...๐๐...
ในอดีตกาลที่เนิ่นนานมาแล้ว ณ สวรรค์ชั้นฟ้าที่ยังคงมีความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นวัฏจักร
...๐๐...
ณ กลางสวน 'มหาวัน' อันร่มรื่นไปด้วยดอกไม้ทิพย์นานาพรรณที่ส่งกลิ่นหอมยามต้องลม ละลานตาไปด้วยวิมานแก้วอันวิจิตรงดงามที่รายล้อมสวนแห่งนี้ไว้กว่าหนึ่งพันวิมาน
ปรากฏร่างของพระเทวีองค์หนึ่งบนแท่นศิลาริมขอบสระสุนันทา กำลังนั่งบำเพ็ญภาวนาสมาธิด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ใบหน้าขาวคมสันรับกันเป็นอย่างดีกับจมูกโด่งเชิดให้ความน่าเกรงขามดุจเทพบุตรมากกว่าจะเป็นเทวีท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ เพราะที่แห่งนี้เป็นสวนที่มีไว้เพื่อให้เจ้าผู้ครองเวชยันต์มหาปราสาทได้พักผ่อนจึงไม่มีเหล่าชาวสวรรค์เข้ามายุ่งย่ามหากไม่มีรับสั่งหา
“ลักษณารี” น้ำเสียงทรงพลังเอ่ยเรียกผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
“เพคะ เสด็จพ่อ” เจ้าของชื่อลืมตาขึ้นขานรับอย่างนอบน้อม พร้อมลงจากศิลาอาสน์เพื่อให้ผู้เป็นบิดานั่งที่สูงกว่าตนเอง
“เสด็จกลับมานานแล้วหรือเพคะ” พระเทวีร่างสูงถามบิดา คิ้วหนาขมวดเข้าหากันนิดๆด้วยความสงสัย
“ก็สักพักแล้วล่ะ แต่ยังไม่ได้ขึ้นไปบนวิมาน” องค์อินทร์เอ่ยกับบุตรสาวด้วยแววตาเอ็นดู
“ทำไมครานี้ถึงได้กลับเร็วกว่ากำหนดล่ะเพคะ หรือมีเหตุอันใด??” เพราะปกติแล้วบิดาจะใช้เวลาออกบำเพ็ญภาวนาเจ็ดวัน หากแต่ครานี้ไปเพียงห้าวันเท่านั้นจึงอดแปลกใจไม่ได้
“มีเหตุเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่ก็หาใช่เรื่องใหญ่อะไรว่าแต่เจ้าเถอะวันนี้ไม่ไปไหนหรือจึงมาบำเพ็ญอยู่ที่สวนของพ่อได้”
“ไม่เพคะ พระเสาร์เพิ่งจะก่อเรื่องไปเมื่อตอนเช้าลูกเลยไม่มีอารมณ์จะไปไหนเลยเพคะ” พระลักษะหน้ามุ่ยตอบบิดาเมื่อนึกถึงเทพผู้เป็นบริวารของตนที่ชอบก่อเรื่องให้ปวดหัวอยู่เป็นประจำ
“ตอนนี้เทพนพเคราะห์ทั้งเก้าต่างก็เหิมเกริมกันใหญ่ แผ่อำนาจอวดอิทธิฤทธิ์กันจนทำให้โลกเบื้องล่างนั้นปั่นป่วนวุ่นวายกันไปหมด” องค์อินทร์เอ่ยกับบุตรีด้วยแววตาครุ่นคิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เพคะ เทพผู้ดูแลทั้งเก้าก็สุดจะห้ามปราม เผลอเมื่อไหร่ก็ก่อเรื่องกันเมื่อนั้นเพคะ” เสียงนุ่มหูตอบบิดาด้วยท่าทีหน่ายๆเมื่อพูดถึงเหล่าเทพประจำดาวนพเคราะห์ทั้งเก้า
“พ่อจะนำพลังบางส่วนของเทพนพเคราะห์ลงไปถ่วงสมดุลยังโลกเบื้องล่าง เพื่อบรรเทาความวุ่นวาย”
“เสด็จพ่อจะนำลงไปเช่นไรเพคะ เทพแต่ละองค์ทรงอิทธิฤทธิ์กันทั้งนั้น”
“พ่อจะนำลงไปในรูปของดวงแก้วที่บรรจุ ‘อัญมณีรัตนชาติ’ ที่มีพลังของเทพนพเคราะห์ทั้งหมดรวมกัน”
“เช่นนั้นแก้วมณีดวงนี้ก็จะเป็นที่หมายปองของอสูรและมนุษย์ อาจรวมถึงเทวดาด้วยนะเพคะ”
“ถึงรู้เราก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นโลกมนุษย์เบื้องล่างจะพินาศเอาหากเหล่าเทพนพเคราะห์ยังก่อเรื่องและอวดอำนาจกันอย่างนี้ต่อไป” องค์อินทร์พูดพลางมองดูความลำบากของโลกมนุษย์ ผ่านแก้วทิพยเนตรที่ลอยอยู่ตรงหน้าสะท้อนภาพต่างๆตามที่ผู้เป็นเจ้าของอยากจะเห็น
“แล้วเสด็จพ่อจะทำพิธีวันไหนหรือเพคะ”
“สุริยคราสที่จะถึงนี้ โดยพ่อจะให้เทพผู้ดูแลเป็นผู้ที่ดึงพลังเข้าสู่อัญมณีด้วยตัวเอง” องค์อินทร์ตอบบุตรีด้วยท่าทีเอ็นดูในใบหน้าคมที่ทำหน้าครุ่นคิดกับสิ่งที่ได้ฟัง
“อีกเจ็ดราตรี” พระลักษะเอ่ยเมื่อคำนวณได้
“แต่พ่อมีบางอย่างให้เจ้าทำก่อนจะถึงพิธี”
“อะไรหรือเพคะ” ดวงเนตรกลมโตสีนิลเป็นประกายมองผู้เป็นบิดาเหมือนเด็กที่กำลังจะได้ของเล่นชิ้นใหม่
“คืนเพ็ญที่จะถึงนี้ เจ้าจงนำแก้วมณีดวงนี้ไปบรรจุน้ำจากสระอมฤตธาราที่เขาสุทัศน์แล้วเอากลับมาให้พ่อ” พระลักษะเอื้อมมือไปรับแก้วมณีจากบิดาด้วยนัยน์ตาซุกซนจนผู้เป็นจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อดที่จะปรามไม่ได้
“อย่าซนนะลักษณารี รีบไปรีบกลับ” องค์อินทร์ดุบุตรสาวเบาๆด้วยรู้ดีว่าบุตรสาวมีนิสัยซุกซนเหมือนเด็กๆ แต่ก็มีไหวพริบและพลังไม่ต่างไปจากจอมเทพเช่นพระองค์ ถึงแม้ว่าร่างกายจะเป็นสตรีแต่ความองอาจและเด็ดเดี่ยวพระลักษะผู้นี้มีเหนือกว่าบุรุษมากนักจึงไม่เคยกลัวเกรงต่อสิ่งใด แม้พระองค์จะทรงรู้ดีแต่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้เมื่อเห็นความซุกซนในแววตาคมคู่นั้น
“โธ่!! เสด็จพ่อรู้ทันลูกอีกแล้ว” พระลักษะบ่นด้วยสีหน้าไม่จริงจังนักก่อนจะเสกให้มณีที่อยู่ในมือหายไป
“ฮ่าๆ ก็เจ้าชอบทำให้พ่อเป็นห่วงอยู่เรื่อยนี่นะ” องค์อินทร์ตอบบุตรสาวอย่างอารมณ์ดีถึงแม้ว่าพระลักษะจะชอบซุกซน หงุดหงิดง่ายไม่ค่อยเหมือนสตรีเท่าใดนัก แต่ฝีมือและความฉลาดก็ไม่เคยทำให้พระองค์ผิดหวังเลยสักครั้ง
“เช่นนั้นลูกทูลลาเพคะ สัญญาว่าจะรีบไปรีบกลับไม่เที่ยวเถลไถลไปที่อื่นแน่นอนเพคะ” พระลักษะตอบบิดาด้วยรอยยิ้มซุกซนที่ไม่ค่อยมีผู้ใดได้เห็นบ่อยนักก่อนจะเหาะกลับไปยังวิมานตน
“ภาคียะ!! ” เสียงทรงอำนาจเรียกหาบริวารคนสนิททันทีหลังจากพระลักษะออกไป
“พะยะค่ะ” เทวดาที่มีรูปร่างปราดเปรียวปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าองค์อินทร์ทันทีที่สิ้นเสียง
“ไปตามวสุเทพมาพบเราหน่อย”
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ” หลังจากเทวดานามภาคียะออกไปเพียงครู่ ก็ปรากฏร่างของเทพบุตรที่มีรัศมีสีส้มอ่อนผู้สง่างามเดินเข้ามาในสวนที่ประทับอย่างนอบน้อม
...*...
“ถวายบังคมพะยะค่ะ องค์ท้าวสักกะเทวราช” เทพบุตรผู้มาใหม่ถวายบังคมอย่างนอบน้อมแต่ก็มีความสง่าอยู่ในที
“เรามีเรื่องจะให้เจ้าทำหน่อย วสุเทพ” องค์อินทร์เอ่ยกับเทพบุตรหนุ่มด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“มีอสูรหลุดออกมาจากยมโลก ซึ่งตอนนี้อาละวาดอยู่ในป่าหิมพานต์เจ้าจงจัดการส่งลงไปรับโทษยังนรกที”
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ!!! ” เทพบุตรหนุ่มเอ่ยรับคำพระผู้เป็นใหญ่ พลางสายตาก็เหลือบมองหาเทวธิดาร่างสูงที่มักจะเดินเล่นอยู่แถวริมขอบสระแห่งนี้
“พระลักษะไม่อยู่หรอก” องค์อินทร์บอกอย่างรู้ทันทำให้วสุเทพทำหน้าไม่ถูก
“เอ่อ....คือ...”
“เจ้าอยากจะได้นางใดไว้เชยชิดเราให้ได้ยกเว้นพระลักษะ เพราะนางเป็นธิดาแห่งเรา เราจะมอบนางให้แก่ผู้ที่นางพึงใจเท่านั้น” องค์อินทร์เอ่ยดักทางวสุเทพเพราะรู้ดีว่าเขาจะขออะไร ทำให้เทพบุตรรูปงามเดินคอตกออกไป
“ดูท่าแล้วท่านวสุเทพคงจะเสียใจไม่น้อยเลยนะพะยะค่ะ” ภาคียะเอ่ยกับพระผู้เป็นใหญ่เมื่อเห็นท่าทีเหงาหงอยของเทพบุตรหนุ่มรูปงาม
“ลักษณารีเป็นผู้ที่เข้าถึงยาก เหตุด้วยเป็นผู้ที่ค่อนข้างหงุดหงิดง่ายหากไม่ชอบผู้ใดก็จะพูดและแสดงออกมาตรงๆ อีกทั้งยังเป็นเทวีผู้ครองวิมานด้านทิศทักษิณทั้งหมด เมื่อเทียบกับวสุเทพแล้วลักษณารีนั้นมีบริวารมากกว่าถึงห้าเท่าพลังและบารมีของนางนั้นมีมากกว่าเทพบุตรในชั้นเดียวกันมากนัก นางไม่เหมาะจะเดินตามผู้ใดได้ดอกหนา อีกประการที่สำคัญคือนางเกิดขึ้นในเพศสถานะที่ไม่ควร การที่นางจะรักจะพึงใจผู้ใดคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก” องค์อินทร์อธิบายแก่บริวารคนสนิท เพราะพระลักษะต่างก็เป็นที่ยอมรับในหมู่เทพและเทวดาทั้งหลายการที่นางจักรักผู้ใด ผู้นั้นต้องถูกจับตามองจากเหล่าชาวสวรรค์ทั้งหลายเป็นแน่แท้
“หากวันนึงมีผู้เหมาะสมอุบัติขึ้นแล้วมาขอพระลักษะจากพระองค์ พระองค์จะประทานให้หรือไม่พะยะค่ะ” ภาคียะยังคงถามต่อไปด้วยความสงสัย
“หากเจ้าถามเราถึงเรื่องความเหมาะสมเราก็จะบอกเจ้าว่า ในดาวดึงส์แห่งนี้หามีเทพบุตรใดเหมาะสมกับนางอีกแล้ว เพราะเทียบบารมีแล้วลักษณารีเป็นรองเพียงเราผู้เดียวเท่านั้น ประการสำคัญนางเป็นลูกของเราหาใช่บริวารทั่วไป ฉะนั้นเราจะยกให้ใครตามความเหมาะสมไม่ได้เราจะไม่บังคับให้ลูกเราแต่งงานกับผู้ที่นางไม่ได้รักเด็ดขาด”
“เกล้ากระหม่อมเข้าใจแล้วพะยะค่ะ” ภาคียะพยักหน้าเข้าใจทันทีที่ได้สายตาดุๆจากจอมเทพผู้เป็นองค์เหนือหัว
...๐๐๐...
...๐๐...
...๐...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments