ณ ชายขอบหมู่บ้านเล็กๆตระกูลสาขาของไวทูล่า เป็นตระกูลใหญ่ที่รวยอันดับหนึ่งของประเทศและมีตระกูลสาขาเยอะที่สุด แม่หมอที่หัวหน้ากลุ่มพูดถึงนั้นก็ได้รับถุงย่ามที่ถูกเวทย์พายุลมพัดมาเรียบร้อยแล้ว เหมือนแม่หมอจะรู้ว่าควรทำอะไรต่อไป นางล้วงเอาร่างทารกน้อยออกมาทำความสะอาดและเตรียมของประกอบพิธีก่อนจะเดินออกไปที่ลานพิธีกรรมที่ตอนนี้มีชาวบ้านที่รู้ข่าวมารออยู่บ้างแล้ว
“ข่าวการทำเครื่องรางนี่ลามไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่งอีกนะ”
นางพึมพำกับตัวเองพร้อมกับพาร่างทารกเดินตรงไปที่บ่อน้ำ
“เดี๋ยวข้าทำอะไรสนุกๆให้ดู จับตาดูให้ดีๆก็แล้วกันนะมนุษย์ทั้งหลาย”
กลางลานพิธีกรรมจะมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่งและกลางบ่อน้ำจะมีบัวอยู่กอหนึ่งปกติมันจะตูมอยู่ตลอดเวลาซึ่งเมื่อไหร่ที่มันบานออกหมายถึงจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นแต่ตรงข้าม เมื่อไรที่ดอกบัวเฉาตายหมายถึงเรื่องร้ายจะเกิดขึ้น ชาวบ้านเรียกกันว่าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เพราะไม่ว่าจะฤดูไหนน้ำในบ่อก็ไม่เคยเหือดแห้งหายไปและใครที่เจ็บป่วยเมื่อนำรากบัวกลับไปทำซุปกินแทนยาเช้าเย็นไม่นานก็หายดีหรือนำน้ำในบ่อไปอาบชำระร่างกายก็ช่วยให้หายปวดเมื้อยได้
ทันใดนั้นเมื่อแม่หมอนำร่างทารกน้อยลงแช่ล้างทำความสะอาดตัวในบ่อน้ำเสียงฮือฮาของชาวบ้านที่เฝ้ามองอยู่ก็ดังขึ้น
“หัวหน้า! เด็กคนนั้น เด็ก...เด็ก”
สมาชิกทีมนักล่าคนหนึ่งสะกิดชายวัยกลางคนที่กำลังยืนตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างกับลูกทีมและชาวบ้านคนอื่นๆ
“เด็กคนนั้น...ยังไม่ตายหรอกเหรอคับหัวหน้า”
“แต่ตอนที่ข้าผ่าเอาออกมาข้าแน่ใจว่าไม่รอดแล้วนะ แต่ตอนนี้กลับ...”
เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นท่ามกลางสายตาประชา เด็กทารกที่ถูกผ่าออกมาจากศพ ที่ถูกส่งมาทำเครื่องรางนำโชคให้หมู่บ้านเพราะถูกคิดว่าตายแล้ว ตอนนี้กลับมีชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้ง ชวนให้ชาวบ้านตื่นตาตื่นใจ บ้างก็ว่าเป็นพรจากเทพประทานให้เด็กน้อย บ้างก็ว่าเด็กคนนี้กล้าหารสู้ชีวิตเพื่อจะรอดตาย บ้างก็ว่าเป็นเพราะบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนาๆ ส่วนความจริงจะเป็นเช่นไรมีเพียงแม่หมอเท่านั้นที่รู้ นางกระหยิ่มยิ้มย่องในใจพรางชูร่างทารกน้อยขึ้นกลางอากาศ
“สรรเสริญเทพพระเจ้าที่ประทานชีวิตใหม่ให้เด็กน้อยคนนี้ จากนี้ไปแม่หนูนี่จะเติบใหญ่เป็นเด็กหนุ่มนามว่า ‘เชมารี่ มาคลินซ์ ไวทูล่า’ ขอเหล่าเทพอวยพรบุตรของท่านด้วย”
สิ้นเสียงแม่หมอร่างทารกน้อยก็เปล่งประกายแสงสว่างเจิดจ้าท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่มามุงดูก่อนจะพากันส่งเสียงแซ่ซองอวยพรดังระงมไปทั่วบริเวณ
“เป็นบุญของข้าจริงๆที่ได้เห็นการกำเนิดของบุตรแห่งหุบเขาเทพ”
“เด็กผู้หญิงเหรอ?”
