ณ วิมานบนยอดเขาสุทัศน์อันเงียบสงบเป็นที่ประทับของชิณณะเทพ เทพผู้เฝ้าขุนเขาทิพยโอสถแห่งนี้
“ท่านชิณณะเทพอยู่หรือไม่” พระลักษะเอ่ยเรียกเจ้าของวิมานเสียงดังกังวานไปทั่วบริเวณที่พำนักของชิณณะเทพ
“ผู้ใดกันที่กล้ามาเรียกข้าในยามวิกาลเช่นนี้” เสียงแหบพร่าของเทพผู้ที่มีอำนาจเหนือสุด ณ ที่แห่งนี้ถูกส่งออกมาเตือนผู้มารบกวนในเวลาที่ไม่สมควร
“หากท่านอยากรู้ก็ออกมาดูเองเถิดว่าเราเป็นผู้ใด” เสียงของผู้มาเยือนยังคงดังท้าทายทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าของวิมานเริ่มไม่พอใจ
“ชักจะมากไปแล้วนะเจ้าผู้บุกรุก!! ไม่รู้หรือว่าเจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร!!” ชิณณะเทพสบถเสียงขุ่นเดินออกมาจากวิมานแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้เป็นเจ้าของเสียงที่มารบกวนตน
“เจ้าเป็นใครกันเจ้าผู้บุกรุกออกมาเดี๋ยวนี้นะ!!” ชิณณะเทพตะโกนก้องพร้อมตั้งท่าเตรียมรับมือ
“เราอยู่นี่!!!” เมื่อชิณณะเทพหันหลังกลับมาพบเจ้าของเสียง ก็ถึงกับหน้าถอดสีความโมโหที่มีกลับกลายเป็นความเกรงกลัวขึ้นมาทันทีทันใด
“พระลักษะ..” ชิณณะเทพเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาเหมือนกำลังละเมอเมื่อภาพเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนย้อนกลับเข้ามาในห้วงความทรงจำ...
...ภาพพระเทวีที่ต่อสู้กับอสูร ณ เขาสุทัศน์แห่งนี้ เป็นพระเทวีที่เก่งกล้ากว่าเทพบุตรทั้งหมดที่ต่อสู้กับอสูรในวันนั้น นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขารู้จักกับเทวธิดาแห่งท้าวสักกะเทวราชผู้ที่เขามักจะได้ยินชื่อจากเหล่าเทพและอัปสรที่ลงมาเก็บสมุนไพรปรุงยาอยู่เป็นประจำ
“ท่านชิณณะเทพ... ท่านชิณณะเทพ!!!!”
“พะ..พะยะค่ะพระลักษะ..เกล้ากระหม่อมขอพระราชทานอภัย ที่เอ่ยวาจามิบังควรกับพระองค์พะยะค่ะ” ชิณณะเทพเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆอย่างนอบน้อมผิดจากเมื่อครู่ลิบลับ
“นี่! เราหาใช่อสูรใยท่านจึงทำท่าหวาดกลัวเราเช่นนั้น” พระลักษะยิ้มน้อยๆให้กับท่าทีตกใจสุดขีดของเทพผู้ดูแลเขาสุทัศน์ ผู้ที่นางนับถือในคุณธรรมที่เทพองค์นี้ยึดถือปฏิบัติ
“หามิได้พะยะค่ะ เกล้ากระหม่อมไม่คิดว่าพระองค์จะเสด็จลงมา..จึงแสดงกิริยาเช่นนั้นออกไปพะยะค่ะ”
“เอาล่ะๆเราไม่โกรธท่านหรอก เราเองก็ผิดที่มาเรียกท่านในยามวิกาลเช่นนี้” พระลักษะบอกเสียงเรียบเมื่อเห็นว่าชิณณะเทพคงจะไม่ฟังอะไรนอกจากจะขออภัยโทษอย่างเดียว
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพะยะค่ะ ว่าแต่พระองค์เสด็จมาถึงที่นี่มีการอันใดที่จะให้เกล้ากระหม่อมรับใช้หรือพะยะค่ะ”
“เรามีธุระที่สระอมฤตธาราน่ะเลยมาบอกท่านก่อน” พระลักษะแจ้งเจตจำนงแก่ผู้ที่อาวุโสกว่าทันที
“ให้เกล้ากระหม่อมเป็นผู้นำทางพระองค์ไปได้หรือไม่พะยะค่ะ”
“ถ้าไม่รบกวนท่านเราก็ยินดี เพราะเราก็ไม่อยากสู้กับพวกที่เฝ้าโอสถทิพย์สักเท่าไหร่” พระลักษะตอบยิ้มๆความจริงนางเพียงแวะมาบอกเทพผู้เฝ้าเขาแห่งนี้เท่านั้น เพราะหากเข้าไปโดยไม่แจ้งก่อนล่ะก็ตอนที่สู้กับภูตที่เฝ้าทางเข้าคงจะแตกตื่นกันทั้งเขาแน่นอน
“เชิญเสด็จทางนี้พะยะค่ะ” ชิณณะเทพออกนำพระลักษะด้วยท่าทีนอบน้อมไปยังสระอมฤตธาราโดยทันที
ด้วยเขาสุทัศน์แห่งนี้เป็นหนึ่งในหมู่เขาสัตบริภัณฑ์*ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุเอาไว้ ‘สัตบริภัณฑ์คีรี’ มีทั้งหมดเจ็ดชั้นโดยเขาแต่ละชั้นจะยาวบรรจบกันเป็นวงกลมล้อมรอบ ระหว่างเขาแต่ละชั้นจะมีแม่น้ำกั้นอยู่เรียกว่า ‘มหานทีสีทันดร’ สุทัศน์เป็นเขาลำดับที่สี่ ที่เขาแห่งนี้มีแต่พืชที่เป็นทิพยโอสถหรือจะเรียกว่าเป็นแม่ของเขาสัพยาก็ย่อมได้ เพราะที่นี่ใหญ่กว่าเขาสัพยาที่หิมพานต์ถึงเจ็ดเท่า พืชทุกชนิดที่นี่ล้วนมีภูตเป็นผู้เฝ้ารักษา ในสมุนไพรแต่ละต้นก็จะมีภูตที่เฝ้าแตกต่างกันออกไปฤทธิ์เดชที่มีก็ร้ายแรงแตกต่างกันขึ้นอยู่กับธาตุตั้งต้นของสมุนไพรชนิดนั้นๆ
และบนยอดเขาไม่ไกลจากวิมานของชิณณะเทพก็มีสระขนาดใหญ่ที่องค์สักกะเทวราชเสกขึ้นเพื่อใส่น้ำที่ล้นจากพิธีเกษียรสมุทร น้ำในสระใสดุจดั่งลูกแก้วแต่ก็มองไม่เห็นพื้นสระ ว่ากันว่าเพราะสระแห่งนี้นั้นลึกจนไม่สามารถหยั่งถึงพื้นได้ ฤทธิ์ของน้ำในสระเพียงไม่กี่หยดก็สามารถรักษาบาดแผลและฟื้นฟูพลังของเหล่าทวยเทพทั้งหลายได้และยังใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงยาชุบชีวิตอีกด้วย แต่การเข้ามาในนี้ก็ไม่ได้ง่ายเลยเพราะผู้เฝ้าสระแห่งนี้มีถึงสี่ตน
ยิ่งการเข้ามาในยามวิกาลนั้นเป็นไปได้ยากสำหรับเทพและเทวดาเพราะภูตทั้งสี่จะแข็งแกร่งและว่องไวกว่าตอนกลางวันถึงสามเท่า นี่จึงเป็นเหตุผลที่พระลักษะต้องไปบอกให้ชิณณะเทพรู้
หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นเทพผู้ดูแลจะได้ไม่ตกใจเพราะไม่เคยมีใครเข้ามาในสระตอนกลางคืนเช่นนี้
เมื่อถึงทางเข้าก็ปรากฏพญาราชสีห์รูปร่างสูงใหญ่กำยำสีขาวสะอาดตายืนขวางทางเข้าเอาไว้ท่าทีองอาจน่าเกรงขาม ขนที่แผงคอและเท้าทั้งสี่ข้างมีเปลวไฟสีส้มลุกโชนอยู่โดยรอบ นัยน์ตาสีเหลืองอำพันแวววาวจ้องมองมายังเงาของผู้มาเยือนอย่างไม่เป็นมิตร
“วิฬาร์!!!” เสียงแหบๆที่ดังขึ้นทำให้ราชสีห์ที่ยืนขวางทางเข้าอยู่ถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วนั่งลง เพื่อเปิดทางให้ผู้เป็นเจ้านายผ่านเข้าไปโดยง่าย ดวงตาสีอำพันยังคงจ้องผู้ที่เดินตามหลังเจ้านายมาไม่วางตา สร้างความแปลกใจให้แก่ชิณณะเทพผู้เป็นเจ้าของเพราะแววตานั้นหาได้ดุร้ายตามวิสัยของมัน แต่กลับเป็นแววตาที่อ่อนโยนและโหยหาอย่างที่ตนไม่เคยเห็นเลยจากราชสีห์ตัวใหญ่ตัวนี้
ความน่าเกรงขามที่แฝงไปด้วยความน่ารักของราชสีห์หนุ่มเบื้องหน้านั้นต้องตาของพระลักษะอยู่ไม่น้อย อยากจะสัมผัสขนฟูๆสีขาวสะอาดนั่นสักครั้งว่าจะนุ่มสักเพียงใด
“โฮกกกกก” เสียงคำรามเบาๆพร้อมกับการก้มหัวลงน้อยๆเป็นสัญญาณว่าสามารถจับต้องตัวมันได้ ราวกับว่ามันจะรับรู้ความคิดของพระเทวีร่างสูงตรงหน้าซึ่งนั่นก็จุดรอยยิ้มซุกซนของพระลักษะได้เป็นอย่างดี
“ดูเหมือนมันจะชอบพระองค์นะพะยะค่ะ” เทพผู้อาวุโสเอ่ยอย่างชื่นชมเพราะเจ้าวิฬาร์ตัวนี้ไม่เคยมีท่าทีชอบใครเช่นนี้มาก่อน มันค่อนข้างหยิ่งทะนงอยู่พอตัว แม้แต่เขาเองก็ไม่ค่อยได้การยอมรับจากมันสักเท่าไหร่
“เราก็ชอบเจ้านะวิฬาร์” พระลักษะเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าราชสีห์ตัวโตอย่างแผ่วเบา ขนของมันอ่อนนุ่มเหมือนปุยนุ่นเปลวไฟสีส้มที่ลุกโชนอยู่ก็ไม่ได้ร้อนอย่างที่เขาคิดไว้
“ไว้เราว่างจะลงมาหาใหม่นะเจ้าแมวน้อย”
“โฮกกก” เจ้าวิฬาร์ใช้ลำตัวอันใหญ่โตของมันคลอเคลียพระลักษะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลายเป็นลูกไฟสีส้มลอยหายไป
“ถึงแล้วพะยะค่ะ” ชิณณะเทพหันมาบอกเมื่อเดินมาถึงบริเวณสระขนาดใหญ่ที่อยู่กลางภูเขาสูง
“แล้วผู้เฝ้าอีกสามตนเล่า??” พระลักษะเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะเอ่ยถามเทพผู้ที่อาวุโสกว่าด้วยความอยากเห็นว่าภูตอีกสามตนที่เหลือจะสวยเหมือนเจ้าวิฬาร์หรือไม่
“วิฬาร์เป็นผู้เฝ้าลำดับสุดท้ายพะยะค่ะ การที่เกล้ากระหม่อมมาด้วยภูตทั้งสามจึงไม่ปรากฏตัวขัดขวางแต่เจ้าวิฬาร์เป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้พะยะค่ะ”
“คาดเดาไม่ได้อย่างไร เราก็เห็นมันน่ารักดีแถมขี้อ้อนเสียด้วยซ้ำ” พระลักษะถามด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงราชสีห์ตัวโตสีขาวเมื่อครู่
“มันมีกิริยาเช่นนั้นกับพระองค์เพียงผู้เดียวพะยะค่ะ หากเกล้ากระหม่อมไม่ได้มีอำนาจคุมที่นี่มันคงขย้ำเกล้ากระหม่อมไปนานแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ” พระลักษะเลิกสงสัยแล้วหันไปสนใจผืนน้ำกว้างเบื้องหน้าแทน
“อมฤตธาราในคืนวันเพ็ญนี้ช่างสวยยิ่งนัก คราก่อนที่มาก็ว่าสวยแล้วแต่ครานี้สวยกว่ามาก” พระลักษะยิ้มกว้างเมื่อเห็นความงามเบื้องหน้า
ผืนน้ำที่ใสสะอาดในคืนปกติกลายเป็นสีขาวนวลดุจสีของไข่มุกเมื่อต้องแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ เหนือผืนน้ำขึ้นมามีรัศมีสีรุ้งทอประกายเป็นระยะทั่วทั้งสระ เมื่อชื่นชมความงามจนสมใจแล้วพระลักษะก็เสกแก้วมณีใสสะอาดขึ้นเหนือมือข้างหนึ่ง แล้วปล่อยให้แก้วมณีดวงน้อยค่อยๆลอยไปในอากาศเหนือผิวน้ำ
แก้วมณีลอยไปหยุดอยู่ที่กลางสระสักพักก็เกิดกระแสน้ำวนด้านล่างตรงที่แก้วมณีลอยอยู่ น้ำสีนวลก็ค่อยๆลอยขึ้นเป็นสายผ่านเข้าไปภายในของดวงแก้วจนเต็ม รัศมีสีรุ้งทอประกายล้อมรอบดวงแก้วไว้แล้วค่อยๆซึมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้แก้วมณีสีใสเมื่อครู่กลายเป็นแก้วมณีสีรุ้งทอแสงสว่างไสวก่อนจะลอยกลับมาหาผู้ที่ปล่อยมันออกไป
“เพียงเอาน้ำในสระพระองค์น่าจะให้บริวารลงมาเอา ไม่น่าจะต้องเสด็จลงมาเองเลยพะยะค่ะ” ชิณณะเทพที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะงานเช่นนี้เทพองค์อื่นๆที่มีวรรณะน้อยกว่าพระเทวีร่างสูงซึ่งเป็นเทวธิดาองค์เดียวในองค์ท้าวสักกะเทวราชก็ยังใช้ให้เหล่าบริวารมาทำแทน
“เป็นพระประสงค์ของเสด็จพ่อเราเลยอยากทำเอง อีกอย่างก็ถือโอกาสลงมาเที่ยวด้วยอยู่แต่บนวิมานก็ชักจะเบื่อ” พระลักษะตอบเทพผู้อาวุโสกว่ายิ้มๆ เพราะเดิมทีตนก็ชอบท่องเที่ยว หากแต่ภาระหน้าที่ที่มีอยู่ตอนนี้ทำให้ไม่ค่อยได้ลงมาจากวิมานเท่าใดนัก
“เกล้ากระหม่อมเข้าใจแล้วพะยะค่ะ” ชิณณะเทพมองพระลักษะอย่างชื่นชมด้วยใจจริง เพราะเขาเองไม่เคยเห็นเทวบุตรหรือเทวธิดาของผู้ใดจะมีกิริยางดงามและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่ถือตนกับผู้ที่อาวุโสกว่าถึงแม้ผู้นั้นจะมีวรรณะต่ำกว่าก็ตาม ไหนจะท่าทางที่ดูองอาจนั้นก็ไม่เหมือนสตรีเพียงนิดออกจะเหมือนบุรุษเสียด้วยซ้ำคราก่อนที่พบด้วยเหตุการณ์คับขันเขาจึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนเช่นนี้
มาบัดนี้เขาเข้าใจการัณยะแล้วว่าเหตุใดจึงดูภาคภูมิใจนักเวลาพูดถึงนายตน หากไม่ติดว่าเขามีหน้าที่ต้องเฝ้าที่นี่ล่ะก็อยากจะถวายตัวเป็นข้ารับใช้คนสนิทแทนที่เสียจริง
“เราขอบใจท่านมากนะชิณณะเทพที่อุตส่าห์นำทางมา เราคงต้องกลับแล้วล่ะ”
“หากพระองค์มีประสงค์อันใดจะเรียกใช้เกล้ากระหม่อมให้บริวารมาตามได้ทุกเมื่อพะยะค่ะ” ชิณณะเทพพูดพร้อมนั่งคุกเข่าแล้วพนมมือไว้กลางอก เพื่อแสดงว่าเขายอมรับที่จะเป็นบริวารรับใช้ของผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“เราขอบใจท่านมากที่ยอมรับในตัวเรา” พระลักษะพูดพลางเสกไพลินสีน้ำเงินขึ้นเหนือมือหนึ่งเม็ดแล้วส่งให้ชิณณะเทพ เพื่อเป็นการรับบริวารผู้ถวายตัวรับใช้ที่ไม่ได้อุบัติขึ้นบนวิมานหรือเขตปกครอง
“นี่เป็นอัญมณีที่แทนตัวเราท่านจงรักษาไว้ให้ดี หากท่านมีอันตรายด้วยอำนาจของเราจะคุ้มครองท่านให้ปลอดภัย และด้วยอัญมณีนี้จะทำให้เราและท่านสื่อถึงกันได้” เพราะความดีและคุณธรรมของเทพผู้นี้ที่พระลักษะได้ยินและได้รู้มาตั้งแต่อุบัติขึ้นใหม่ๆนางจึงรับเทพองค์นี้โดยง่าย บริวารที่มีนั้นพระลักษะก็คัดและเลือกเองทุกองค์ไม่ใช่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ได้ จะมีก็แต่พระเสาร์ที่พระเทวีผู้องอาจไม่สามารถปฏิเสธได้ถึงแม้จะอยากทำเพียงใด
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพะยะค่ะ เกล้ากระหม่อมจะเก็บรักษาไว้อย่างดีและจะขอเป็นข้ารองบาทที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ตลอดไปพะยะค่ะ” ชิณณะเทพกล่าวคำปฏิญาณดังกึกก้องพร้อมเอื้อมมือไปรับไพลินจากพระลักษะ
“เราต้องกลับแล้วล่ะ ไว้เราจะลงมาเยี่ยมท่านหากมีโอกาส แต่หากท่านเดือดร้อนสิ่งใดขึ้นไปหาเราที่วิมานได้เพราะท่านคือบริวารของเรา” พูดจบพระเทวีร่างสูงก็เหาะกลับวิมานทันที
“ในที่สุดเกล้ากระหม่อมก็ได้ทำตามความตั้งใจเมื่อสิบปีที่แล้วเสียที” ชิณณะเทพมองไพลินสีน้ำเงินที่ทอประกายรัศมีสีทองในมือด้วยความปลื้มปิติก่อนจะหายตัวกลับวิมานของตน
...๐๐๐...
...๐๐...
...๐...
[1] สัตบริภัณฑ์ อ่านว่า สัด - ตะ - บอ - ริ - พัน
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments