี่มีอยู่จริงเหรอ แล้วถ้ามีอยู่จริง จะอยู่ที่ไหน แล้วทำไมพวกเราถึงไม่เคยเห็น เทพใช้ชีวิตอยู่ยังไง กินอะไร ต้องนอนรึป่าวแล้วการที่ท่านเอาพลังของเทพมาให้ข้า แล้วเทพตนนั้นจะยังใช้พลังได้อยู่รึป่าว หรือแบ่งมา แล้วแบ่งมายังไงเหมือนแบ่งแอปเปิ้ลมั้ย แล้วพลังของข้าจะใช่พลังของข้ารึป่าวจะใช้ได้สมบูรณ์มั้ย ต้องเอาคืนรึป่าว แล้วข้ามีพลังของเทพข้าถือว่าเป็นเทพมั้ย..."

"พอแล้ว พอ! นี่เจ้าเป็นเครื่องจักรคิดคำถามรึยังไง ถ้าสงสัยมากขนาดนั้นเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปดูให้หายสงสัยเอง ตามข้ามา"

"ไปตอนนี้น่ะเหรอแม่ใหญ่ แต่ฟ้ามันมืดแล้วนะ"

"มากับข้ายังต้องกลัวอะไร"

เด็กน้อยยอมเดินตามไปอย่างเชื่อฟัง แม่หมอเปิดประตูเดินตรงเข้าไปข้างในกระท่อมและหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่งที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ตรงกลางกระท่อมโดยกระท่อมหลังนี้ได้สร้างคร่อมต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ ขนาดของต้นไม้ต้นนี้ประมาณได้สิบคนโอบหรืออาจจะมากกว่า 

"ข้าเพิ่งเคยเข้ามาครั้งแรกเลยนะเนี่ย"

"เจ้าเคยเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งที่เจ้าเกิดไงล่ะ"

พูดจบแม่หมอก็เปิดประตูออกก่อนจะบอกให้เด็กน้อยเข้าไป เขาชะเง้อมองเข้าไปพบเพียงความมืดมิดทำให้เขาเกิดความลังเลข้างในใจ

"เข้าไปสิ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ข้าอยู่ด้วยทั้งคนนะ"

สิ้นเสียงแม่หมอเด็กน้อยก็รวบรวมความกล้าที่มีก้าวขาเข้าประตูไปโดยไม่ลืมที่จะปิดตาทั้งสองข้างอย่างสนิท มือไม้เกร็งเหงื่อหยดไหลย้อยลงขาจนแม่หมอที่มองดูอยู่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อนางเดินตามเด็กน้อยเข้ามาและประตูได้ปิดลง ตรงหน้าก็เปลี่ยนจากความมืดมิดค่อยๆสว่างขึ้นจนปรากฏภาพแม่น้ำกลางป่ารกร่างที่เป็นเขตกั้นระหว่างป่าธรรมดากับป่าอันตราย

"แม่น้ำนี้ชาวบ้านเรียกกันว่า 'เดธไลน์' เจ้ารู้ความหมายของมันมั้ย?"

"ทำไมจะไม่รู้ล่ะ มันเป็นแม่น้ำที่ไม่มีใครข้ามไปแล้วรอดกลับมาสักราย"

"แล้วเจ้ารู้สาเหตุที่คนเหล่านั้นไม่ได้กลับมามั้ย?"

"ไม่รู้สิ บ้างก็ว่ามีมังกรไฮดราแอบอยู่ใต้น้ำคอยล่มเรือคนที่พยายามจะข้ามไป บ้างก็ว่าในป่าฝั่งโน้นมีอสูรที่ใช้เวทย์มนต์ได้"

"ไม่ผิด"

"ห๊ะ?! อะไรนะ"

"ที่เจ้าว่ามาถูกหมดเลย และเรากำลังจะข้ามแม่น้ำนั่นกัน"

"บ้าไปแล้วเหรอ จะพาข้าไปตายรึไง"

"ใครหน้าไหนคิดว่าฆ่าข้าได้ก็มาเถอะ"

จู่ๆต้นไม้ยักษ์ก็โผล่ขึ้นที่ริมแม่น้ำก่อนจะค่อยๆทอดลำต้นยาวออกไปถึงอีกฝั่งจนนิ่งสนิทกลายเป็นสะพานธรรมชาติอย่างสมบูรณ์

"ราวสะพานที่เป็นกิ่งไม้จะกันไฮดราได้งั้นเหรอ?!"

"ทำไมต้องกันด้วยล่ะ"

"ก็แม่ใหญ่บอกว่าในน้ำมีไฮดรานี่"

"ทำไมหมาถึงจะกัดเจ้า?"

"เพราะเราเข้าไปในอาณาเขตของมัน"

"ใช่แล้ว ไฮดราอยู่ในน้ำเราอยู่บนบก ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกัน หรือเจ้าอยากเห็นไฮดรา"

"ก็อยากเห็นแต่ข้าก็กลัว"

"ทิ้งความกลัวของเจ้าไปซะ ข้างหน้ามีอะไรให้ตื่นเต้นอีกเยอะ ถ้ามัวแต่กลัวเจ้าจะเสียโอกาสครั้งนี้ไปอย่างน่าเสียดาย...ตกลงอยากเห็นมันมั้ย?"

เด็กน้อยสูดหายใจเข้าก่อนจะปล่อยออกมาเฮือกใหญ่เป็นการปลอบใจตัวเองและบอกกับตัวเองให้ตั้งสติ เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ใช่ใครจะมีได้ เมื่อเขารวบรวมความกล้าเรียบร้อยแล้วก็เปล่งเสียงร้องออกมา

"ข้าอยากเห็น!"

แม่หมอเผยยิ้มมุมปากออกมาก่อนจะหักกิ่งไม้และโยนลงแม่น้ำไป ไม่นานมังกรไฮดราที่เคยอยู่แค่ในนิทานก่อนนอนก็โผล่ขึ้นจากน้ำมา ทำเอาเด็กน้อยถึงกับตัวสั่นสะท้านจนควบคุมไม่อยู่เข่าทรุดลงกองกับพื้นสะพานในทันใด แม้อยากจะกรีดร้องออกมาเพียงใดก็ทำไม่ได้เพราะแค่เสียงกระแอมเบาๆยังไร้เรี่ยวแรงเพียงแค่เห็นรูปร่างของมันที่ตัวสูงใหญ่ราวกับภูเขาลำตัวเป็นเกล็ดเงาหางยาวเหมือนมังกร อีกทั้งส่วนหัวที่ยั้วเยียะนับไม่ถ้วน เงาของมันบดบังเงาจันทร์ที่สะท้อนท้องน้ำไปหมดสิ้น เมื่อไม่เห็นถึงภัยคุกคามไฮดราก็กลับลงน้ำหายไปในทันที ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเหมือนเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา แต่ถึงอย่างนั้นเด็กน้อยก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลซึ่งรับรองได้ว่านั่นคือของจริงแท้อย่างแน่นอน 

เมื่อสถานการณ์ปกติ เด็กน้อยคลายกังวลเหมือนยกภูเขาออกจากอก หายใจโล่งทั่วท้อง เขาก็ล่มตัวลงแผ่หล่ากลางสะพานอย่างช่วยไม่ได้

"รู้สึกยังไงบ้าง"

"เรารีบลงจากสะพานกันก่อนดีกว่ามั้ย รู้สึกไม่ค่อยอยากอยู่ตรงนี้นาน"

"ถ้าเจ้าลงสะพานไปแล้ว เจ้าจะอยากกลับขึ้นมา"

"ทำไมล่ะ"

"เจ้าตอบคำถามข้ามาก่อนสิ"

"ความรู้สึกเมื่อกี้...ไม่กล้าหายใจ เหมือนจะตายได้ทุกเมื่อเลย โดนแรงกดดันบีบจนตัวจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว ในใจก็รู้ทั้งรู้ว่ายังไงก็ไม่ตายแน่แต่ความรู้สึกมันก็ยังกลัวตายอยู่ดี ถ้าตัดความรู้สึกกลัวออกมันเป็นอะไรที่สุดยอดมากไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ข้ารู้แล้ว!”

“เจ้ารู้อะไรเหรอเด็กน้อย”

“ข้าเคยพูดกับลุงอาเนออสว่าข้ารู้สึกเหมือนขาดอะไรไป ข้าไม่มีความสุข”

“ข้ารู้ แล้วเจ้าว่าเจ้าขาดอะไรไปล่ะ”

เด็กน้อยวิ่งลงสะพานไปอย่างรวดเร็วพรางหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง เมื่อเท้าแตะพื้นก็หันกลับมาพูดอีกครั้ง

“สิ่งที่ทำให้ใจเต้น อ้าก!!!!!!”

ทันใดนั้นก็มีรากไม้มากมายโผล่ขึ้นมารัดพันธนาการเขาก่อนจะลอยขึ้นไปอยู่กลางอากาศแต่แม่หมอกลับเอาแต่ยืนดูพร้อมกับหัวเราะชอบใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

“แม่ใหญ่ ทำไมท่านไม่ช่วยข้า”

“เถาวัลย์เวทย์ไม่อันตราย เพียงแต่ไม่มีของมีคมใดตัดมันขาดได้ เวทย์ไฟก็ไร้ผล”

พูดจบหญิงในชุดคลุมสีดำก็ยืนหัวเราะต่อ ทำให้เด็กน้อยที่ได้ยินดังนั้นถึงกับใจเสียดิ้นเอาตัวรอดอย่างบ้าคลั่งแต่ดูเหมือนเถาวัลย์จะยิ่งรัดแน่นและขยายปกคลุมไปจนเกือบทั่วทั้งร่าง

“เจ้าลืมเรื่องสัญชาตญาณนักล่าที่ข้าสอนไปแล้วเหรอ”

“ข้าตั้งสติไม่ได้แล้ว มันรัดแน่นเหลือเกิน”

“นักล่ามันจะหยุดก็ต่อเมื่อเหยื่อตายแล้ว เจ้าต้องหยุดดิ้น”

เด็กน้อยนิ่งลงแต่ไม่ใช่เพราะทำตามที่แม่หมอบอก เขาโดนรัดจนหายใจไม่ออกและไม่เหลือเรี้ยวแรงที่จะดิ้นอีกต่อไป ไม่นานเถาวัลย์ก็ค่อยๆผ่อนคลายออกทีละนิดอย่างช้าๆ จนในที่สุดเขาก็หลุดออกมาได้พร้อมกับร้อยแดงช้ำทั่วตัว

“ไงล่ะ ข้าบอกแล้วว่าเจ้าจะอยากกลับไปอยู่บนสะพาน”

“นึกว่าจะตายแล้วซะอีก”

“เถาวัลย์เวทย์เดิมก็เป็นไม้เถาว์ปกติธรรมดาแต่ด้วยมันเกิดอยู่ใกล้แม่น้ำนี้และอยู่ในเขตป่าชั้นนอกของหุบเขาเทพ พร้อมกับได้รับพลังจากมนุษย์ที่ตายแล้วถูกฝังเป็นปุ๋ยมากมายเป็นพันๆปี จึงได้กลายเป็นเถาวัลย์เวทย์อย่างที่เจ้าเห็นเมื่อกี้”

“ข้าเชื่อว่ามันไม่ได้มีแค่ต้นเดียว ข้าสัมผัสได้”

“ใช่แล้ว มันมีอยู่มากมายเพราะเมื่อกิ่งแก่ของมันที่หลงเหลือพลังเวทย์ล่วงหลน อาจโดนลมพัดปลิวไปที่ไหนสักแห่งและถ้าที่ตรงนั้นมีดินมันก็สามารถเติบโตขึ้นมาเป็นเถาวัลย์เวทย์อีกได้”

“แล้วแบบนี้จะทำยังไง เหยียบโดนก็ต้องห้ามดิ้นให้มันปล่อยเองแบบนี้เหรอ จะทำยังไงไม่ให้เหยียบโดนมันล่ะ”

“ตั้งคำถามได้ดี เถาวัลย์เวทย์จะพรางตัวเองด้วยใบไม้ ถ้าเกิดตรงไหนที่เจ้าเห็นว่ามีกองใบไม้หนาแน่นมากจนมองไม่เห็นพื้นดินก็จงเลี่ยงตรงนั้นซะ หรือบางทีอาจมองเห็นเป็นกองรากไม้ทับถมกันอยู่บนพื้น ถ้าไม่แน่ใจว่ารากไม้จริงหรือไม่ให้ลองหาอะไรเขื่ยดู ถ้าเป็นเถาวัลย์มันจะเลื้อยหลบหายไป”

“ซับซ้อนจริงๆแต่ก็น่าสนุก”

“มันจะไม่สนุกเลยเมื่อเจ้าเจอเถาวัลย์เวทย์ที่มีหนาม”

“มีด้วยเหรอ?”

“เดิมมันก็ไม่มีหรอก เพราะเถาว์หนามมันมีแต่เถาว์กุหลาบที่มีเทพดูแลรักษาอยู่ไม่สามารถดูดกลืนพลังและกลายเป็นตันไม้เวทย์ได้ แต่เมื่อไม่นานมานี้มีกลุ่มคนจากประเทศบริทาเนียที่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ กลุ่มคนพวกนั้นเรียกตัวเองว่า ‘ไนท์ไลท์’ ”

เด็กน้อยสัมผัสได้ถึงรังสีความอาฆาตที่แผ่ออกมาจากตัวของหญิงที่สวมชุดคลุม นางเล่ารายละเอียดต่างๆพร้อมกับพาเด็กชายเดินเข้าป่าลึกไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่น่าแปลกคือป่านี้ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นช่วงเวลาใด กลางวันหรือกลางคืน มันมีหมอกจางๆลอยปกคลุมอยู่เป็นหย่อมๆ เด็กน้อยสังเกตุเห็นว่านางพาเขาเดินหลบหมอกทุกจุดซ้ำยังเดินโดยไม่มองพื้นที่ก่อนหน้านี้เคยเตือนว่าอันตรายเหมือนนางกำลังใช้เส้นทางที่คุ้นเคยประหนึ่งทางกลับบ้าน

“แม่ใหญ่ ในหมอกนั่นมีอะไรเหรอ ทำไมเราต้องหลบด้วย”

“ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องถาม สัตว์ในป่าชั้นในบางตัวจำศีลจนมีอายุเป็นร้อยปีพันปีซึมซับพลังจากหุบเขาเทพแทนการกินอาหารจนสามารถใช้เวทย์มนต์ได้เหมือนสัตว์ประจำตัวของเจ้า แต่บางตัวก็ใช้ทางลัดสร้างหมอกลวงตาขึ้นมาถ้าสัตว์หรือมนุษย์หลงเข้าไปก็จะถูกหลอกหลอนด้วยภาพลวงตาจนตายและถูกจับกินเป็นอาหาร อีกอย่างมนุษย์ธรรมดาจะมองไม่เห็นกลุ่มหมอกพวกนี้”

“อ้าว แล้วทำไมข้ามองเห็น”

“เจ้าลืมไปแล้วเหรอ ว่าเจ้ามีพลังของเทพ”

“แล้วพลังของเทพนี่ข้าใช้ทำอะไรได้บ้าง”

“หลายสิ่งหลายอย่างนัก ข้าบอกเจ้าไม่หมดหรอก เจ้าต้องไปเรียนรู้เอง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าบอกเจ้าได้ก็คือกลิ่นเลือดของเจ้าจะหอมมากขึ้นตามอายุ ระวังอย่าให้เลือดออกรักษามันไว้ดั่งทอง เมื่อไรที่เลือดของเจ้าส่งกลิ่นออกมามันจะดึงดูดทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีแต่เชื่อข้าเถอะบนโลกนี้สิ่งที่ไม่ดีมันมีเยอะกว่าสิ่งที่ดีแน่นอน เอ้อจริงสิ เราแวะระหว่างทางสักหน่อยดีกว่า ข้านึกขึ้นได้ว่าเพิ่งผ่านวันเกิดครบสิบปีของเจ้ามาข้ายังไม่ได้ให้ของขวัญเจ้าเลย”

“ความรู้ที่แม่ใหญ่คอยสั่งสอนก็ถือว่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุดของข้าแล้ว”

“ข้าอยากให้ ตามข้ามาเร็ว”

เด็กน้อยเดินตามแม่หมอไปติดๆตามคำสั่ง ไม่นานก็พบกับโรงเพาะชำร้างเก่าเกรอะที่ดูยังไงก็ไม่น่ามาอยู่ที่ใจกลางป่านี้ได้ เมื่อเดินตามเข้าไปถึงข้างในกลับไม่มีกระถางต้นไม้หรือแปลงผักเลยสักแปลงแต่กลับมีบ่อน้ำที่กำลังส่องแสงประกายสีเงินและสีทองอยู่สองบ่อ จู่ๆบ่อน้ำที่สามก็ผุดขึ้นมาตรงหน้าของแม่หมอ

“ลงไปล้างตัวที่บ่อน้ำนี้ก่อนสิ”

เด็กน้อยทำตามอย่างว่าง่าย 

“เจ้าอาจจะรู้สึกว่ามันร้อนหรือหนาวเกินไปสักนิด เพราะมันกำลังล้างสิ่งไม่ดีที่ติดตามตัวเจ้ามาเพื่อเตรียมเจ้าให้พร้อม”

“พร้อมสำหรับอะไร?”

“สำหรับขั้นตอนต่อไป ถอดกระดูกเปลี่ยนหนัง”

“อะไรนะ?!”

“ของขวัญที่ข้าจะให้เจ้านั่นก็คือ กระดูกเงินและกายทอง”

“ของขวัญแบบนี้อีกแล้วเหรอ?!”

“ของขวัญจะล้ำค่ามากน้อยอยู่ที่ความอดทนของเจ้าแล้วนะ บ่อเงินเจ้าจะรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกถึงขั้วหัวใจ อดทนได้นานกระดูกเจ้าก็จะแข็งมาก ถ้าเงินซึมเข้ากระดูกเจ้าไปจนสมบูรณ์แล้วเจ้าก็จะหายหนาวไปเอง ส่วนบ่อทองเจ้าจะรู้สึกร้อนเหมือนโดนเผาทั้งเป็น”

“ช่วยให้ของขวัญที่ข้าไม่ต้องเสี่ยงตายจะได้มั้ย ลุงอาเนออสก็ทีนึงแล้ว”

“ของขวัญแบบนี้แหละมันถึงจะมีค่า ถ้าแค่ให้แล้วรับ วันนึงเจ้าก็อาจจะลืมแล้วทิ้งมันไป พร้อมแล้วเจ้าก็เริ่มจากบ่อเงินก่อนได้เลยนะ ข้าจะไปเดินดูรอบๆนี้รอ”

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!