“นั่นสิ เคยได้ยินว่าลูกเทพมีแต่ผู้ชาย ว่าแต่ใครจะดูแลเด็กคนนี้ล่ะหัวหน้า”
“...”
“อยากเอามาเลี้ยงเองจังเลย”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะไซเลน”
“อะไรเล่าหัวหน้า ก็พวกเราเป็นคนช่วยเด็กนั่นไว้นะ”
“เรื่องนี้ข้าจัดการเอง พวกเจ้าส่งข่าวให้กลุ่มอื่นๆหยุดออกล่าก่อนสักพัก แล้วกลับมาเฝ้าระวังหมู่บ้าน”
“ข้ามีคำถาม ทำไมต้องเฝ้าระวังหมู่บ้านด้วยล่ะ”
“ข้ามีลางสังหร ว่าจะต้องเกิดการลักพาตัวเด็กนั่นหรืออาจจะแย่กว่า”
สมาชิกทีมนักล่าต่างพากันสงสัยแต่ชายวัยกลางคนมีท่าทีอึกอักเหมือนสิ่งที่จะพูดมันไม่ควรถูกเปิดเผยในที่สาธารณะ
“กลับที่ตั้งกันก่อนแล้วข้าจะอธิบายให้ฟัง รับคำสั่ง!”
“รับคำสั่ง!”
ทีมนักล่านี้เป็นทีมที่ผู้ใหญ่บ้านของตระกูลสาขาไวทูล่าจ้างมาพิเศษให้ประจำที่หมู่บ้านเพื่อคอยสอดส่องดูแลความสงบสุขภายในหมู่บ้านเนื่องจากหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้อยู่ติดกับเขตพื้นที่รกร้างซึ่งเป็นพื้นที่ไร้กฎหมายจึงมักจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเป็นประจำ กลุ่มนักล่ามีศูนย์ใหญ่อยู่ที่เมืองหลวงและศูนย์หลักกระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ จะแบ่งออกเป็นหน่วยย่อยไปประจำอยู่ที่ศูนย์หลักและใช้ชื่อหน่วยตามชื่อเมืองที่ประจำอยู่ จากหน่วยจะแบ่งออกมาเป็นทีมเล็กๆอีกทีต่อเมื่อมีภารกิจหรือการว่าจ้าง ส่วนฐานที่อยู่ของทีมจะเรียกว่าที่ตั้งซึ่งหัวหน้าทีมจะเป็นคนกำหนด
ณ ที่ตั้งของทีมนักล่า
“ไซเลนรายงาน มากันครบแล้วครับหัวหน้า”
รองหัวหน้าทีมนักล่าที่ชื่อว่าไซเลนเข้ามารายงานสถานการณ์กับหัวหน้าทีมที่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอย่างเคร่งเครียดก่อนจะเดินออกมาพบกับสมาชิกทีมคนอื่นๆที่หน้าแถว
“เผื่อใครเพิ่งเข้ามาใหม่แล้วยังไม่รู้จัก ข้าคือหัวหน้าทีมนักล่าคนปัจจุบันชื่อว่าอาเนออส เป็นคนจากตระกูลไวทูล่า ใช้พลังธาตุลม เจ้านี่เป็นรองหัวหน้าชื่อว่าไซเลนจากตระกูลรัททา ใช้พลังธาตุน้ำ ถึงจะดูไม่เอาไหนแต่ว่าก็เอางานเอาการดีอยู่ อยู่ร่วมกันหมู่มากขอให้เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ที่สำคัญต้องไว้ใจกันพวกเจ้าถึงจะอยู่รอด รับทราบ!”
“ทราบ!”
“ข้าจะส่งรายงานประจำวันและแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้เอง ห้ามใครเอาไปพูดกับคนนอกเด็ดขาด คนนอกในที่นี้คือคนที่ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน...ไม่ได้อยู่ในทีม...ไม่มีข้อยกเว้น หากคนมีสีมีตำแหน่งมาถามให้บอกให้ตรงกันว่า คืนนั้นโดนข้าสั่งยกเลิกการล่าและไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น บอกให้คนที่สงสัยมาหาข้า แค่ข้าคนเดียวเท่านั้น รับทราบ!”
“ทราบ!”
“ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ช้าจะให้ไซเลนแบ่งเวรยามให้พวกเจ้า คอยเฝ้าตรวจตราทั้งภายในและโดยรอบหมู่บ้าน หลังศูนย์นาฬิกาคนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า เห็นใครออกจากที่พักตรวจป้ายและตราให้หมดทุกคน ที่สำคัญที่สุดถ้ามีคนจากตระกูลใหญ่ทั้งสิบสองตระกูลต้องการเข้าหมู่บ้านให้พวกเขารอก่อนและส่งคนมาตามข้า รับคำสั่ง!”
“รับคำสั่ง!”
“แยกย้ายได้ ส่วนทีมที่ไปกับข้าวันนี้มาพบข้าที่ห้องทำงานหน่อย”
สิ้นเสียงคำสั่ง ทีมนักล่าก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนด้วยเวลาเพียงน้อยนิดก่อนจะรับคำสั่งต่อไป ส่วนทีมที่โดนหัวหน้าเรียกตัวไปเมื่อครู่ต่างมองหน้ากันไปมาเป็นการถามกันนัยๆว่ามีเรื่องอะไรรึป่าว แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนหรือโต้แย้ง ทุกคนยอมเดินตามไปโดยดี
“รู้มั้ยที่เรียกมาเนี่ยจะคุยอะไร?”
พอทุกคนเดินเข้ามาในห้องเป็นที่เรียบร้อยและหัวหน้าตรวจดูแล้วว่าประตูปิดสนิท เขาก็เริ่มบทสนทนาทันที
“พอเดาได้ครับหัวหน้า”
“ไหนลองเดามาซิ”
"เรื่องตระกูลไทกริสใช่มั้ยครับหัวหน้า"
"ใช่แล้วล่ะ แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าเป็นตระกูลไทกริส?"
"ตราบนรถม้าครับ"
"เก่งมากไซเลน อย่างที่ทุกคนรู้ บนรถม้าของสิบสองตระกูลใหญ่จะมีตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลติดอยู่ แล้วแต่ว่าจะติดตรงไหนแต่ตระกูลไทกริสติดอยู่ที่ดุมล้อรถ และอีกอย่างนักฆ่ารับจ้างที่ตัวใหญ่ราวกับยักษ์แบบนั้นมีอยู่ไม่มาก"
"เพราะคนเมืองนี้ส่วนใหญ่จะรูปร่างสูงโปร่งกำยำสินะครับ"
"ใช่ เรามาเข้าเรื่องกันเถอะ จากทิศทางลมที่พัดตอนนั้นข้าได้ยินนักฆ่านั่นพูดพอจับใจความได้ว่าเจ้าเมืองเป็นคนจ้างให้ฆ่าผู้หญิงคนนั้น ถ้าเจ้าเมืองไม่ต้องการเธอคงจะฆ่าทิ้งไปนานแล้วไม่ปล่อยมาจนใกล้คลอดขนาดนี้"
"นั่นแปลว่าเจ้าเมืองไม่ต้องการเด็กงั้นเหรอ"
"ต้องใช่แน่ๆ เพราะเมืองไทกริสไม่ยอมรับผู้หญิงแล้วเจ้าเมืองยังไม่มีผู้สืบทอดแต่ดันมีลูกคนแรกเป็นผู้หญิงเลยกำจัดทิ้ง"
สมาชิกทั้งหลายผลัดกันออกความคิด ช่วยกันแสดงความเห็นเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่ตนรู้มา รวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์สถานการณ์ตอนนี้
"จากที่ข้าเคยได้ยินมา เจ้าเมืองเป็นพวกงมงาย เชื่อคำทำนายทายทักจากหมอดูอย่างไม่ลืมหูลืมตา"
"พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องดำมืดของเจ้าเมืองมั้ย?"
"ไม่คับหัวหน้า"
"เรื่องดำมืดของตระกูลเสือใหญ่ไทกริสคือพ่อมันชอบฆ่าลูกของตัวเอง และตระกูลไทกริสสืบทอดกันมาด้วยการโค่นหัวหน้าตระกูล เป็นตัวอย่างให้เห็นกันรุ่นสู่รุ่น ต่อมาเพราะความกลัวของพ่อเสือ ลูกเสือตัวไหนที่ไม่เชื่อฟังก็จะถูกฆ่าทิ้ง ตัวไหนอยู่ในโอวาทก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นทายาทโดยชอบธรรมและได้ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลเมื่อพ่อเสือถึงวัยที่สมควร...จบ"
"นิทานก่อนนอนหรือไงคับหัวหน้า"
"มันคือเรื่องจริง เพราะท่านผู้เฒ่าไฟแห่งสี่ผู้เฒ่าก็มาจากตระกูลไทกริส ท่านรอดจากการฆ่าล้างตระกูลครั้งใหญ่และไม่เคยคิดจะกลับเข้าตระกูลตัวเองอีกเลย"
"โหดร้ายเกินไปแล้ว"
"เอาเป็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นหุบปากให้เงียย ใครถามให้แกล้งโง่เข้าไว้ แต่ให้คอยเฝ้าระวังตระกูลนี้ให้ดี ถ้าข่าวการกำเนิดของลูกเทพแพร่ออกไปจะต้องมีมือดีโผล่มาที่หมู่บ้านแน่นอน"
"ไม่เพียงแค่ตระกูลไทกริสหรอกนะ ทุกคนต้องระวังพวกตระกูลใหญ่ๆไว้ให้ดี"
"ไซเลนพูดถูก ไม่มียกเว้นแม้แต่ตระกูลไวทูล่าของข้า"
"ทำไมหรือท่านอาเนออส ลูกเทพนั่นมีดีอะไรกันถึงจะต้องวุ่นวายขนาดนี้ ลูกเทพจริงหรือไม่จะรู้ได้อย่างไร ใช่ว่ายายแก่นั่นหลอกเรานะ"
"อยากตายรึไง พูดถึงแม่หมอดีๆหน่อย นางรับรู้ทุกความเป็นไปในหมู่บ้านนี้นะ อีกอย่างนางอยู่มานานมากก่อนจะมีหมู่บ้านนี้ซะด้วยซ้ำ และนางก็เป็นคนพบลูกเทพคนแรกที่ทำให้แผ่นดินสงบสุขมาจนทุกวันนี้"
"ข้าน้อยความรู้ตื้นเขินโปรดอภัย แต่ข้าก็ยังมีคำถาม...เหตุใดตระกูลใหญ่อื่นๆถึงต้องการตัวเด็กด้วยเล่า?"
"ลูกเทพก็เหมือนเทพเอาลูกมาฝากเราเลี้ยง เลี้ยงดีพ่อแม่ก็จะตบรางวัลให้ พรจากเทพใครไม่อยากได้ล่ะ"
"ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณหัวหน้าที่สั่งสอน"
"เจ้าเป็นคนที่ไหนเนี่ยทำไมข้ารู้สึกคุ้นกับสำเนียงการพูดของเจ้า"
"ข้ามาจากตระกูลที่ล่มสลายไปแล้ว แต่โดนขายเป็นทาสรับใช้ตั้งแต่เด็กเลยติดสำเนียงแบบนี้มาขอรับ..เอ้ย ครับ"
"พูดเพราะมันก็ดี แต่พูดแบบเป็นกันเองที่เจ้าสบายใจจะดีกว่า"
"ครับท่าน"
"เอาเถอะ ค่อยเป็นค่อยไป"
“คืนนี้ให้จัดเวรยามเลยมั้ยคับหัวหน้า”
“คืนนี้ข่าวน่าจะยังกระจายไปไม่เท่าไร จัดยามเฝ้าแค่ทางเข้าออกหมู่บ้านกับจุดสำคัญๆต่างๆก็พอ”
“ยังไม่ต้องเดินตรวจใช่มั้ยคับ”
“ยังก่อน คืนนี้พักผ่อนกันให้เต็มที่ พรุ่งนี้ของจริง”
ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง ณ เมืองกอลลิน่า
“ท่านเจ้าเมือง ท่านแม่ทัพคลอดแล้วครับท่าน”
“ไม่ต้องรายงานเจ้านครนะ เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
หลังจากได้ฟังรายงานจากทหาร ชายวัยกลางคนก็ออกจากห้องทำงานไปอย่างรีบร้อนจนลืมบางสิ่งไปสนิทใจ ทำเอาผู้น้อยที่กำลังเดินตามหลังมาติดๆหยุดชะงักไปด้วยอีกคน
“ท่านเจ้าเมือง...หยุดทำไมครับ”
“ข้าลืมว่าท่านแม่ทัพคลอดที่ไหนน่ะ นำทางหน่อยสิ”
ชายวัยกลางคนยกมือลูบหัวแก้เก้อพรางเดินตามไปอย่างสงบเสงียม ระหว่างทางภายในคฤหาสน์เงียบเชียบจนเหมือนร้าง แสงไฟในห้องน้อยใหญ่ดับมืดสนิทมีเพียงแสงไฟส่องสว่างที่โถงทางเดินเพียงเท่านั้น
“พวกพ่อบ้านกับสาวใช้หายไปไหนกันหมด ทำไมคฤหาสน์เงียบเหงาอย่างนี้”
“เมื่อเย็นเจ้านครอาการกำเริบอยากเห็นแสงจันทร์ในคืนเงียบสงบ เลยสั่งให้สาวใช้กับพ่อบ้านปิดไฟหมดทุกห้องแล้วห้ามใครออกมาเพ่นพ่านครับท่าน”
เมื่อคนถามได้ฟังคำตอบก็ได้แต่ส่ายหัวพรางถอนหายใจเฮือกใหญ่กับอาการซึมเศร้าของเจ้านครที่นับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆอย่างหาทางรักษาให้หายขาดไม่ได้
เหตุเกิดเมื่อนานมาแล้วตอนนางยังสาวเพิ่งขึ้นครองตำแหน่งเจ้านครไม่นาน ได้ติดตามมารดาไปศึกษาการปกครองบ้านเมืองเกิดปะทะกับกลุ่มไนท์ไลท์ขึ้น นางได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตายต้องพักรักษาตัวอยู่นานกว่าอาการจะดีขึ้นต่อมาหมอหลวงที่คอยดูแลติดตามอาการได้แจ้งข่าวร้ายว่าจะไม่สามารถมีลูกหรือให้กำเนิดบุตรธิดาได้อีก ส่งผลให้นางจิตตกกินไม่ได้นอนไม่หลับจนเป็นซึมเศร้าอารมณ์ขึ้นๆลงๆควบคุมตัวเองไม่ได้ โชคดีที่นางได้คู่ครองที่ซื่อสัตย์และรักนางจากใจจริงคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
“เรามาถึงห้องพักของท่านแม่ทัพแล้ว เชิญท่านเจ้าเมือง”
ทหารที่นำทางมาผายมือไปที่ประตูห้องบานใหญ่สีดำสนิทพรางก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ชายวัยกลางคนไม่รอช้ารีบเคาะประตูเป็นจังหวะคล้ายรหัสลับ ไม่นานประตูก็ถูกแง้มออกให้ชายวัยกลางคนค่อยๆแทรกตัวเข้าไป
“เป็นยังไงบ้างแม่นม”
“ปลอดภัยทั้งคู่ค่ะ แม่ทัพกำลังพักผ่อนอยู่ทางด้านนั้น ส่วนคุณหนูน้อย...อยู่ทางนี้ค่ะ”
เจ้าเมืองกอลลิน่าเดินตามแม่นมมาติดๆ เหงื่อไหล่หยดตามคาง สีหน้าเหมือนกำลังคาดหวังบางสิ่งอย่างใจจดจ่อ ก่อนจะชะโงกหน้าดูเด็กทารกแรกเกิดที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ในเปลที่มีสาวใช้นั่งไกวอยู่ข้างๆ
“ผู้ชายค่ะท่าน”
แม่นมพูดขึ้นตัดกำลังใจของชายวัยกลางคนที่กำลังคาดหวังให้เด็กทารกเป็นเพศหญิงอย่างที่ตั้งใจไว้
“เฮ้อ...ผู้ชายจริงๆสินะ ไม่เป็นไร ทำตามแผนเดิมของเราต่อไป”
“ค่ะท่านเจ้าเมือง”
“ท่านแม่ทัพนี่น้า น่าไปอยู่เมืองไทกริสจริงๆ”
“ท่านเจ้าเมืองล่ะก็ อย่าพูดเล่นให้ท่านแม่ทัพได้ยินเชียว”
“ใช่แล้ว เธอคงไม่ตลกแถมข้าจะโดนด่าอีกด้วย”
“แต่ก็จริงของท่านนะคะ ท่านแม่ทัพมีแต่ลูกชาย รวมคุณหนูน้อยทั้งหมดก็สี่คน ว่าแต่จะให้คุณหนูชื่อว่าอะไรดีคะท่าน”
ทั้งคู่ยืนมองหน้ากันพรางถอนหายใจเฮือกใหญ่
“บัลมาเคีย...ชื่อว่าบัลมาเคีย ส่วนอีกชื่อก็ให้แม่ทัพตั้งให้แล้วกัน”
“เป็นชื่อที่ทั้งสวยและแข็งแกร่ง คุณหนูน้อยต้องเติบโตเป็นผู้ปกครองนครอย่างดีแน่นอนค่ะ”
“พรุ่งนี้ลงข่าวเรื่องหนูน้อยบัลมาเคียดีๆล่ะ”
“ฉันจะแจ้งสำนักข่าวของเมืองหลวงตามที่ท่านกำชับไว้อย่างดีด้วยตัวเองค่ะ”
“ดีมากเลย อย่าให้ใครแทรกแซงได้นะ มันสำคัญมาก”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านเจ้าเมืองไปพักผ่อนเถอะค่ะ ที่เหลือให้ฉันดูแลต่อเอง”
“รบกวนแม่นมด้วยนะ”
เช้าวันต่อมา ณ วังหลวง
“ท่านแม่! ท่านอ่านหนังสือพิมพ์ของวันนี้รึยัง”
เด็กน้อยถือหนังสือพิมพ์ในมือหนึ่งฉบับวิ่งร่าเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังเดินออกมาจากห้องทำงาน
“อย่าวิ่งเร็วแบบนั้นสิคะองค์ชาย ล้มขึ้นมาจะเป็นอันตรายนะคะ”
สาวใช้หลายคนที่วิ่งตามหลังมาเป็นขบวนถึงกับหยุดชะงักเมื่อได้เห็นคนตรงหน้าของเด็กชาย
“ถวายความเคารพเพคะราชินีวีน่า!”
“คึกครื้นกันแต่เช้าเชียวนะ เชื่อฟังพวกพี่สาวหน่อยสิจ้ะ ถ้าดื้อมากๆพวกพี่สาวจะไม่เล่นด้วยนะรู้มั้ย”
เธอนั่งย่องลงคุยกับเด็กชายอย่างอ่อนโยนพรางลูบหัวของเขาอย่างเบามือ
“ว่าแต่มีอะไรเหรอจ้ะคุณชายน้อย”
“นี่ครับท่านแม่”
เด็กชายยื่นหนังสือพิมพ์ในมือให้กับหญิงสาว เธอมองดูมันอย่างประหลาดใจก่อนจะอุ้มเด็กชายขึ้นอยู่ในอ้อมแขน
“เอามาจากไหนจ้ะเนี่ย อย่าบอกว่าขโมยท่านพ่อมานะจ้ะ”
“ผมยืมมาครับ ท่านแม่รู้ข่าวแล้วรึยังครับ”
“รู้แล้วจ้ะ แม่เพิ่งคุยกับผู้ช่วยเมื่อกี้เองว่าให้ส่งของขวัญไปให้แทน ช่วงนี้แม่ไม่ค่อยอยากออกงานสังคมสักเท่าไร”
“ผมอยากไปครับ ลูกสาวของเจ้านครกอลลิน่าเชียวนะครับไม่ไปด้วยตัวเองได้ยังไง ให้ผมไปแทนนะครับ”
“ลูกเพิ่งจะห้าขวบเองนะทำไมรู้ดีอะไรแบบนี้ แต่ที่แม่บอกไปเมื่อกี้แม่หมายถึงเมืองไทกริสจ้ะ”
“งั้นหมายความว่าท่านแม่จะไปเมืองกอลลิน่าใช่มั้ยครับ”
“แม่จะไปเมืองไวทูล่าจ้ะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“องค์ชายเวลนอล ทำไมกวนท่านแม่แต่เช้าแบบนี้ล่ะ”
ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับเดินเข้ามารับตัวเด็กชายไปอยู่ในอ้อมแขนแทนหญิงสาว
“ถวายความเคารพราชาเวลม่า”
“ท่านพ่อ มาได้ยังไงครับ”
“พ่อทำงานเสร็จแล้ว จะไปไหนก็ได้นี่นา”
“แล้วทำไมท่านพ่อไม่ไปเมืองไวทูล่าแทนท่านแม่ล่ะ”
“พ่อต้องเฝ้าบ้าน เกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นจะได้แก้ไขทันไง”
เด็กชายดูไม่ค่อยพอใจก่อนจะขอให้ชายหนุ่มปล่อยเขาลงและเดินจากไปเงียบๆพร้อมกับกลุ่มสาวใช้พี่เลี้ยงมากมายที่ติดตามไป
“เมืองไวทูล่ามีอะไรกันทำไมท่านแม่ถึงสนใจมากขนาดต้องไปด้วยตัวเอง”
“หม่อมฉันได้ยินข่าวลือมาว่า...มีลูกเทพถือกำเนิดขึ้นที่หมู่บ้านสาขาของเมืองไวทูล่าเจ้าค่ะ”
สาวใช้คนหนึ่งเอามือป้องปากก่อนจะกระซิบสิ่งที่ตนได้ยินมาให้เด็กชายได้ฟังอีกต่อนึง
“นางคนนี้นี่! องค์ชายมีนิสัยเกินเด็กแบบนี้ก็เพราะเธอนะรู้ตัวบ้างมั้ย วันๆพูดกรอกหูองค์ชายแต่เรื่องไร้สาระอะไรก็ไม่รู้หามูลเหตุความเป็นมาเป็นไปไม่ได้สักนิด”
“แม่นมล่ะก็ ดุข้าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกนะ มาช่วยกันคิดหาความจริงดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น จู่ๆเมืองกอลลิน่าและไทกริสที่ไม่ถูกกันก็เกิดมีทายาทขึ้นมาในคืนเดียวกันแถมยังมีข่าวลือเกี่ยวกับลูกเทพอะไรนั่นอีก”
“เป็นสาวใช้ในวังสิ่งที่ต้องทำคือทำเป็นหูหนวกตาบอด หากยังทำตัวแบบนี้สักวันจะหัวหลุดจากบ่าไม่รู้ตัว ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ”
“หรือว่าพวกเขาจะซื้อเด็กจากตรอกสาวงาม!”
“ตรอกสาวงามอะไรของเจ้า หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว!”
“ท่านไม่รู้จักเหรอที่นั่นน่ะ...อื้ออออ”
สาวใช้คนดังกล่าวถูกหญิงวัยกลางคนหรือแม่นมเอื้อมมืออุดปากไว้ก่อนจะได้พูดอะไรออกมาอีก
“แม่นมปล่อยนาง ถ้าในอนาคตข้าต้องขึ้นครองราชแทนท่านพ่อ ข้าก็จำเป็นจะต้องรู้ทุกเรื่อง”
“เพคะองค์ชาย”
“คืออย่างนี้เพคะองค์ชาย ตรอกสาวงามเนี่ยมันค่อนข้างจะหยาบคาย มันเป็นที่ที่พวกทหารชอบไปซื้อผู้หญิงมาสำเร็จความต้องการทางอารมณ์ แล้วเวลาพวกผู้หญิงที่นั่นตั้งท้องและคลอดลูกชาย แม่มดที่คุมตรอกนั้นก็จะประกาศขาย แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะเลี้ยงไว้ให้ทำงานที่ตรอกนั้นต่อไป ที่นั่นถือเป็นแหล่งทำเงินอันดับต้นๆของเมืองไทกริสเลยก็ว่าได้”
“เจ้าแน่ใจได้ยังไงว่ามันคือเรื่องจริง?!”
“จริงแท้แน่นอนแม่นม ท่านอยู่แต่ในวังจะไปรู้อะไร เรื่องนี้คนเขารู้กันทั่วทุกหัวมุมถนน”
“เจ้าเมืองไทกริสก็ปล่อยไว้แบบนั้นไม่ทำอะไรเลยเหรอ?”
“องค์ชายอย่าว่าหม่อมฉันรู้มากเลยเพคะ เจ้าเมืองเองก็เป็นลูกค้าของที่นั่นแต่เป็นบริการรับจ้างฆ่าเพคะ”
“ว่าไงนะ?!”
“ฉู่...แม่นมอย่าเสียงดังสิ เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างพวกเรานะ”
“ไม่แค่พวกเราแล้ว สาวใช้กับองครักษ์ที่ติดตามองค์ชายก็ยืนอยู่นี่เป็นสิบคน”
สาวใช้ผู้มากความลับเกาหัวพรางยิ้มแห้งๆส่งให้กับทุกคน
“แล้วเจ้ารู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้ยังไง?”
“ด้วยความสัจจริง หม่อมฉันมาจากตระกูลรัททา”
“ตระกูลสายข่าวอันดับหนึ่งของแอสทรัม นี่เจ้ากล้าเข้ามาสืบข่าวถึงในวังหลวงเลยงั้นเหรอ”
“องค์ชายอย่าทรงเข้าใจนางผิดเพคะ นางโดนตระกูลทอดทิ้งราชินีจึงรับสั่งให้หม่อมฉันดูแลนางเพคะ”
“แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเมืองไวทูล่าบ้าง เรื่องที่ทำให้ท่านแม่ของข้าต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง”
“...”
“เจ้ารู้อะไรบ้าง”
“ที่ันั่นมีแม่มดเพคะ”
“คนคุมตรอกหญิงงามเจ้าก็ว่าเป็นแม่มด”
“แม่เฒ่าเมลีด้าแค่ถูกชาวบ้านที่ไม่ชอบเรียกว่าแม่มดเท่านั้น แต่ที่นั่น...หมู่บ้านชายขอบที่เป็นตระกูลสาขาของตระกูลไวทูล่า หมู่บ้านนั้นมีชื่อว่า ‘เซเรส’ เรียกตามชื่อเทพประจำตระกูลเพื่อเป็นการให้เกียรติ มีเรื่องเล่าอยู่ว่าตระกูลใหญ่ได้สร้างวิหารไว้ที่นั่นตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเมื่อนานมาแล้วซึ่งสร้างความรุ่งเรื่องให้กับไวทูล่าเป็นอย่างมาก พืชผลงอกงามราคาดีจนกลายเป็นตระกูลที่รวยที่สุดในแอสทรัม ต่อมาตระกูลคาปราที่เป็นศัตรูทางธุรกิจส่งสายลับเข้าไปหวังทำลายวิหารทิ้งแต่หัวหน้าตระกูลรู้ทันจ้างผู้ใช้พลังพิเศษจากประเทศบริทาเนียมาทำให้วิหารหายไปจากสายตาและทำลายหลักฐานการมีอยู่ของวิหารทิ้งทั้งหมด”
“หายไปจากสายตา? งั้นก็แปลว่ามันยังอยู่”
“สมแล้วที่เป็นองค์ชายของประเทศเรา ทรงเข้าใจถูกแล้วเพคะ ผู้ใช้พลังพิเศษได้ทำให้มันล่องหนอยู่ที่ไหนสักแห่งในหมู่บ้านนั้น”
“ข้าชักอยากจะไปเห็นหมู่บ้านนั้นด้วยตาตัวเองซะแล้ว ลึกลับแบบนี้ข้าชอบ”
“ไม่เพียงเท่านี้เพคะองค์ชาย”
“พอได้แล้ว!”
“แม่นม”
“เพคะองค์ชาย”
แม่นมที่พยายามปรามให้สาวใช้คนดังกล่าวหยุดป้อนเรื่องไม่เป็นเรื่องใส่หัวเด็กชายแต่กลับถูกเด็กชายที่เป็นเจ้าชายน้อยดุซะเอง
“ต่อเลย ข้าอยากฟัง”
“ก่อนอื่น...ข้าขอให้ท่านสั่งทุกคนให้ออกห่างไปนิด พอที่จะไม่ได้ยินสิ่งที่ข้ากำลังจะพูด”
“ได้”
เจ้าชายน้อยโบกมือเป็นการให้สัญญานกับสาวใช้และองครักษ์ให้ถอยห่างออกไป เมื่อสาวใช้คนดังกล่าวเห็นว่าพอสมควรแล้วจึงเริ่มเล่าเรื่องราวความลับทันทีด้วยเสียงที่เบาราวกระซิบ
“แม่มดที่หม่อมฉันพูดถึงในตอนแรก นางสวมชุดสีดำและคลุมหน้าตลอดเวลาไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของนาง เดิมนางเป็นแม่แท้ๆของหัวหน้าตระกูลที่สร้างวิหาร ร่างกายไม่แข็งแรงเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่งนางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนานจนทุกคนเลิกตามหาเพราะคิดว่าตายไปแล้ว จู่ๆนางก็กลับมาพร้อมกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งและได้นำเด็กคนที่ว่ามาให้สามัญชนคนหนึ่งเลี้ยง ต่อมาไม่นานสามัญชนคนนั้นก็ได้ขึ้นครองราชเป็นแอสทรัมที่หนึ่งหรือก็คือบรรพบุรุษขององค์ชายเพคะ”
“เรื่องจริงเหรอ?!”
“เพคะ”
“แล้วเด็กผู้ชายคนนั้นล่ะ?”
“หลังจากพ่อบุญธรรมขึ้นครองราชแม่มดก็มาพาตัวกลับไปและไม่ได้ข่าวอะไรต่อจากนั้นอีกเลย”
“ไปไหน?”
“ไม่อาจรู้แน่ชัดเพคะ แต่ว่ากันว่าเด็กคนนั้นเป็นบุตรแห่งหุบเขาเทพ พวกเทพจะส่งเด็กมาที่โลกภายนอกพร้อมภารกิจบางอย่างและเมื่อเด็กคนนั้นทำภารกิจสำเร็จก็จะได้เป็นเทพ”
“เดี๋ยวก่อนนะ นางอยู่มาตั้งแต่สมัยแอสทรัมที่หนึ่ง ตอนนี้...สิบสมัย นางอายุเท่าไรกันเนี่ย”
“หม่อมฉันถึงบอกว่านางเป็นแม่มดไงเพคะ”
“แล้วทำไมท่านพ่อกับท่านแม่ถึงเพิ่งจะมาสนใจเรื่องนี้ล่ะ อย่าบอกนะว่า”
“มีข่าวลือว่าลูกเทพถือกำเนิดเพคะองค์ชาย”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments